สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 11
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๑ / เรื่องที่ ๒ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ / ส่วนรับส่งข้อมูล
ส่วนรับส่งข้อมูล
ส่วนรับส่งข้อมูล
ส่วนรับส่งข้อมูลเป็นส่วนสำคัญมากที่สุด
ในการที่ผู้ใช้เครื่องจะทำการสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยส่งคำสั่งและข้อมูล ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำตามในสิ่งที่ต้องการ
และรับผลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเสร็จแล้ว ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น
เครื่องอ่านบัตรคอมพิวเตอร์ เครื่องอ่าน และเครื่องบันทึกแถบแม่เหล็ก
จานแม่เหล็ก เครื่องพิมพ์กระดาษต่อเนื่อง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์บางอย่างที่สามารถรับส่งข้อมูลในระยะห่างไกลได้ เช่น
เครื่องโทรพิมพ์ และเครื่องแสดงผลทางจอโทรทัศน์ (visual display unit;
VDU) โดยผ่านสายโทรศัพท์
เครื่องอ่านบัตร
(card reader)
เครื่องอ่านบัตรจะทำหน้าที่อ่านข้อมูลบนบัตร
แล้วเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยอ่านเป็นเลขฐานสอง ที่มี ๑๒ บิต (จาก ๑๒ แถวบนบัตร)
แล้วเปลี่ยนให้เป็นเลขฐานสองที่มี ๖ บิต หรือ ๘ บิต
(ตามแบบของคอมพิวเตอร์ที่ใช้) เครื่องอ่านบัตรมีสองแบบ คือ แบบใช้แปรงโลหะ
และแบบใช้หลอดโฟโตอิเล็กทริก (photoelectric) |

บัตรคอมพิวเตอร์ |
ในเครื่องอ่านบัตรแบบใช้แปรง
บัตรจะเคลื่อนออกจากที่เก็บ
โดยวิธีทางกลผ่านเข้าไปใต้แปรงโลหะที่ทำหน้าที่เหมือนสะพานไฟฟ้า
เมื่อมีรูบนบัตรเคลื่อนมาถึงแปรง
แปรงก็จะสามารถลอดผ่านไปแตะกับลูกกลิ้งโลหะข้างล่าง
ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน และเกิดเป็นสัญญาณไฟฟ้าขึ้น
การอ่านจะกระทำสองครั้ง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
แล้วบัตรจะเคลื่อนผ่านไปยังที่เก็บ หากผลการอ่านสองครั้งไม่ตรงกัน
เครื่องอ่านบัตรจะรายงานความผิดพลาด
 |
แผนภาพแสดงการทำงานของเครื่องอ่านบัตร
|
ในทำนองเดียวกันเครื่องอ่านบัตรที่ใช้โฟโตอิเล็กทริกเซลล์
ซึ่งทำงาน โดยให้บัตรเคลื่อนผ่านแสงไฟ
ถ้าที่ใดมีรูเจาะไว้ก็จะมีแสงลอดมาถูกโฟโตอิเล็กทริกเซลล์
เซลล์หนึ่งสำหรับแถวดิ่งหนึ่งแถว ครั้นแล้วจะมีสัญญาณไฟฟ้าเกิดขึ้น
แต่สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบแรก เครื่องอ่านบัตรโดยทั่วๆ ไป
จะมีความเร็วตั้งแต่ ๒๐๐-๑,๒๐๐ บัตรต่อนาที
บัตรคอมพิวเตอร์มีหลายชนิด ชนิดที่รู้จักกันมาก คือ บัตรฮอลเลอริท
เป็นบัตรที่ ดร. เฮอร์แมน ฮอลเลอริท ประดิษฐ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๒
และได้นำออกใช้เป็นครั้งแรกใน การทำสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ.
