คุณค่าของ
ตาลปัตรพัดยศ
พัดยศมิใช่เป็นเพียงสิ่งของอย่างหนึ่งสำหรับใช้ในงานพิธีของพระสงฆ์ใน
พระพุทธศาสนา
และมิใช่เป็นเพียงเครื่องหมายแสดงความสำคัญของพระสงฆ์ผู้ได้รับพระราช
ทานเท่านั้นแต่พัดยศยังมีคุณค่าเฉพาะตัว ซึ่งจะหาไม่ได้ในศาสนวัตถุอื่น
กล่าวคือ พัดยศเพียงเล่มเดียว สามารถสื่อความหมาย
และแสดงคุณค่าเรื่องราวได้หลายอย่างพร้อมๆกัน คือ |
พัดยศแต่ละเล่มจะบอกให้ทราบได้ว่า
พระสงฆ์ที่ใช้พัดยศนั้น มีตำแหน่งสมณศักดิ์ และตำแหน่งปกครองใด
ทำให้สามารถจัดระบบการนั่งของพระสงฆ์
ตามลำดับสมณศักดิ์ได้สะดวก
|
๑.
แสดงถึงวิจิตรศิลป์
แม้ตาลปัตรพัดยศมีวิวัฒนาการมาจากพัดใบตาลธรรมดา
ซึ่งหาได้ง่ายและชาวบ้านใช้กันอยู่เกือบจะทั่วโลก
และมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์โดยมีการคิดประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ
หลายรูปแบบ ส่วนวัสดุที่ใช้ เปลี่ยนจากใบตาล มาเป็นอย่างอื่น
เข้ากับศิลปะการตกแต่งได้อย่างกลมกลืน
แต่ก็ยังคงชื่อเดิมไว้โดยยังคงเรียกว่า "ตาลปัตร
และพัดพระ" นอกจากนี้
ยังเป็นศาสนวัตถุที่มีลวดลายงามวิจิตรและหลากหลาย
เป็นวิจิตรศิลป์ซึ่งมีแบบเฉพาะและแต่ละเล่มไม่ซ้ำกัน
เพราะสร้างครั้งละหนึ่งเล่ม หากจะมีซ้ำบ้างก็เพียงพัดรอง
ซึ่งสร้างจำนวนมากในแต่ละครั้ง แต่โดยรวม ก็มีจำนวนไม่มากนัก |

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
ผู้ทรงมีผลงานการออกแบบพัดพระสงฆ์ที่วิจิตรงดงาม |
๒.
แสดงภูมิปัญญาไทยที่แท้จริง
แม้ว่าตาลปัตรพัดยศจะได้รับอิทธิพลมาจากลังกา แต่คนไทยตั้งแต่ยุคโบราณ
ได้คิดประดิษฐ์สร้างสรรค์สีสัน และลวดลายเส้นสายลงบนตาลปัตร
ด้วยภูมิปัญญาไทยโดยแท้จริง ความวิจิตรที่ปรากฏอยู่บนตาลปัตรพัดยศนั้น
เกิดจากแนวคิดในเรื่องต่างๆ ตามยุคตามสมัย
พัดยศแต่ละเล่มแสดงถึงประวัติศาสตร์ของผู้ทำ ประวัติศาสตร์ของงาน
และแสดงถึงความเชื่อในศาสนาอย่างมั่นคงแน่วแน่
แม้ว่าพื้นที่ที่จะให้แสดงภูมิปัญญานี้จะมีเพียงเล็กน้อย
แต่สามารถบรรจุความคิดของผู้ประดิษฐ์ลงได้อย่างกลมกลืน สวยงาม
และมีความหมาย
๓.
แสดงสัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมาย
วัสดุ รูปทรง ลักษณะ
และลวดลายการปักตกแต่งของพัดยศแต่ละเล่มสามารถแสดงว่า
พระสงฆ์ผู้ถือนั้นมีสมณศักดิ์ชั้นใด มีตำแหน่งใด
โดยที่พระสงฆ์ที่ถือพัดยศ มิต้องบอกกล่าว หรือแสดงเป็นลายลักษณ์อักษร
พัดยศสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน
และเป็นที่เข้าใจในหมู่ผู้ปฏิบัติหน้าที่และผู้ได้รับพัดยศเป็นอย่างดี
๔.
แสดงการจัดระบบอาวุโสและการปกครอง
เนื่องจากในวงการคณะสงฆ์มีการจัดระบบการนั่งตามลำดับอาวุโส ๒ แบบ คือ
แบบอาวุโสตามพระวินัย คือ พระภิกษุรูปใดที่อุปสมบทก่อน
ถือว่ามีพรรษาอาวุโสกว่า ให้นั่งหน้าพระภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่า
กับแบบอาวุโสตามสมณศักดิ์ โดยพระภิกษุรูปใดที่มีสมณศักดิ์
หรือมีตำแหน่งทางการปกครองสูงกว่า ก็ให้นั่งหน้าพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์
หรือมีตำแหน่งทางการปกครองต่ำกว่าได้ โดยเฉพาะในงานพระราชพิธี
หรืองานรัฐพิธี ที่ต้องใช้พัดยศ จะใช้แบบอาวุโสตามสมณศักดิ์เป็นเกณฑ์
ส่วนในงานทั่วๆ ไปจะถือแบบอาวุโสตามพระวินัย หรือทั้ง ๒ แบบ ผสมกันไป
สุดแต่ความสะดวกและยินยอมกัน ดังนั้น
เมื่อพระภิกษุไปในงานพระราชพิธีหรืองานรัฐพิธีซึ่งเรียกว่า งานหลวง
จำนวนหลายรูป แม้ไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน
เพียงแต่เห็นพัดยศที่ถือไปเท่านั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ และพระภิกษุที่ไป
ต่างก็จะรู้กันทันทีว่า รูปใดจะต้องนั่งอยู่ในลำดับที่เท่าไร
โดยไม่จำเป็นต้องถามถึงชั้นสมณศักดิ์และตำแหน่ง
นับเป็นความสะดวกอย่างยิ่ง
พัดยศเล่มเดียวสามารถทำให้รู้จักพระภิกษุรูปนั้นได้
ไม่ว่าจะเป็นชั้นสมณศักดิ์ ตำแหน่งปกครอง และอาวุโส
ในอดีต
ผู้ที่มีผลงานการสร้างพัดพระสงฆ์ที่มีความสวยงามและมีผลงานมากที่สุด
คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงรับสนองการสร้างพัดยศ พัดพิเศษอื่นๆ โดยเฉพาะพัดรอง
ที่นิยมสร้างกันมากที่สุด
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงสร้างพัดรอง ทั้งที่โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเพื่อพระราชทานในงานพิธีต่างๆ
และที่พระราชวงศ์บางพระองค์ทูลขอให้ทรงสร้างให้ในโอกาสต่างๆ มากกว่า ๕๐
งาน การออกแบบพัดรองในสมัยหลัง สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จะทรงเริ่มใช้ตรา "น"
ซ่อนไว้ในลายพัด ทั้งนี้
เพราะพัดฝีพระหัตถ์ที่ทรงออกแบบนั้นมีผู้ลอกแบบและดัดแปลงเป็นของตนเอง
ต่อมา
แม้ใช้ตราพระนามในงานที่เป็นฝีพระหัตถ์ก็ยังมีผู้ไปลบตราพระนามออก
แต่ก็มิได้ทรงกริ้ว ทรงถือว่าเป็นวิทยาทาน
พัดบางเล่มที่เป็นงานฝีพระหัตถ์ของสมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบัน
ยังคงจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร |