อุทยาน
ประวัติศาสตร์ภูพระบาท
๑.
ที่ตั้ง
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองพาน
อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีห่างจากกรุงเทพมหานคร
ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๕๗๐ กิโลเมตร
ภูพระบาทเป็นชื่อภูเขาอยู่ในทิวเขาภูพาน
ซึ่งทอดยาวอยู่ทางด้านทิศตะวันตก
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบริเวณภูพระบาท
ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่า
เขือน้ำ” โดยขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้จำนวน
๓,๔๓๐ ไร่และได้ดำเนินการพัฒนาให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์
ภูพระบาท เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ |
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕
|
๒.
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
สภาพภูมิประเทศของภูพระบาทมีลักษณะเป็นโขดหินและเพิงผาที่กระจัด
กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดจากการผุพังสลายตัวของหินทราย
ซึ่งมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งแตกต่างกัน
ระหว่างชั้นของหินที่เป็นทรายแท้ๆ ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก
กับชั้นที่เป็นทรายปนปูนซึ่งมีความแข็งแกร่งน้อยกว่า นานๆ
ไปจึงเกิดเป็นโขดหิน และเพิงผารูปร่างแปลกๆ
ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว
วิถีชีวิตของผู้คน ในสมัยนั้นดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่า
และล่าสัตว์เป็นอาหาร เมื่อขึ้นมาพักค้างแรม
อยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติเหล่านี้ก็ได้ใช้เวลาว่างขีดเขียนภาพ
ต่างๆ เช่น ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ
ตลอดจนภาพลายเส้นสัญลักษณ์ต่างๆไว้บนผนังเพิงผาที่ใช้พักอาศัย
ซึ่งปรากฏอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นจำนวนมาก
เช่น ที่ถ้ำวัว - ถ้ำคน และภาพเขียนสีโนนสาวเอ้
ซึ่งภาพเขียนสีบนผนังหินเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาให้ผู้คนในชั้นหลัง
ค้นหาความหมายที่แท้จริงต่อไป |
หอนางอุสา
ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
|
นอกจากนี้
ยังได้พบหลักฐานทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖
อยู่ด้วย อาทิ การดัดแปลงโขดหินให้เป็นศาสนสถาน
โดยมีคติการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้
และลักษณะของพระพุทธปฏิมาบางองค์ที่ถ้ำพระ
ก็แสดงถึงอิทธิพลศิลปกรรมสมัยทวารวดีอย่างเด่นชัด
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘
อิทธิพลของศิลปกรรมแบบเขมรได้เข้ามามีบทบาทในบริเวณนี้ด้วย
เนื่องจากได้พบการสกัดหินเพื่อดัดแปลงพระพุทธรูปที่บริเวณถ้ำพระให้
เป็นรูปพระโพธิสัตว์ หรือเทวรูปในศาสนาฮินดู
โดยได้สลักส่วนของผ้านุ่งด้วยลวดลายที่งดงามยิ่ง
ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ พื้นที่แถบอีสานตอนบนเกือบทั้งหมด
โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับลำน้ำโขง
ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมลาวหรือล้านช้าง จากการศึกษาพบว่า
มีร่องรอยของงานศิลปกรรมสกุลช่างลาวอยู่บนภูพระบาท
ดังเห็นได้จากพระพุทธรูปขนาดเล็กบริเวณถ้ำพระเสี่ยง
แสดงถึงศิลปะสกุลช่างลาว ส่วนสถาปัตยกรรมในสมัยนี้ได้แก่
เจดีย์ร้าง (อุปโมงค์) ที่สันนิษฐานว่า
เดิมอาจใช้สำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อุรังคธาตุ |