๒๔๓๓ บัตรนี้ทำด้วยกระดาษพิเศษ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาด กว้าง ๓ ๑/๔
นิ้ว ยาว ๗ ๑/๘ นิ้ว และหนา ๐.๐๐๗ นิ้ว มี มุมบนถูกตัดทิ้งเฉียง
ที่มุมใดมุมหนึ่งบนบัตร มีตำแหน่ง เตรียมไว้ให้เจาะรู โดยมีแถวในแนวดิ่ง
๘๐ แถว และแถว ในแนวนอน ๑๒ แถว จากแถวบนตามแนวนอนลงมาแถว
ล่างเรียงตามลำดับเรียกแถว ๑๒ แถว ๑๑ และแถว ๐-๙
|

เครื่องอ่านบัตร |
ข้อมูลที่บันทึกไว้บนบัตรจะเจาะรูเป็นรหัสเพื่อแทนข้อ
มูล ๓ แบบ คือ ตัวเลขฐานสิบ (๐-๙) ตัวอักษร (A-Z) และเครื่องหมายต่างๆ
(เช่น &,) , (,_,+,?,....) เช่น ถ้าเราต้องการบันทึกอักษร M
เราก็ใช้เครื่องเจาะ หนึ่งรูที่แถว ๑๑ และอีกหนึ่งรูที่แถว ๔
ในแนวดิ่งเดียวกัน
ข้อดีของบัตรคอมพิวเตอร์คือ
เป็นการง่ายในการเตรียมและเก็บ แต่มีข้อเสียคือ เปลืองที่เก็บ
เมื่อถูกความชื้น บัตรจะพอง และเมื่อเจาะข้อมูลลงในบัตรแล้ว
ไม่สามารถเจาะข้อมูลใหม่ลงในที่เดิมได้ จึงไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เครื่องเจาะบัตรโดยใช้คอมพิวเตอร์
(key punch)
เป็นเครื่องเจาะบัตรที่ทำงาน
ด้วยการควบคุมของเครื่องคอมพิวเตอร์
คือ เมื่อต้องการเจาะบัตร จะต้องสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เจาะให้
โดยเครื่องจะส่งสัญญาณไฟฟ้า ไปบังคับให้กลไกสำหรับเจาะ
เจาะบัตรเป็นรูเล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมตามตำแหน่งต่างๆ บนบัตรตามคำสั่ง
แล้วบัตรจะเคลื่อนผ่านเครื่องตรวจสอบ
เพื่อตรวจสอบข้อมูลเทียบกับข่าวสารเดิม
ครั้นแล้วจะนำไปเก็บไว้ในที่เก็บบัตร
โดยทั่วไป เครื่องสามารถเจาะบัตร ด้วยอัตราเร็วประมาณ ๑๐๐-๓๐๐ บัตรต่อนาที
|

เครื่องเจาะบัตร
|
เครื่องอ่านบัตร และเครื่องเจาะบัตร
อาจติดตั้งรวมกันเป็นเครื่องเดียวกันก็ได้
เครื่องอ่านแถบกระดาษ
วิธีการอ่านแถบกระดาษมี ๒ วิธี คือ
๑.
วิธีทางกล โดยใช้แปรงหลายอันมีจำนวนเท่ากับแถวของรูที่เจาะบนแถบ
เมื่อแถบเคลื่อนผ่าน และรูบนแถบนั้นได้มาตรงกับแปรง
แปรงก็จะลอดรูไปสัมผัสกับลูกกลิ้ง ทำให้มีสัญญาณไฟฟ้าเกิดขึ้น
วิธีการนี้สามารถอ่านได้ประมาณ ๑๐๐ ตัวอักษรต่อวินาที
๒. วิธีทางแสง โดยใช้แสงและหลอดโฟโตอิเล็กทริก
เมื่อแสงลอดผ่านรูของแถบมาถูกหลอดโฟโตอิเล็กทริก
ก็จะมีสัญญาณไฟฟ้าเกิดขึ้น วิธีการนี้สามารถ
อ่านได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ตัวอักษรต่อวินาที
โดยทั่วๆ ไปเครื่องอ่านแถบกระดาษสามารถอ่านด้วยอัตราเร็วจาก ๑๐-๒,๐๐๐
ตัวอักษรต่อวินาที ขึ้นอยู่กับแบบของเครื่องอ่านที่ใช้
บัตรที่เจาะรูแล้ว |
 |
แถบกระดาษ
เป็นแถบที่ทำจากกระดาษที่มีความกว้างประมาณ ๑/๒ -
๑ นิ้ว มีความยาวไม่จำกัดแน่นอน การบันทึกต้วอักษร
ทำได้ด้วยการเจาะรูเป็นรหัส ซึ่งเจาะไปตามแนวขวางของแถบเป็นแถว (๕,๖,๗
หรือ ๘ แถว) ขึ้นอยู่กับแบบของรหัสที่ใช้ |

