สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 11
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๑ / เรื่องที่ ๑ วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ / เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์แบบแบบเบจ
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์แบบแบบเบจ
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์แบบแบบเบจ
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์แบบแบบเบจ
(Babbage's analytical engine) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่
ซึ่งสามารถประมวลผลได้อย่างอัตโนมัติ แม้จะได้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๘๗ แต่หลักการของการทำงานนั้น
ตรงกับการทำงานของเครื่องคำนวณที่ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage, ค.ศ.
๑๗๙๒-๑๘๗๑, ชาวอังกฤษ) ได้คิดสร้างขึ้น เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว
โดยเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๕๕ หรือ ๒๓๕๖
ขณะที่แบบเบจกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
(Trinity College, Cambridge) ประเทศอังกฤษ
ได้มีความคิดที่จะสร้างเครื่องสำหรับการคำนวณ และพิมพ์ค่าของพหุนาม
(Polynomial) ทางคณิตศาสตร์ ออกเป็นตารางโดยอาศัยหลักการ "ผลต่าง" ที่เรียนในวิชาคณิตศาสตร์ และให้ชื่อเรียกว่า "เครื่องยนต์ผลต่าง"
(difference engine) และแบบเบจได้สร้างเครื่องเล็กๆ
ขึ้นมาใช้กับพหุนามลำดับ ๒ และใช้กับจำนวนเลขสูงถึง ๘ หลักได้
ต่อมาเขาคิดจะสร้างเครื่องที่ใช้กับพหุนามลำดับ ๗ และใช้กับจำนวนเลขสูงถึง
๒๐ หลักได้ และเขาได้ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ
แต่เครื่องนี้สร้างขึ้นไม่สำเร็จสมบูรณ์
ถึงแม้ว่ารัฐบาลได้ให้เงินช่วยเหลือประมาณ ๑๗,๐๐๐ ปอนด์ แล้วก็ตาม
เนื่องจากวิศวกรของแบบเบจเห็นว่า เขาได้รับเงินส่วนแบ่งน้อยจึงลาออก
และเก็บเอาเครื่องมือพิเศษที่ใช้ในการสร้างไปกับเขา พร้อมกับไล่คนงานออก
ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก เนื่องจากสมัยนั้น
เทคนิคทางวิศวกรรมยังไม่สูงพอที่จะสร้างเครื่องคำนวณได้
ต้องหาวิธีการใหม่ให้มีเทคนิคดีกว่าเดิม
เมื่อคนงานที่ฝึกฝนไว้ต้องออกจากงานไป ทำให้งานสร้างเครื่องต้องหยุดชะงัก
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ และต้องทิ้งงานอย่างสิ้นเชิงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕
 | ชาลส์ แบบเบจ ผู้คิดค้นหลักการสำคัญของคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กันทั่วไป ในปัจจุบัน |
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๖-๒๓๙๓ แบบเบจได้ความคิดใหม่ ที่จะสร้างเครื่องคำนวณอีกแบบหนึ่ง ให้ชื่อว่า "เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์"
(analytical engine) โดยแบบเบจ พยายามคิดออกแบบกลไกของเครื่องนี้
ให้สามารถสร้างขึ้นได้ง่ายกว่าเครื่องยนต์ผลต่าง
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์นี้ ได้สร้างขึ้นไม่สำเร็จสมบูรณ์ เพราะว่า
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์ มีความประณีตมากกว่าเครื่องยนต์ผลต่าง
และเทคนิคทางวิศวกรรมยังไม่สูงพอที่จะสร้างได้
หลักการของเครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์นี้
ดีเลิศตรงกับหลักการของเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยปัจจุบัน
ซึ่งทำให้เรายอมรับกันว่า แบบเบจเป็นคนที่มีความคิดล้ำยุคถึงร้อยกว่าปี
เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์ มีส่วนประกอบดังนี้
๑. ส่วนที่ใช้เก็บจำนวนเลข (ส่วนความจำ) ซึ่งแบบเบจใช้คำว่า "store" แต่เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ใช้
คำว่า "memory"
๒. ส่วนที่ใช้ในการคิดคำนวณเลข (ส่วนคำนวณ)
ซึ่งแบบเบจใช้คำว่า "mill" แต่เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่
ใช้คำว่า "arithmetic unit"
๓. ส่วนควบคุมการทำงานของเครื่อง รวมทั้ง
การย้ายจำนวนเลขจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งให้ถูกต้องตามจังหวะ (ส่วนควบคุม) ซึ่งแบบเบจไม่ได้ตั้งชื่อไว้สำหรับ
กระบวนการนี้ แต่สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันใช้คำว่า "control unit"
๔. ส่วนรับส่งข้อมูล (input/output device)
เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ใช้คำตรงกันกับเครื่องของแบบเบจ
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์ คือ
ส่วนควบคุม ซึ่งแบบเบจได้นำวิธีการควบคุมเครื่องทอผ้า ของโจเซฟ มารี
ชากการ์ด (Joseph Marie Jacquard, ค.ศ. ๑๗๕๒-๑๘๓๔, ชาวฝรั่งเศส)
ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๔๗ มาดัดแปลง
ใช้กับเครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์ของเขา โดยทำเป็นเครื่องกลไก ๒ ชุด
แต่ละชุดมีบัตรเจาะรูจำนวนมากเรียงกันเป็นวงรอบ
กลไกชุดหนึ่งใช้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณ
กลไกอีกชุดหนึ่งใช้ทำหน้าที่ย้ายจำนวนเลขเข้า และออกจากส่วนเก็บจำนวนเลข
เครื่องยนต์ผลต่างที่แบบเบจคิดขึ้น เป็นเครื่องคำนวณที่ใช้ชิ้นส่วนทางกล เครื่องแรกของโลก |  |
การคำนวณเลขของเครื่องนี้ แบบเบจคาดว่า จะใช้เวลา
ดังนี้ การบวกลบใช้เวลา ๑ วินาที การคูณ (เลขฐานสิบ ๕๐ หลัก คูณด้วยเลขฐานสิบ ๕๐ หลัก) ใช้เวลา ๑ นาที การหาร
(เลขฐานสิบ ๑๐๐ หลัก หารด้วยเลขฐานสิบ ๕๐ หลัก) ใช้เวลา
๑ นาที สำหรับการคูณหารนี้ ถ้าใช้จำนวนเลขที่มีหลักน้อยลงก็จะใช้เวลาน้อยลงด้วย
 | เครื่องทอผ้าที่แจ็คการ์ดคิดประดิษฐ์ขึ้นในต้นศตวรรษที่ ๑๙ ใช้เทคนิคของบัตรเจาะรู ในการควบคุมเป็นครั้งแรก |
แบบเบจได้ออกแบบเครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์นี้ไว้อย่างละเอียดมาก
และเขาได้ใช้จ่ายเงินไปจำนวนมาก แต่เขาสร้างขึ้นมาได้เพียงบางชิ้นส่วน
เมื่อเขาถึงแก่กรรมไปแล้ว (พ.ศ. ๒๔๑๔) บุตรชายของเขาชื่อ เอช.พี. แบบเบจ
(H.P. Babbage) ได้พยายามทำงานต่อ โดยได้สร้างแบบ จำลองจากส่วนต่างๆ
ของเครื่องยนต์ผลต่าง และได้สร้างส่วนบวกลบ
ของส่วนคำนวณของเครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์ขึ้น
ตามที่แบบเบจออกแบบไว้เป็นงานชิ้นสุดท้าย ผลงานต่างๆ เหล่านี้
ได้นำไปตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เซาท์เคนซิงตัน (South
Kensington) ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
วิธีการสั่งงานและควบคุมให้เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์
ทำงานได้นั้น แบบเบจไม่ได้เขียนแสดงไว้อย่างแน่ชัด แต่ความคิดของเขามาสู่เราในทางอ้อม คือใน พ.ศ. ๒๓๘๓