บ่อน้ำนางอุสา
ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

ถ้ำวัว-ถ้ำคน
ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

ภาพเขียนสีรูปวัว |
นอกจากภูพระบาทจะมีความสัมพันธ์กับคัมภีร์อุรังคธาตุแล้ว
ผู้คนในท้องถิ่นยังได้นำเอาตำนานพื้นบ้าน หรือนิทานพื้นเมืองเรื่อง
“อุสา
- บารส” มาตั้งชื่อ และเล่าถึงสถานที่ต่างๆ
บนภูพระบาทอย่างน่าสนใจด้วยเหตุนี้จึงพบว่า โบราณสถานต่างๆ
บนภูพระบาทล้วนมีชื่อเรียกตามจินตนาการจากนิทานเรื่อง “อุสา
- บารส” เป็นส่วนใหญ่ อาทิ หอนางอุสา กู่นางอุสา
บ่อน้ำนางอุสา วัดลูกเขย วัดพ่อตา คอกม้าท้าวบารส
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทมีลักษณะที่แตกต่างจากอุทยานประวัติ
ศาสตร์แห่งอื่นๆ ของกรมศิลปากรที่ได้กล่าวมาแล้ว
เพราะนอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว
ยังมีความสำคัญทางด้านนิเวศวิทยา
เนื่องจากเป็นที่ตั้งของวนอุทยานภูพระบาทบัวบก ของกรมป่าไม้
ซึ่งมีพืชพรรณทั้งไม้ดอกและไม้ใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
๓.
โบราณสถานสำคัญ
ภายในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ได้มีการสำรวจพบโบราณสถานแล้ว ๖๘ แห่ง
แบ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ๔๕ แห่ง
และสิ่งก่อสร้างที่ดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นศาสนสถาน ๒๓ แห่ง
โบราณสถานทั้งหมดตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะโบราณสถานที่น่าสนใจ และสามารถเข้าชมได้สะดวก
ดังต่อไปนี้
๑)
หอนางอุสา
“หอ
นางอุสา”
ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
มีลักษณะเป็นโขดหินคล้ายรูปเห็ดอยู่บนลาน
เดิมเกิดจากการกระทำตามธรรมชาติ
ต่อมาคนได้ดัดแปลงโดยการก่อหินล้อมเป็นห้องขนาดเล็กเอาไว้ที่เพิง
หินด้านบน มีใบเสมาหินขนาดกลางและขนาดใหญ่ปักล้อมรอบโขดหิน แสดงว่า
บริเวณนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล
แล้ว
๒)
ถ้ำพระ
“ถ้ำ
พระ” เดิมคงเป็นเพิงหินขนาดใหญ่
ที่เกิดจากก้อนหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกันตามธรรมชาติ ต่อมา
คนได้สกัดหินก้อนล่าง ออกจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่
รวมไปถึงสลักรูปพระพุทธปฏิมาเอาไว้ในห้องอีกด้วย นอกจากนี้
ยังพบร่องรอยของหลุมเสาด้านนอกเพิงหินเรียงอยู่เป็นแนวในกรอบรูปสี่
เหลี่ยมผืนผ้า จึงสันนิษฐานว่า
เดิมอาจมีการต่อหลังคาเครื่องไม้ออกมาด้านนอก ทำ
ให้หลังคาเพิงหินก้อนบนทรุดตัวพังทลาย
และส่วนหนึ่งได้ล้มทับพระพุทธปฏิมาจนชำรุดเสียหายไปด้วย
๓)
ถ้ำวัว - ถ้ำคน
มีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกัน ทำให้เกิดเป็นชะง่อนหิน
ที่สามารถใช้หลบแดดหลบฝนอยู่ทางด้านล่างของเพิง
ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของเพิงหิน พบภาพเขียนรูปสัตว์และรูปคน
จึงเรียกว่า “ถ้ำ
วัว - ถ้ำคน”
๔)
แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้
แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระพุทธบาทบัวบก
บริเวณนี้พบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนผนังเพิงหินอยู่
๒ จุด จุดแรกได้แก่ “โนน
สาวเอ้ ๑” ซึ่งเป็นโขดหินขนาดใหญ่อยู่กลางลานหิน
ภาพเขียนสีบนผนังเขียนด้วยสีแดงคล้ำ เป็นลายเส้นรูปต่างๆ นอกจากนี้
ยังมีลายเส้นเขียนด้วยสีขาว เป็นภาพช้าง หงส์ และม้า
ซึ่งจากฝีมือที่ปรากฏสันนิษฐานว่า เป็นงานที่เขียนขึ้นในสมัยหลัง
ถัดจากโนนสาวเอ้ ๑ ออกไปประมาณ ๕ เมตร
เป็นที่ตั้งของแหล่งภาพเขียนสี “โนน
สาวเอ้ ๒”
ซึ่งปรากฏภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน
บนผนังเพิงหินด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ ภาพเขียนสีที่พบได้แก่
ภาพลายเส้นคู่ขนานต่อกันเป็นรูปหลายเหลี่ยม ภาพวงกลมคล้ายลายก้านขด
ภาพลายเส้นคล้ายสัตว์ที่มี ๔ ขา
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งรวบรวมสิ่งสำคัญ
ทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม และทางด้านธรรมชาติเข้าด้วยกัน
มานานนับเป็นพันปี จึงเป็นมรดกสำคัญที่
ชนชาวไทยควรจะต้องช่วยกันรักษาให้คงไว้ตลอดไป |