ในปัจจุบันการสื่อสารหลายๆ ประเภท อาศัยระบบวิทยุ
ซึ่งเป็นระบบส่งสัญญาณจากเครื่องส่ง ไปยังเครื่องรับ โดยใช้คลื่นวิทยุเป็นตัวพา
คลื่นวิทยุเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ระหว่าง ๓,๐๐๐ เฮิรตซ์กับ
๓๐๐ กิกะเฮิรตซ์ (หนึ่งเฮิรตซ์คือ หนึ่งรอบต่อวินาที
และหนึ่งกิกะเฮิรตซ์เท่ากับหนึ่งพันล้านเฮิรตซ์)
ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ในสุญญากาศ
และในอากาศด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วของแสง
ข้อมูล หรือข่าวสารที่จะส่งโดยใช้คลื่นวิทยุนั้น จะต้องอยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้า
เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกป้อนเข้าไปยังเสาอากาศ ก็จะถูกเปลี่ยนรูปเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ส่วนเครื่องรับวิทยุนั้น จะมีเสาอากาศทำหน้าที่แปลงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะแปรเป็นรูปแบบที่ต้องการ เช่น เสียงหรือภาพอีกต่อหนึ่ง
|
 ภาพเขียนจำลองดาวเทียมไทยคม ๓
|
ระบบวิทยุที่สัมผัสกับชีวิตประจำวัน ได้แก่
ระบบวิทยุกระจายเสียงแบบเอฟเอ็ม (FM) แบบเอเอ็ม (AM)
และระบบโทรศัพท์มือถือ
นอกจากนี้ระบบวิทยุยังใช้สำหรับวิทยุพูดคุยกัน ในระยะใกล้ การสื่อสารระหว่างดาวเทียมกับพื้นโลก
การสื่อสารระหว่างยานอวกาศกับพื้นโลก ระบบเรดาร์ ซึ่งใช้ตรวจจับตำแหน่ง
และความเร็วของวัตถุ เช่น รถยนต์ และเครื่องบิน
แม้แต่การแพร่ภาพของโทรทัศน์ ก็อาศัยคลื่นวิทยุเช่นเดียวกัน
ระบบวิทยุกระจายเสียง
จะมีเครื่องส่ง ภายในห้องส่ง จะมีผู้ดำเนินรายการ ซึ่งจะพูดหรือร้องเพลง
โดยใช้ไมโครโฟน มีเครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นแผ่นเสียง
หรือเครื่องเล่นซีดี (CD = compact disc) เสียงพูด
จะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้า โดยตัวไมโครโฟน ส่วนเครื่องเล่นเทป
แผ่นเสียงหรือซีดีนั้น สัญญาณที่ได้จะเป็นสัญญาณ ไฟฟ้าอยู่แล้ว
สัญญาไฟฟ้านี้จะถูกขยายให้มีกำลังสูงโดยใช้วงจรขยายเพื่อส่งไปยังเสา อากาศ
เสาอากาศจะแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สถานีวิทยุจะกระจายเสียง
พร้อมกันจำนวนมากมาย คลื่นวิทยุจากสถานีต่างๆ จะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าโดย
เสาอากาศของเครื่องรับวิทยุ
ความถี่ที่ใช้ในการกระจายเสียงจากสถานีต่างๆจะแตกต่างกัน
เมื่อเราหมุนปุ่มเลือกสถานีของเครื่องรับวิทยุ
วงจรภายในก็จะกรองเอาสัญญาณของสถานี อื่นๆ ออก ยกเว้นสถานีที่เราเลือก
ดังนั้น ภายในเครื่องรับวิทยุก็จะมีวงจรกรองสัญญาณ วงจรขยายสัญญาณ
โดยสัญญาณที่ได้จะไปขับลำโพงอีกทอดหนึ่ง ตัวลำโพงจึงทำหน้าที่
แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณเสียงนั่นเอง
การปรับระดับเสียงของเครื่องรับวิทยุ
ก็เป็นการปรับกำลังขยายของวงจรขยายสัญญาณนั่นเอง
|
 ผู้ดำเนินรายการวิทยุ กำลังดำเนินรายการในห้องส่งวิทยุ
|
ในระบบโทรศัพท์มือถือนั้น
ผู้ใช้จะมีเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณวิทยุ
เมื่อกดหมายเลข ที่ต้องการโทรแล้ว เครื่องจะส่งสัญญาณเป็นคลื่นวิทยุ