แบบเบจได้รับเชิญไปอิตาลี เพื่อถกเถียงเกี่ยวกับความคิดของเขา กับนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ซึ่งมีนายทหารช่างหนุ่ม
ชื่อ แอล.เอฟ. เมนาเบรีย (L.F. Menabrea) ร่วมอยู่ด้วย
เมนาเบรียได้เขียนบทความถึงเรื่องราวที่เรียนรู้มาจากแบบเบจ และตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในวารสารเจนีวา (Geneva
journal) ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๘๕ ต่อมาเอดา
ออกุสตา (Ada Augusta, ค.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๕๒ ต่อมาได้เป็น
Countess of Lovelace) ซึ่งรู้จักสนิทกันดีกับแบบเบจ
ได้แปลบทความของเมนาเบรียออกเป็นภาษาอังกฤษ และเขียนข้อสังเกตเพิ่มเติม ยาวกว่าเดิมเกือบสามเท่า นำลงตี
พิมพ์ในเทเลอร์สไซเอนทิฟิกเมโมรีส์ (Taylor's Scientific
Memories) ใน พ.ศ. ๒๓๘๖ โดยมีตัวอย่างหนึ่งกล่าวถึงการ
คำนวณหาจำนวนเลขของเบอร์นูลลี (Bernoulli numbers) จาก
สูตรเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน (recurrence formula) ซึ่งในการ
คำนวณหาจำนวนเลขของเบอร์นูลลีตัวที่ n คือ Bn ต้องทำการ
คำนวณอยู่ n+1 รอบ จะต้องนำตัวเลข n ใส่ลงในส่วนหนึ่ง
ของส่วนความจำ เมื่อทำการครบแต่ละรอบแล้วให้มีเลข
1 เข้าลบ ทำให้ตัวเลขในส่วนความจำลดลงเป็น n-1, n-2...
และเรื่อยๆ ไป เมื่อทำการคำนวณครบ n รอบแล้ว ตัวเลขในส่วนความจำ จะลดลงเป็นศูนย์ ซึ่งขั้นต่อไปตัวเลขจะ
กลายเป็นลบ จึงจำเป็นต้องใส่ "เงื่อนไข" (condition operation) ให้เครื่องหยุดการคำนวณแบบวนกลับ และให้ข้าม
ไปทำการคำนวณขั้นต่อไป ลักษณะเด่นที่สำคัญของเครื่อง
ยนต์เชิงวิเคราะห์คือ ต้องทำงานตาม "เงื่อนไข" ที่เราส่งให้ จึงทำให้เกิดการเขียนชุดคำสั่ง (program) ขึ้น และวิธีการใช้จำนวนเลข n เพื่อใช้ในการคำนวณยังคงมีใช้อยู่ใน
การเขียนชุดคำสั่งของเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยปัจจุบัน และเธอได้กล่าวว่า "เครื่องยนต์เชิงวิเคราะห์นี้ ไม่สามารถคิดคำนวณอะไรขึ้นมาเองได้ อะไรที่มันทำได้เราต้องรู้จักการสั่งให้มันทำ"
ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า เอดา ออกุสตา เป็นนักเขียนโปรแกรม
(programmer) คนแรกของโลก |  | จอร์จ บูล (George Boole, ค.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๖๔, ชาว
อังกฤษ, นักคณิตศาสตร์และนักตรรกศาสตร์) เป็นนักคณิตศาสตร์สมัยเดียวกับแบบเบจ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับตรรกศาสตร์ (logic) ชื่อ "การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์โดยตรรกศาสตร์" (Mathmetical Analysis of Logic) ขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๙๐
และได้เขียนขยายให้สมบูรณ์และกว้างขวางขึ้นในหนังสือชื่อ
"การตรวจสอบกฎแห่งความคิด ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎี
คณิตศาสตร์ทางตรรกศาสตร์และความน่าจะเป็น" (An Investigation of the Laws of Thought, on Which Are Founded
the Mathematical Theories of Logic and Probabilities)
ขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๙๗ คณิตศาสตร์ตรรกศาสตร์ที่บูลวางรากฐานไว้นี้ได้ชื่อว่า "พีชคณิตแบบบูล" (Boolean algebra) และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา และออกแบบเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่เป็นอันมาก
|
|