แถบกระดาษเจาะรู (ก) แบบ ๘ แถว (ข) แบบ ๕ แถว (ค) วิธีอ่านแบบต่าง ๆ |
ข้อดีของแถบกระดาษคือ มีราคาถูก
มีความยาวไม่จำกัด จึงสามารถบันทึกข้อมูลได้ต่อเนื่องกัน แต่มีข้อเสียคือ
มีความคงทนไม่เท่าบัตร ถ้ามีการเจาะผิดจะทำการแก้ไขไม่สะดวก เพราะว่า
ต้องมีการตัดต่อแถบ
แถบแบบนี้ อาจใช้เป็นได้ทั้งส่วนรับและส่งผลงาน
ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยนิยมใช้กัน
เครื่องแถบแม่เหล็ก
(tape drive)
เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูลบนแถบแม่เหล็ก
มีหลักการทำงานเหมือนเครื่องบันทึกเสียงด้วยแถบแม่เหล็กทั่วไป
ที่ใช้อยู่ตามบ้าน แต่ได้ออกแบบให้มีความก้าวหน้าทางเทคนิคมากกว่า เช่น
มีความเร็วสูงกว่าเครื่องที่ใช้ตามบ้าน คือ มีอัตราเร็ว ๒๕-๑๐๐
นิ้วต่อวินาที เริ่มเดินแถบ และหยุดแถบได้เร็วกว่า
ระหว่างทำงานสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลได้เร็วกว่า เป็นต้น |

เครื่องแถบแม่เหล็ก |
เครื่องแถบแม่เหล็กนี้
มีหัวอ่าน และหรือหัวบันทึก เช่นเดียวกับในเครื่องบันทึกเสียง
ที่ใช้อยู่ตามบ้าน
สามารถบันทึกเป็นรอยทาง (track) แต่มีจำนวนรอยทางมากกว่า เช่น ๗ หรือ ๙
รอยทาง และเก็บข้อมูลเป็นจุดๆ (spots)
ไม่เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียง ที่บันทึกเป็นรูปคลื่น
ซึ่งขึ้นอยู่กับเสียงพูด หรือเสียงดนตรี
|
แถบแม่เหล็กทำด้วยพลาสติกฉาบออกไซด์ของโลหะ
ซึ่งเมื่อทำการบันทึกข้อมูล
ออกไซด์ของโลหะจะกลายเป็นแม่เหล็กเป็นจุดๆ ตามรหัสที่ใช้
แถบนี้มีลักษณะคล้ายกับแถบที่ใช้ในเครื่องบันทึกเสียง
โดยมีความกว้าง ๑/๒ หรือ ๑ นิ้ว และมีความยาว ๖๐๐ หรือ ๑,๒๐๐ หรือ ๒,๔๐๐
ฟุต ตามความยาวของแถบ ๑ นิ้ว จะสามารถบันทึกตัวอักษรได้ ๕๕๖ หรือ ๘๐๐ หรือ
๑,๖๐๐ ตัวอักษร ดังนั้น
แถบหนึ่งม้วนจะบันทึกตัวอักษรได้ประมาณ ๔ หรือ ๑๒ หรือ ๔๖ ล้านตัว
อัตราการถ่ายทอดข้อมูล มีอัตราความเร็วแตกต่างกัน
ประมาณ ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ตัวอักษรต่อวินาที สามารถล้างข่าวสารที่บันทึกไว้ออก
และทำการอัดใหม่ได้ |

ม้วนแถบแม่เหล็กความยาวต่าง ๆ เก็บภายในกล่อง |
ในปัจจุบันได้มีการประดิษฐ์แถบแม่เหล็กนี้
ให้เล็กลง เรียกว่า แถบตลับ (cassette tape) ซึ่งเหมือนกับแถบตลับ
ที่ใช้กับเครื่องเล่นแถบตลับทั่วไป
|
ข้อดีของแถบแม่เหล็กคือ มีอัตราการถ่ายทอดข้อมูลเร็วมาก
สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้มาก เป็นการง่ายที่จะลบออก และนำไปบันทึกใหม่
มีราคาถูก สามารถใช้เป็น ได้ทั้งส่วนรับและส่งผลงาน
และสามารถนำไปใช้เป็นส่วน ความจำได้อีกด้วย แต่มีข้อจำกัดคือ
เมื่อต้องการแก้ไข ข้อมูลที่เก็บไว้ จะแก้ไขหรือแทรก (insert)
ข้อมูลใหม่ลงไปในระหว่างข้อมูลเดิมที่บันทึกไว้แล้ว ได้ยาก นอกจากนี้
