ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ - สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
 
สารานุกรมไทย
สำหรับเยาวชน  เมนู ๓๐
เล่มที่ ๓๐
เรื่องที่ ๑ ศิลปะการเห่เรือ
เรื่องที่ ๒ หอพระไตรปิฎก
เรื่องที่ ๓ ปราสาทขอมในประเทศไทย
เรื่องที่ ๔ กฎหมายตราสามดวง
เรื่องที่ ๕ ไม้ดอกไม้ประดับ
เรื่องที่ ๖ กล้วย
เรื่องที่ ๗ ปลากัด
เรื่องที่ ๘ คลื่นสินามิ
เรื่องที่ ๙ วัสดุการแพทย์
รายชื่อผู้เขียน

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๐ / เรื่องที่ ๓ ปราสาทขอมในประเทศไทย / ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔

ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔
ช่วง พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔

ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ซึ่งตรงกับศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนครและร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลางของ ประเทศไทย อันเป็นสมัยแรกที่เริ่มปรากฏหลักฐานการรับศาสนาจากอินเดีย ในระยะแรกนี้สิ่งปลูกสร้างที่เป็นปราสาทนั้นแทบจะไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาเลย เนื่องจากปราสาทในสมัยนี้ส่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐจึงพังทลายไปตามกาลเวลา ยกเว้นเพียงชิ้นส่วนที่เป็นหิน เช่น ทับหลังหน้าบัน และเสาประดับกรอบประตูเท่านั้นที่ยังคง ปรากฏอยู่ มีปราสาทที่ยังหลงเหลือหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์อยู่เพียงหลังเดียวเท่า นั้นคือ ปราสาทภูมิโพน อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ที่สามารถศึกษารูปแบบได้

หลักฐานที่พบในช่วงนี้จะอยู่ในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดจันทบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ความสำคัญของภาคตะวันออกนั้น นอกจากเป็นดินแดนที่รับอารยธรรมจากภายนอกในระยะแรกแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม เช่น มีความสัมพันธ์กับทางภาคใต้ และแสดงการผสมผสานทางวัฒนธรรม ระหว่างทวารวดีภาคกลาง กับศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร หน้าบันหลายชิ้นที่พบที่วัดทองทั่ว ซึ่งปัจจุบัน ชิ้นหนึ่งจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร อีก ๒ ชิ้นเก็บรักษาไว้ที่วัดทองทั่ว และวัดบน บริเวณเขาพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี หน้าบันดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับศิลปะ ที่พบบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชา และทางตอนใต้ของประเทศลาว หลักฐานที่พบอีกชิ้นหนึ่งคือ ทับหลัง ซึ่งพบที่ปราสาทเขาน้อย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กำหนดอายุอยู่ในศิลปะแบบไพรกเมง
พระอุมา พบที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ประติมากรรมรุ่นเก่าที่สุดที่พบในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ ๑๒) จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ วังสวนผักกาด กรุงเทพฯ
พระอุมา พบที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ประติมากรรมรุ่นเก่าที่สุดที่พบในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ ๑๒)
จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ วังสวนผักกาด กรุงเทพฯ
ในด้านประติมากรรม ได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญเป็นรูปเทวสตรี ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นพระอุมาเทวี พบที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปัจจุบันเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด จัดเป็นประติมากรรมรุ่นเก่าสุด ที่พบในประเทศไทย ตรงกับสมัยสมโบร์ไพรกุก (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒) โดยดูจากการนุ่งผ้ายาวและมีจีบหน้านาง ยกเป็นริ้วตามธรรมชาติ คาดเข็มขัดที่ส่วนหัวเป็นรูปไข่ ใกล้เคียงกับศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ จนถึงสมัยหลังคุปตะเป็นอย่างมาก

ประติมากรรมเนื่องในศาสนาฮินดูอีกจำนวนหนึ่ง ที่พบในแถบจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว ได้แก่ ศิวลึงค์ และพระนารายณ์ โดยเฉพาะพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกนั้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับศิลปะ ที่พบทางภาคใต้ และที่เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย
ปราสาทภูมิโพน จ.สุรินทร์ ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ต่อไพรกเมง (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓)
ปราสาทภูมิโพน จ.สุรินทร์ ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ต่อไพรกเมง (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓)
นอก จากนี้ยังได้พบหลักฐานที่สำคัญคือ ร่องรอยของปราสาทแบบสมโบร์ไพรกุก บริเวณแก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมประติมากรรมหินทราย ที่สำคัญคือ ทับหลัง หรือหน้าบัน ที่วัดสุปัฏนาราม ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อีกชิ้นหนึ่งพบที่วัดสระแก้วใกล้กับแก่งสะพือ จัดอยู่ในศิลปะแบบไพรกเมง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จากลักษณะลวดลายแสดงว่า มีความสัมพันธ์กับงานประติมากรรมทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย
 
ปราสาท ภูมิโพน (ภูมิโปน)

จังหวัดสุรินทร์ อยู่ที่ตำบลดม อำเภอสังขะ เชื่อกันว่า เป็นหลักฐานทางสถาปัตยกรรมขอมสมัยก่อนเมืองพระนครที่เก่าที่สุด ในประเทศไทย ที่ยังเหลือหลักฐานอยู่ จัดเป็นศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ โดยดูจากระบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่มีแบบแผนของศิลปะขอม ก่อนเมืองพระนคร เช่น การมีเสาประดับมุม ซึ่งต่างจากสมัยหลังเมืองพระนครที่มีการเพิ่มมุม รวมทั้งมีการประดับปราสาทจำลองตรงส่วนของเหนือกรอบประตูแต่ละด้าน และที่มุมหลังคาในแต่ละชั้น ในขณะที่สมัยหลังเมืองพระนครจะเปลี่ยนจากปราสาทจำลอง มาเป็นบันแถลงแล้ว นอกจากนี้การประดับทับหลังที่มีส่วนวงโค้งรูปเกือกม้ากับหน้าบัน ก็เป็นงานในลักษณะที่ใกล้เคียงกับศิลปะของประเทศอินเดีย   รวมทั้งลวดลายที่หน้าบันที่เหลืออยู่ ก็มีความสัมพันธ์อย่างมากกับศิลปะทวารวดีในภาคกลาง และในอินเดียสมัยคุปตะ ที่ปราสาทภูมิโพนยังพบอาคารขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า และทับหลังชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง ที่แสดงลวดลายสิงห์ ที่มีปากเป็นนก มีวงโค้ง ๔ วง ประดับรูปเหรียญ ๓ วง อันเป็นลักษณะของทับหลัง ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง เป็นหลักฐานสำคัญ ในการกำหนดอายุศาสนสถานแห่งนี้
หัว ข้อก่อนหน้า หัว ข้อถัดไป