ไปยังสถานีฐานที่ใกล้ที่สุดของระบบโทรศัพท์มือถือนั้น
หลังจากนั้นสถานีฐานจะทำการต่อหมายเลขให้
การติดต่อระหว่างเครื่องโทรศัพท์กับสถานีฐานนั้น จะเป็นสองทิศทาง กล่าวคือ
จะมีการส่งและรับสัญญาณของกันและกัน
ระบบเรดาร์ที่ใช้ตามสนามบิน
หรือที่ตำรวจจราจรใช้ตรวจจับความเร็วของรถยนต์ ก็ใช้การส่งสัญญาณ
โดยคลื่นวิทยุเช่นกัน ในกรณีนี้เครื่องส่ง และเครื่องรับจะอยู่ด้วยกัน
กล่าวคือ เครื่องส่งจะส่งสัญญาณชั่วขณะหนึ่ง
ไปในทิศทางที่เสาอากาศเล็งเอาไว้ หลังจากนั้น
เครื่องรับก็จะรอดูว่ามีวัตถุ (เช่น รถยนต์ หรือเครื่องบิน) สะท้อนสัญญาณ
นั้นกลับมาหรือไม่ ถ้ามี
เครื่องรับก็จะหาเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางจากเครื่องส่ง แล้ว
สะท้อนกลับมายังเครื่องรับ
เวลาที่หาได้สามารถนำไปคำนวณได้ว่าวัตถุอยู่ห่างจากเครื่อง เรดาร์เท่าใด
ถ้าหากเครื่องเรดาร์ต้องการทราบความเร็วของวัตถุนั้น ก็จะต้องหาความถี่
ของสัญญาณที่สะท้อนกลับมา
ความถี่ที่ได้เมื่อเปรียบเทียบกับความถี่ของสัญญาณที่ส่ง ออกไป
สามารถนำไปคำนวณความเร็วของวัตถุนั้นได้
|
 เครื่องวิทยุสื่อสารสำหรับติดต่อระยะใกล้ๆ
| การติดต่อกับยานอวกาศที่อยู่นอกโลก
ก็ใช้คลื่นวิทยุเช่นเดียวกัน ในกรณีนี้
สัญญาณที่ส่งจากยานอวกาศกลับมายังโลก จะมีกำลังอ่อนมาก
เพราะกำลังจ่ายไฟบนยานอวกาศมีจำกัด ดังนั้น สถานีพื้นโลก
จึงต้องใช้เสาอากาศที่ใหญ่ เพื่อเพิ่มกำลังในการรับสัญญาณ
|
เสาอากาศเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของระบบวิทยุ
ถ้าไม่มีเสาอากาศ ก็จะไม่สามารถส่งสัญญาณในรูปของคลื่นวิทยุได้ เสาอากาศ
จะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมาก โดยทั่วไปแล้ว
ถ้าคลื่นวิทยุมีความถี่สูงขึ้น เสาอากาศที่ใช้ ก็จะสั้นลง
ดังจะสังเกตได้ว่า
เครื่องรับวิทยุเอฟเอ็มที่มีเสาอากาศยาวประมาณหนึ่งเมตรจะรับสัญญาณได้ดี
ส่วนโทรศัพท์มือถือที่มีเสาอากาศยาวประมาณ ๑๐-๒๐ ซม. เท่านั้น ทั้งนี้
เพราะว่า
โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงกว่าความถี่ของคลื่นวิทยุกระจายเสียง
นอกจาก ความยาวของเสาอากาศแล้ว รูปร่างของเสาอากาศก็แตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับกำลัง ของคลื่นที่รับ ทิศทาง และลักษณะการกระจายของคลื่นนั้นๆ
ประโยชน์ของระบบวิทยุก็คือ
การติดต่อระหว่างเครื่องส่ง และเครื่องรับ สามารถกระทำได้
โดยไม่ต้องใช้สายตัวนำ ดังนั้น เครื่องส่ง หรือเครื่องรับ
จึงไม่ต้องอยู่กับที่ สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ ทำให้เพิ่มความสะดวกสบาย
ในการใช้ บางกรณี การใช้ระบบ วิทยุทำให้การลงทุนติดตั้งมีราคาถูกกว่า
ดังเช่น การติดตั้งโทรศัพท์ในท้องถิ่นที่ห่างไกล
ถ้าหากจะเดินสายโทรศัพท์จากชุมสายไปยังเครื่องรับโทรศัพท์
จะต้องใช้สายโทรศัพท์ที่ยาวมาก และต้องใช้แรงงานในการวางสาย
ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ระบบวิทยุแทน
ส่วนการใช้งานบางกรณีจำเป็นต้องใช้ระบบวิทยุอย่างเดียว
ไม่สามารถใช้สายตัวนำได้ ดังเช่น การติดต่อกับยานอวกาศ เป็นต้น
|