ยังเป็นการสิ้นเปลืองเวลาของคอมพิวเตอร์ ในการค้นหาข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งที่ต้องการ โดยเฉพาะในม้วนแถบ |

กลไกของเครื่องแถบแม่เหล็ก |
เครื่องจานแม่เหล็ก
(disk drive)
เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูลบนจานแม่เหล็ก
มีหลักการทำงานคล้ายเครื่องเล่นจานเสียงธรรมดาทั่วๆ ไป แต่แทนที่จะมีเข็ม
กลับมีหัวอ่านและหรือหัวบันทึก (read-write head)
คล้ายเครื่องแถบแม่เหล็กที่เคลื่อนที่เข้าออกได้ เครื่องจานแม่เหล็ก
มีสองแบบ คือ แบบจานติดอยู่กับเครื่อง (fixed disk)
และแบบยกจานออกเปลี่ยนได้ (removable disk) |  เครื่องจานแม่เหล็กขนาดใหญ่หลายเครื่อง
ที่มีความจุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ เมกะไบต์ต่อเครื่อง
จัดเป็นหน่วยความจำขนาดใหญ่ที่สุดที่มีความเร็วสูงพอควร
มักใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งแต่มินิคอมพิวเตอร์ขึ้นไป
มีใช้กันตามธนาคาร หน่วยงานของรัฐบาล
และศูนย์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยที่เก็บสถิติต่าง ๆ |
จานแม่เหล็กส่วนใหญ่ทำด้วยพลาสติก
มีรูปร่างเป็นจานกลมคล้ายจานเสียงธรรมดา แต่ฉาบผิวทั้งสองข้าง
ด้วยสารแม่เหล็กเฟอรัสออกไซด์
การบันทึกทำบนผิวของสารแม่เหล็กแทนที่จะเซาะเป็นร่องเล็กๆ
การอ่านและบันทึกข้อมูล กระทำโดยใช้หัวอ่านที่ติดตั้งไว้บนแผง
ที่สามารถเลื่อนเข้าออกได้
|  จานแม่เหล็กในเครื่องจานแม่เหล็กขนาดใหญ่
มักประกอบด้วยแผ่นจานย่อยๆ หลายแผ่นซ้อนกัน และหมุนตลอดเวลา
ด้วยความเร็วสูง แต่ละแผ่นย่อยจะมีหัวอ่านเขียนอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง
ในขณะหนึ่งขณะใดจะมีเพียงหัวเดียวเท่านั้นที่ทำการอ่านหรือเขียน
ยกเว้นในกรณีเครื่องพิเศษบางเครื่องที่ยอมให้ใช้หลายหัวพร้อมกัน
เพื่อเพิ่มอัตราเฉลี่ยในการอ่านหรือเขียนข้อมูลเป็นกลุ่มให้มากขึ้นไปอีก |
ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้บนรอยทางวงกลมบนผิวจาน ซึ่งมีจำนวนต่างๆ เช่น
๑๐๐-๕๐๐ รอยทาง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของจาน มีตั้งแต่ ๑-๓ ฟุต
สามารถบันทึกตัวอักษรได้หลายล้านตัวอักษร
การบันทึก ใช้บันทึกทีละบิต โดยใช้แปดบิตต่อหนึ่งไบต์
จานแม่เหล็กหมุนรอบประมาณ ๑,๕๐๐-๑,๘๐๐ รอบต่อนาที
สามารถค้นหาข้อมูล ด้วยเวลาเฉลี่ยประมาณ ๕๐ มิลลิวินาที
สามารถย้ายข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงถึง ๑๒๐,๐๐๐ ไบต์ต่อวินาที
ขอให้เราสังเกตว่า เวลาเฉลี่ยเหล่านี้ เป็นเวลาที่ช้ากว่าเครื่องรุ่นใหม่ๆ
มาก
ถ้าต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมาก เขาจะใช้จานแม่
เหล็กที่มีจำนวน ๒ หรือ ๖ หรือ ๑๒ จานมาติดตั้งซ้อนกันตาม
แนวดิ่ง รวมกันเป็น ๑ หน่วย เรียกว่า ดิสก์แพ็ก (disk
