สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 20
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๒๐ / เรื่องที่ ๙ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ / ประวัติความเป็นมาของโรคเอดส์
ประวัติความเป็นมาของโรคเอดส์
ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน แสดงเชื้อ HTLV III/LAV |
ประวัติความเป็นมาของโรคเอดส์
เมื่อเดือนมิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๒๔ ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกาได้รับรายงานจาก นครลอสแอนเจลิส
รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่ามีชายหนุ่มรักร่วมเพศ ๕ คน
ป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส คารินิไอ (Pneumocystis carinii)
ภายในอีก ๑ เดือนต่อมา มีรายงานจากนิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนียว่า
มีหนุ่มรักร่วมเพศอีก ๒๖ ราย ป่วยเป็นโรคมะเร็งแคโปสิ ซาร์โคมา (Kaposi's
sarcoma) ซึ่งโดยปกติจะเป็นโรคของคนอายุมาก และนอกจาก ๒๖ ราย
ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งดังกล่าวนั้นแล้ว
ยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายเป็นโรคปอดบวม และติดเชื้อฉวยโอกาส (แปลมาจากคำว่า
Opportunistic infections
) ชายหนุ่มที่ป่วยทุกราย ไม่มีรายใดที่มีโรคร้ายแรงประจำตัวมาก่อน
และไม่มีรายใด ที่เคยได้รับยาประเภทกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
และทุกรายเมื่อได้รับการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ
พบว่าการทำงานของเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรค
ไม่ได้ทำหน้าที่ตามปกติ และแม้ว่าจะได้รับการรักษาเป็นอย่างดี
แต่ก็ไม่มีใครรอดชีวิต ทั้งนี้เพราะระบบภูมิคุ้มกันโรคบกพร่องไป
หรือเสื่อมลงไป จากที่เคยมีอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง
จึงได้มีผู้เสนอให้เรียกชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immuno- deficiency
Syndrome หรือ AIDS
อันที่จริงแล้ว เมื่อทำการศึกษาย้อนหลัง
พบว่าโรคนี้เกิดในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และ พ.ศ. ๒๕๒๒
แต่เพิ่งจะมาครึกโครมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เพราะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
ในช่วงเวลาสั้นๆ จนผิดสังเกต และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นต้นมา
ก็ได้มีความเชื่อกันแล้วว่า
โรคนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันกับพฤติกรรมผิดปกติทางเพศคือ
เกี่ยวกับพวกรักร่วมเพศ หรือพวกโฮโมเซ็กชวล
และพฤติกรรมทางด้านยาเสพติดอย่างแน่นอน ต่อมายิ่งมีการพบว่า
ผู้ป่วยที่ได้รับการถ่ายเลือดก็เป็นโรคนี้ ทำให้เห็นแนวทางที่แจ่มชัดขึ้น
ในการที่จะทำการศึกษาโรคนี้อย่างละเอียด
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ นักวิจัย ต่างก็พยายามที่จะทำงานแข่งกับเวลา เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า ต้นเหตุของโรคร้ายนี้คือ อะไรกันแน่
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นเวลา ๒ ปี
หลังจากที่มีรายงานผู้ป่วยโรคเอดส์จากนครลอสแอนเจลิส
คณะนักวิจัยจากสถาบันปาสเตอร์แห่งกรุงปารีส ก็รายงานว่า
ได้แยกเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งได้ จากต่อมน้ำเหลืองของชายหนุ่ม
ที่มีต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งทั่วตัวรายหนึ่ง
(ซึ่งเป็นระยะหนึ่งของการดำเนินโรค ต่อไปมักจะกลายเป็น เอดส์)
ไว้รัสที่แยกได้นี้ นายแพทย์ลุค มองตานิเยร์ และคณะ ได้เรียกชื่อว่า
Lymphadenopathy - Associated Virus หรือ LAV
อีกปีหนึ่งให้หลังคือ พ.ศ. ๒๕๒๗
ดร. โรเบิร์ต แกลโล และคณะ แห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา
ก็แยกเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งได้ จากผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์
และจากผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ เนื่องจาก ดร.แกลโล และคณะ
เคยแยกเชื้อไวรัส จากผู้ป่วยมะเร็ง เม็ดเลือดขาวชนิด T lymphocyte
ที่พบชุกชุมใน ประเทศญี่ปุ่น และเป็นมะเร็ง ที่พิสูจน์ได้แน่ชัดว่า
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human T Lymphotropic Virus type ๑ หรือ HTLV-I
และต่อมาแยกได้ เชื้อไวรัสตัวที่สอง
จากผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นมะเร็งของ T lymphocyte
เช่นกัน และให้ชื่อไวรัสตัวที่สองนี้ว่า HTLV-II เมื่อแยกไวรัสได้ใหม่
ซึ่งก็มีความโน้มเอียงที่จะไปทำให้T lymphocyte ติดเชื้อได้เช่นกัน ดร.
แกลโล จึงขนานนามไวรัสที่พบใหม่ว่า เป็น HTLV-III ผลของการติดเชื้อ
และมีการทำลาย T lymphocyte ลงไปพร้อมกันอย่างมากนี้เอง
เป็นเหตุให้เกิดภูมิคุ้มกันเสื่อมลงไป
การศึกษาวิจัยในปัจจุบันนี้ คณะนักวิจัยจะทำการติดต่อประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอยู่เสมอๆ ในไม่ช้าก็พบว่า ทั้ง LAV และ
HTLV-III ก็คือ ไวรัสชนิดเดียวกัน ในขั้นต้นเรียกชื่อว่า HTLV-III/LAV หรือ LAV/HTLV-
III ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ตกลงกันเรียกว่า ไวรัส human
immunodeficiency virus (HIV) หรือ เอชไอวี
|
|