สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 11
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๑ / เรื่องที่ ๔ การประยุกต์คอมพิวเตอร์ / การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านวิทยาศาสตร์
การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านวิทยาศาสตร์
การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านวิทยาศาสตร์
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์
มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการวิจัยในทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ (nuclear physics
or particle) ซึ่งเป็นวิชาว่าด้วยส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสารเรียกว่า
อนุภาค (particle) และศึกษาค้นคว้าว่า อนุภาคที่เล็กที่สุดนี้
สามารถรวมตัวกันเป็น สสารชนิดต่างๆ กันได้อย่างไร ด้วยแรงอะไรบ้าง
วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาธรรมชาติของอนุภาคเหล่านี้
จำเป็นต้องมีวิธีการแตกหรือแยกสสารต่างๆ ออกเป็นส่วนเล็กที่สุด คือ
แยกจากสสารเป็นโมเลกุล แล้วเป็นอะตอม และในที่สุดเป็นอนุภาค
วิธีศึกษาการแตกตัวของอะตอมนั้น
ใช้การถ่ายภาพปรากฏการณ์การเกิดอนุภาคนั้นๆ ในเครื่องมือพิเศษ
ที่จัดขึ้นซึ่งเรียกว่า บับเบิลแชมเบอร์ (bubble chamber)
และสปาร์กแชมเบอร์ (spark chamber) ในการถ่ายภาพของ การทดลองแต่ละครั้ง
ต้องถ่ายเป็นจำนวนแสนๆ ภาพ
จึงจะได้ข้อมูลเพียงพอในการศึกษาคุณสมบัติของอนุภาคนั้นๆ
จากนั้นจึงนำเอาข้อมูลนี้ไปวัดและคำนวณประมวลผล สมมติว่า
ถ้าใช้คนหนึ่งคนนั่งวัด และคำนวณวันละ ๘ ชั่วโมง
จะต้องใช้เวลาทั้งหมดประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปี แต่ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ช่วย
จะสามารถทำได้เร็วขึ้นมาก เช่น ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ ขนาดกลาง ๑
เครื่องจะคำนวณทั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กรณีให้แล้วเสร็จ ได้ในเวลาประมาณ ๑ ๑/๒ ปี ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดกลาง
๒ เครื่องจะสามารถแล้วเสร็จในเวลาไม่ถึงปี ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ก็จะสามารถทำแล้วเสร็จภายในเวลา ๓-๔
เดือนเท่านั้น
ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์
เพื่อช่วยในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ คริสตัลโลกราฟี
(crystallography) วัตถุประสงค์ของวิชานี้คือ เพื่อศึกษาว่า
อะตอมของผลึกของสสารต่างๆ มีโครงสร้างในโมเลกุลเป็นอย่างไรบ้าง
ความรู้นี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงทางด้านการแพทย์ เคมี และชีววิทยา
โดยทั่วไปการจัดเรียงตัวของอะตอมของผลึกแต่ละชนิดย่อมมีแบบแผน
และคุณสมบัติประจำตัวของแต่ละผลึกอยู่แล้ว เมื่อฉายรังสีเอกซ์
หรือเอกซเรย์ผ่านผลึกนั้น
ก็ย่อมจะได้ภาพในฟิล์มเอกซเรย์เป็นแบบแผนเฉพาะของผลึกนั้น
วิธีการศึกษาโครงสร้างของอะตอมของผลึก
จึงเป็นการฉายแสงเอกซเรย์ผ่านผลึกแต่ละชนิด
และถ่ายภาพเป็นฟิล์มเอกซเรย์เก็บไว้ เพื่อการเปรียบเทียบแบบแผนของภาพว่า
แบบแผนใดควรจะมีโครงสร้างของอะตอมในโมเลกุลอย่างไร
การเปรียบเทียบจึงเป็นแบบที่ต้องลองแล้วลองอีก (trial and error) คือ
สมมติว่า อะตอมหนึ่งอยู่ ณ จุดหนึ่ง อีกอะตอมหนึ่งอยู่ ณ อีกจุดหนึ่ง