pack) ซึ่งเราสามารถยกดิสก์แพ็กเข้าออกจากเครื่องได้
การทำเช่นนี้ ทำให้จานแม่เหล็กสามารถทำหน้าที่คล้ายแถบแม่เหล็ก
ดิสเกตต์หรือจานฟล็อปปี
(diskette
หรือ flop-
py disk)
เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก
มีรูปร่างเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมบางขนาดต่างๆ เช่น ๖ x ๖ นิ้ว ๕.๒๕ x ๕.๒๕
นิ้ว หรือ ๘ x ๘ นิ้ว บนผิวจานแต่ละผิวสามารถบันทึกข้อมูลได้ ๗๐
รอยทางวงกลม หมุนด้วยอัตราเร็ว ๓๖๐ รอบต่อนาที ดิสเกตต์แต่ละแผ่นมีความจุ
๒๕๐,๐๐๐ หรือ ๕๐๐,๐๐๐ หรือ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัวอักษร
สามารถย้ายข้อมูลด้วยอัตราเร็ว ๒๕๐,๐๐๐ บิตต่อวินาที
 |
จานแม่เหล็กแบบดิสก์แพ็กในกล่องเก็บ โดยวางเทียบกับจานฟล็อปปี ขนาด ๘ x ๘ นิ้ว
|
ดิสเกตต์มีราคาถูกกว่าจานแม่เหล็กและแถบแม่เหล็ก
หมุนด้วยความเร็วช้า มีความเหมาะสมที่จะใช้กับมินิคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์
|  ดิสเกตต์ขนาด
๕.๒๕ x ๕.๒๕ นิ้ว
เป็นจานแม่เหล็กที่นิยมใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์มากที่สุดในปัจจุบัน
แต่ละแผ่นจะสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ ๓๖๘,๖๔๐ ถึง ๑,๒๕๘,๒๙๐ ตัวอักษร
แล้วแต่คุณภาพของสารแม่เหล็กที่เคลือบอยู่บนแผ่น | ข้อดีของจานแม่เหล็กและดิสเกตต์คือ สามารถค้น
หาข้อมูลได้รวดเร็ว และสามารถข้ามไปอ่านข้อมูลที่ต้องการ
ได้ จึงทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วกว่าแถบแม่เหล็ก
เครื่องดรัมแม่เหล็ก
เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึก
ข้อมูล บนดรัมแม่เหล็กมีหัวอ่านและหรือหัวบันทึกจำนวนมาก
เท่ากับจำนวนของรอยทาง ที่บันทึกข้อมูลติดตั้งไว้ใกล้ผิวของดรัม
ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายหัวอ่านและหรือหัวบันทึกของแถบแม่เหล็ก
|  แผนภาพแสดงการอ่านและเขียนข้อมูลบนดรัมแม่เหล็ก |
ดรัมแม่เหล็กเป็นวัตถุรูปทรงกระบอก ผิวเคลือบไว้ด้วยสารแม่เหล็ก
มีขนาดต่างๆ กัน โดยเฉลี่ยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๒ นิ้ว สูง ๘ นิ้ว
บันทึกข้อมูลไว้เป็นรอยทางรอบดรัมแม่เหล็ก ประมาณ ๔๐
รอยทางต่อระยะทางหนึ่งนิ้ว และ ๒,๐๐๐ บิตต่อ ๑ รอยทาง
มีความจุเฉลี่ยประมาณ
๔๐๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บิต หมุนเร็วด้วยอัตราสูง ๑๒,๐๐๐ รอบต่อนาที
มีเวลาในการเรียกหาเฉลี่ย ๘ มิลลิวินาที |  เครื่องพิมพ์ดีดควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์ในสมัยแรก | ดรัมแม่เหล็กมีราคาถูกกว่าแกนแม่เหล็ก แต่ทำงาน
ได้ช้ากว่า เนื่องจาก ต้องเสียเวลาไปในการหมุนของดรัม
และการเคลื่อนย้ายหัวอ่านและหรือหัวบันทึก ไปที่ตำแหน่ง
ที่ต้องการ ของคอมพิวเตอร์ ในชุดคำสั่ง
