สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 27
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๒๗ / เรื่องที่ ๑ ลิเก / ลิเกยุคต่างๆ
ลิเกยุคต่างๆ
ลิเกยุคต่างๆ
ยุคลิเกสวดแขก คือ ยุคที่ชาวไทยมุสลิมเดินทางจากภาคใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วได้นำการสวดสรรเสริญพระเจ้าประกอบการตีรำมะนา
(กลองหน้าเดียวตีประกอบลำตัดในปัจจุบัน)
เข้ามาด้วย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่
๕ ลูกหลานชาวไทยมุสลิม ก็ใช้ภาษาไทยแทนภาษามลายู
สำหรับการแสดงลิเกสวดแขกนั้น
ผู้แสดงชายนั่งล้อมเป็นวงกลม
มีคนตีรำมะนาเสียงทุ้มและแหลม
๔ ใบ หรือ ๑ สำรับ การแสดงเริ่มด้วยการสวดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษามลายู
จากนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอนภาษามลายูตอนใต้
เรียกกันว่า ปันตุน หรือ ลิเกบันตน
ต่อมาแปลงจากภาษามลายูเป็นภาษาไทย
การแสดงบางครั้งมีการประชันวงร้องตอบโต้กัน
จนกลายมาเป็นลำตัดในปัจจุบัน |
การสวดคฤหัสถ์แสดง
|
ยุคลิเกออกภาษา
คือ ยุคที่ลิเกนำเพลงออกภาษาของการบรรเลงปี่พาทย์
และการสวดคฤหัสถ์ในงานศพสมัยรัชกาลที่
๕ มาเพิ่มเข้าไปในการแสดงลิเก
เพลงออกภาษาเป็นการแสดงล้อเลียนชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครในขณะนั้น
ด้วยการนำการแต่งกาย
น้ำเสียงในการพูดภาษาไทย ปนกับภาษาของตน
และเพลงที่ขับร้องในหมู่ชาวต่างชาติเหล่านั้น มาล้อเลียนเป็นที่สนุกสนาน
ผู้ชมนิยมกันมาก เมื่อลิเกนำมาใช้ก็เริ่มต้นการแสดงด้วยการสวดแขกเป็นการออกภาษามลายู
เพราะถือว่าเป็นการแสดงที่ศักดิ์สิทธิ์
และเป็นสิริมงคล แล้วจึงต่อด้วยภาษาอื่นๆ
เช่น มอญ จีน ลาว ญวน พม่า เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวา อินเดีย ตะลุง
(ปักษ์ใต้) การแสดงออกภาษาเป็นการแสดงตลกชุดสั้นๆติดต่อกันไป
ต่อมาปรับปรุงการแสดงมาเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขก
แล้วต่อด้วยชุดออกภาษาแสดงเป็นละครเรื่องยาวอีก
๑ ชุด
|
ลิเกทรงเครื่องยุคต้นๆ
นายหอมหวล นาคศิริ | ยุคลิเกทรงเครื่อง การแสดงลิเกออกภาษาในส่วนที่เป็นสวดแขก กลายเป็นการออกแขก
มีผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบชาวมลายูออกมาร้องเพลงอำนวยพร
มีตัวตลกถือขันน้ำตามออกมาให้ผู้แสดงเป็นแขกประพรมน้ำมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล
ส่วนที่เป็นชุดออกภาษา
กลายเป็นละครเต็มรูปแบบ
ซึ่งวงรำมะนายังคงใช้บรรเลงตอนออกแขก
แต่ใช้ปี่พาทย์บรรเลงในช่วงละคร
เครื่องแต่งกายหรูหราเลียนแบบข้าราชสำนัก ในสมัยรัชกาลที่
๕ จึงเรียกว่า ลิเกทรงเครื่อง ลิเกทรงเครื่องแสดงในโรง
(วิก) และเก็บค่าเข้าชม เกิดขึ้นโดยคณะของพระยาเพชรปาณี
ข้าราชการกระทรวงวัง
ซึ่งนำแสดงโดยภรรยา ของตน
วิกพระยาเพชรปาณีตั้งอยู่นอกกำแพง
เมือง หน้าวัดราชนัดดาราม
ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรงเครื่องแพร่หลายไปทั่วภาคกลางอย่างรวดเร็ว
มีวิกลิเกเกิดขึ้นมากมาย ต่อมามีการนำเนื้อเรื่องและขนบธรรมเนียมของละครรำมาใช้
จนถึงขั้นแสดงเรื่องอิเหนา
ตามบทพระราชนิพนธ์ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่
๒ ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ลิเกทรงเครื่อง ก็ประสบปัญหาการขาดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกายซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
เช่น ผ้าและเพชรเทียม จนในที่สุดการแต่งกายชุดลิเกทรงเครื่องก็หมดไป
วงรำมะนาที่ใช้กับการออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พาทย์แทนเพื่อเป็นการประหยัด
เพลงรานิเกลิงหรือเพลงลิเก
เกิดขึ้นโดย นายดอกดิน เสือสง่า
ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เอง
และต่อมา นายหอมหวล นาคศิริ ได้นำเพลง | |