สมมติไปครบทุกอะตอม ซึ่งอาจจะรวมถึง ๑๐๐ อะตอม ก็ได้ แล้วคำนวณว่า
ถ้าอะตอมต่างๆ อยู่ ณ จุดต่างๆ นั้น จะได้แบบแผนเป็นภาพเอกซเรย์อย่างไร
นำภาพจากการคำนวณมาเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงของผลึกนั้นๆ
ถ้าไม่เหมือนกัน ก็กลับไปเปลี่ยน หรือโยกย้ายตำแหน่งของอะตอมต่างๆ
แล้วคำนวณหาแบบแผนของภาพอีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบกับภาพที่ถ่ายได้จริงอีก
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนได้ผลและโครงสร้างที่ถูกต้อง ซึ่งการกระทำเช่นนี้
อาจจะต้องทำเป็นร้อยๆ ครั้ง จึงจะได้ผลที่ต้องการ โดยปกติแล้ว
ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาคำนวณโดยคอมพิวเตอร์ประมาณ ๑๐
ชั่วโมง ถ้าใช้คนคำนวณด้วยเครื่องคิดเลข จะต้องใช้เวลาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐
ชั่วโมง หรือประมาณ ๑๑๐ ปี
ตัวอย่างที่
๓ ของการใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ ในการศึกษาทางเคมี
นิสิตนักศึกษาต้องปฏิบัติการทดลองในมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี
บางครั้งอาจเกิดการระเบิด มีคนบาดเจ็บขึ้นได้ ที่เกิดขึ้นเสมอๆ ก็คือ
หลอดแก้วแตก หรืออย่างน้อยที่สุดก็สิ้นเปลือง สารเคมีเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันนี้ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์แทนการทดลองจริง
แบบที่เรียกว่า ห้องทดลองแห้ง
|  ในการศึกษาทางเคมี การปฏิบัติการทดลองโดยไม่ระมัดระวัง
บางครั้งอาจเกิดการระเบิดเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้
ในบางประเทศจึงมีการทดลองโดยใช้คอมพิวเตอร์แทนการทดลองจริง | วิธีปฏิบัติก็คือ
ให้นักเรียนพิมพ์บอกคอมพิวเตอร์ว่า จะเอาสารอะไรผสมกัน
แล้วดูภาพสีที่จอโทรทัศน์คอมพิวเตอร์จะแสดงภาพบนจอให้เห็นขั้นตอนการทดลอง
เช่น ถ้าใช้กรดผสมกับด่าง ก็จะเห็นเป็นภาพการปล่อยให้กรดค่อยๆ หยดลงบนด่าง
เกิดเกลือให้เห็นชัดเจนเหมือนทดลองจริง ถ้ามีการใส่สารผิด
ก็มีภาพการระเบิดให้เห็นด้วย โดยคนดูไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย เป็นต้น
ในเมืองไทยขณะนี้ ยังไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในทาง
วิทยาศาสตร์มากเท่ากับในต่างประเทศ จะมีบ้างเพียงเล็กน้อยในมหาวิทยาลัย
ต่อไปหากเรามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ก็จะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่ละโรง
เพื่อทำการวิจัยและวัดผลให้ได้รวดเร็วตลอดเวลา
ในต่างประเทศมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ
ด้านคณิตศาสตร์ต่างๆ มากมาย เช่น ใช้หาค่าของ p เป็น
ทศนิยมถึง ๒๐๐-๓๐๐ ตำแหน่ง ใช้ในการคำนวณและพิมพ์
ตารางคณิตศาสตร์ต่างๆ ใช้ในการแก้ปัญหาที่เป็นสมการ
แบบต่างๆ ใช้ในทางสถิติ และใช้ในทางคอมพิวเตอร์ศาสตร์เอง เป็นต้น
ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยหลายแห่งมี
คณะคณิตวิทยาศาสตร์ (Mathematical Science) ซึ่งแบ่งออกเป็นภาควิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics) ภาควิชาสถิติ
(Statistics) และภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer
Science)
สำหรับบ้านเรานั้น ใน พ.ศ. ๒๕๒๙ มีการเรียนการสอน
ด้านคอมพิวเตอร์เกือบทุกมหาวิทยาลัย ฉะนั้นจึงมีแนวโน้ม
ที่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
|
|