| เครื่องพิมพ์ดีดควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์
(console typewriter)
เป็นเครื่องพิมพ์ดีดติดตั้งบนโต๊ะ
มีลักษณะเหมือนเครื่องพิมพ์ดีดทั่วๆ ไป
แต่ภายในมีสายไฟฟ้าต่อเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยสามารถเป็นได้ทั้งส่วนรับงาน และส่วนแสดงผล
|  ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
นิยมใช้เครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์ควบคุมการทำงานแทนเครื่องพิมพ์ดีด
โดยมีเครื่องพิมพ์ต่อแยกต่างหาก เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน |
เครื่องพิมพ์ดีดนี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพนักงานควบคุมเครื่องกับเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยการกดปุ่มบนแป้นตัวอักษร
เครื่องก็จะสามารถพิมพ์ตัวอักษรนั้นเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะทำงานตามคำสั่ง
และส่งผลงานกลับมาให้เครื่องพิมพ์
พิมพ์ลงบนกระดาษพิมพ์
อัตราเร็วของการพิมพ์ข้อมูลเข้า จะขึ้นอยู่กับความ
สามารถของพนักงานที่ทำการพิมพ์ดีด แต่การแสดงผลจะขึ้นอยู่กับการออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้กับเครื่องพิมพ์นี้
ซึ่งตามปกติจะมีอัตราเร็วประมาณ ๑๐-๓๓๐ ตัวอักษรต่อวินาที
บางครั้งอาจใช้เครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์แทนเครื่อง
พิมพ์นี้ได้
เครื่องโทรพิมพ์ (teletype)
เป็นเครื่องที่ใช้สื่อสารข้อมูลกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใกล้หรือไกลเช่นเดียวกับโทรศัพท์
ที่เราใช้สื่อสารกันด้วยคำพูด
แต่โทรพิมพ์เราใช้สื่อสารกันด้วยตัวอักษรที่พิมพ์บนแผ่นกระดาษ
วิธีการพิมพ์มีหลายวิธี คือ ใช้กงล้อที่มีตัวอักษร ใช้วิธีการทางไฟฟ้าสถิต
โดยทำให้หยดหมึกมีประจุไฟฟ้าลบ
ซึ่งจะวิ่งเข้าติดกับกระดาษพิมพ์ด้วยขั้วไฟฟ้า (electrode) จำนวนมาก
และใช้เข็มพิมพ์จำนวนมาก (dot matrix) เมื่อได้รับสัญญาณ
เข็มจะพุ่งออกมาพิมพ์เป็นตัวอักษรตามรหัสของข้อมูลต่างๆ
เครื่องโทรพิมพ์มีอยู่หลายแบบ บางแบบใช้รับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์
แล้วพิมพ์บนกระดาษเท่านั้น
แต่บางแบบก็สามารถใช้ส่งข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ได้ นอกจากนี้
อาจจะมีเครื่องแถบกระดาษเพิ่มขึ้นอีกด้วย
|
 เครื่องโทรพิมพ์ |
โทรพิมพ์ยังใช้เป็นเครื่องส่งข้อมูลอย่างอื่นได้อีก เช่น คำสั่งซื้อขาย
ใบส่งของ ใบจองตั๋วเครื่องบิน เช็คจ่ายเงินเดือน
ข้อมูลเกี่ยวกับเรือเข้าออก เป็นต้น |
เครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์
(visual display unit; VDU หรือ cathode-ray tube; CRT)
ประกอบด้วยจอโทรทัศน์
และแป้นตัวอักษรเป็นเครื่องรับส่งข้อมูล
ซึ่งสามารถแสดงเป็นภาพหรือตัวอักษรปรากฎขึ้นบนจอโทรทัศน์
ซึ่งเหมือนจอโทรทัศน์ที่ใช้กับเครื่องรับโทรทัศน์ทั่วๆ ไป ใน
การส่งข้อมูลจะทำได้ โดยการกดแป้นตัวอักษร
ตัวอักษรนั้น จะปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ และส่งเข้าไปไว้ในส่วนความจำ
ถ้าพิมพ์ผิดก็สามารถแก้ไขได้ ลบทิ้งได้
หรือถ้าต้องการใช้ข้อมูลในคอมพิวเตอร์
ก็สามารถเรียกออกมาแสดงบนจอโทรทัศน์ได้
 |
เครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันมากที่สุด
ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ โดยใช้สายเคเบิลหรือสายโทรศัพท์
ซึ่งอาจจะยาวมาก จนผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่า
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดต่อด้วยนั้นอยู่ที่ใด
|
ภาพที่แสดงบนจอโทรทัศน์อาจเป็นตัวอักษร
ภาพแสดงทางวิศวกรรม และทางวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบันได้มีผู้ประดิษฐ์ปากกาแสง
(light pen) ใช้สำหรับเขียนเส้นบนจอโทรทัศน์เป็นภาพต่างๆ เช่น
ภาพโครงสร้าง ภาพแบบแปลนของเครื่องยนต์ เป็นต้น
ทำให้การออกแบบบางอย่างสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็ว และได้รับความสะดวกมากขึ้น
ในปัจจุบันนี้
ได้มีการประดิษฐ์จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่มากขึ้นอีกหลายแบบ
แบบหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ระบบแสดงสารสนเทศ เพื่อการจัดการ (management
information display systems; MIDS) มีขนาดกว้าง ๕ ฟุต สูง ๕ ฟุต
มีจุดที่จะเปล่งแสดงออกมา ๕๑๒ x ๕๑๒ จุด
ข้อดีของเครื่องรับส่งแบบจอโทรทัศน์คือ สามารถ
แสดงข่าวสารที่ต้องการได้รวดเร็วและไม่เปลืองกระดาษที่ใช้
พิมพ์ข่าวสาร แต่มีข้อเสียคือ ไม่มีเอกสารเก็บไว้เป็น
หลักฐาน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีเครื่องรับส่งแบบจอ
โทรทัศน์บางแบบสามารถพิมพ์ข่าวสารไว้ดูได้ด้วย
|
 ปากกาแสงเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งสำหรับช่วยในการเขียนเส้นต่าง ๆ บนจอภาพ | เครื่องพิมพ์ความเร็วสูง
(high-speed print- er
หรือ line
printer)
เครื่องพิมพ์ความเร็วสูงใช้เป็นส่วนแสดงผลเท่านั้น
โดยพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษรทีละบรรทัด
ซึ่งผิดกับเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดาที่สามารถพิมพ์ได้ทีละตัวอักษร
เครื่องพิมพ์ความเร็วสูงมีทั้งแบบทางกล และแบบทางไฟฟ้า
แบบทางกลมีใช้แพร่หลายมากกว่า และสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหลายแบบดังนี้
แบบกงล้อ (print
wheel)
เครื่องพิมพ์แบบนี้ ประกอบด้วย กงล้อหลายกงล้อ
ครบตามขนาดกระดาษที่จะใช้พิมพ์
แต่ละกงล้อมีชุดของตัวอักษรที่ต้องการใช้ติดอยู่ครบทุกตัว
ในการพิมพ์แต่ละบรรทัด กงล้อทุกกงล้อจะหมุนให้ตัวอักษรต่างๆ
ที่ต้องการพิมพ์มาผสมกันเป็นข้อความ เมื่อครบบรรทัดตามต้องการแล้ว
ก็จะมีกลไกบังคับค้อนให้ตีลงบนกระดาษ และผ้าพิมพ์
ทำให้ตัวอักษรที่เป็นข้อความติดอยู่บนแถบกระดาษพิมพ์ทีละบรรทัด
และกระดาษจะเลื่อนเตรียมพิมพ์บรรทัดต่อไป
เนื่องจากต้องเสียเวลาในการหมุนกงล้อต่างๆ จน
กระทั่งได้ข้อความที่ต้องการ การพิมพ์จึงช้าเมื่อเปรียบเทียบ
กับอัตราถ่ายทอดข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่
เครื่องพิมพ์แบบนี้สามารถพิมพ์ได้ด้วยอัตราเร็วประมาณ ๑๕๐
บรรทัดต่อนาที
แบบกระบอก
(rotating-drum printer)
เครื่องพิมพ์แบบนี้ประกอบด้วยวัตถุรูปทรงกระบอก
มีตัวอักษรชนิดเดียวกันเรียงเป็นแถวเดียวกันตามแนวแกนของรูปทรงกระบอก
(ในแถวหนึ่งมีตัวอักษร ๑๒๐-๑๔๔ ตัว)
และมีค้อนจำนวนเท่ากับตัวอักษรอยู่หลังกระดาษรอบวงของทรงกระบอก
ซึ่งจะมีตัวอักษรครบตามที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการใช้
รูปทรงกระบอกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงในแนวนอน
การพิมพ์จะพิมพ์โดยค้อนตีลงบนกระดาษตรงตัวอักษรตามตำแหน่งที่ต้องการ
เมื่อรูปทรงกระบอกหมุนครบหนึ่งรอบ ค้อนก็จะตีตัวอักษรได้ครบทุกตัว
และถูกต้องตามตำแหน่งของข้อความที่ต้องการในหนึ่งบรรทัด
ครั้นแล้วกระดาษจะเลื่อนเตรียมพิมพ์บรรทัดต่อไป
เครื่องพิมพ์แบบนี้พิมพ์ได้เร็วกว่าแบบกงล้อ โดย
สามารถพิมพ์ด้วยอัตราเร็ว ๒๐๐-๑,๒๐๐ บรรทัดต่อนาที
แบบโซ่หมุน
(chain-printer)
เครื่องพิมพ์แบบนี้มีตัวอักษรต่างๆ
ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการใช้อยู่ครบบนสายโซ่ที่หมุนได้หนึ่งเส้น
แต่เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการที่ต้องรอให้ตัวอักษรที่ต้องการหมุน
มาอยู่ใต้ค้อนที่ต้องการทั่วๆ ไป
เขาจะประดิษฐ์ให้มีตัวอักษรแบบเดียวกันซ้ำ
กันอยู่ ๔ ชุดในโซ่เส้นเดียวกัน โดยวิธีนี้สามารถพิมพ์ด้วยอัตราเร็ว
๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ บรรทัดต่อนาที
นอกจากนี้เครื่องพิมพ์ความเร็วสูงยังมีอีกหลายแบบ
เช่น แบบแถบพิมพ์ (band หรือ belt-printer) แบบ
เลเซอร์ (laser optical recorder) แบบหมึกฉีด (jet-ink)
เป็นต้น
|

เครื่องพิมพ์ความเร็วสูงมีหลายแบบ ได้แก่ แบบกงล้อ แบบกระบอกและแบบโซ่หมุน
:
ก. กงล้อแบบหนึ่งที่ใช้ในเครื่องพิมพ์แบบกงล้อ
ข. กระบอกตัวอักษรแบบหนึ่งที่ใช้ในเครื่องพิมพ์แบบกระบอก
ค. สายโซ่ตัวอักษรที่ใช้ในเครื่องพิมพ์แบบโซ่หมุน
|
เครื่องเขียนกราฟ (graph plotter)
เครื่องเขียนกราฟนี้ใช้เป็นส่วนแสดงผลเท่านั้น ในการเขียนเส้น
กราฟ เครื่องจะแปลสัญญาณเชิงตัวเลข ซึ่งได้รับจากเครื่อง
คอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณเชิงอุปมาน เพื่อนำไปทำการ
ควบคุมการเขียนเส้นกราฟหรือวาดรูปต่อไป
|
|