สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 37
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๗ / เรื่องที่ ๘ โรคเอสแอลอี / โรคเอสแอลอีในภาวะต่างๆ
โรคเอสแอลอีในภาวะต่างๆ
โรคเอสแอลอีในภาวะต่างๆ
การมีประจำเดือน
ผู้ป่วยอาจมีประจำเดือนออกมากเนื่องจากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
หรือมีการขาดประจำเดือน เนื่องจากความเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือจากการรักษาด้วยยาไซโคลฟอสฟาไมด์
โดยเป็นได้ทั้งแบบชั่วคราวถ้าได้รับยาไซโคลฟอสฟาไมด์ในระยะสั้นๆ
หรือเป็นแบบถาวร ถ้าได้รับยาในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน ตลอดจนได้รับยา
ในขณะที่อายุมากกว่า ๓๐ ปีแล้ว
การตั้งครรภ์
สมัยก่อน
การตั้งครรภ์เป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยโรคเอสแอลอี
แต่ปัจจุบันพบว่าถ้าได้รับการดูแลที่ดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถตั้งครรภ์
และให้กำเนิดบุตรได้ โดยมีภาวะแทรกซ้อนน้อยมากทั้งต่อแม่และเด็ก
ในผู้ป่วยหญิงที่เป็นโรคเอสแอลอี มีภาวะเจริญพันธุ์ใกล้เคียงกับคนปกติ
แม้ในขณะที่โรคกำเริบ ยกเว้นในผู้ป่วย ที่มีอาการรุนแรงมากๆ
หรือมีภาวะขาดประจำเดือนร่วมด้วย
อย่างไรก็ดีโอกาสที่โรคจะกำเริบในขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดมีสูง
เฉลี่ยประมาณร้อยละ ๕๐ ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีทั่วๆ ไป ทั้งนี้
ถ้าการตั้งครรภ์นั้นเกิดในขณะที่โรคสงบแล้ว
ความเสี่ยงต่อการที่โรคกำเริบจะลดลง เหลือร้อยละ ๓๕
ในผู้ป่วยที่มีไตอักเสบร่วมด้วย ถ้าตั้งครรภ์ในขณะที่โรคยังไม่สงบ
จะมีโอกาสเกิดการกำเริบรุนแรง ทางไตมากขึ้นถึงร้อยละ ๖๑.๕
ในขณะที่ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์หลังจากที่คุมโรคได้ดีแล้ว ๓-๖ เดือน
จะมีความเสี่ยงต่ออาการไตกำเริบเพียงร้อยละ ๗.๔
อาการกำเริบของโรคเอสแอลอีมักเกิดในช่วงไตรมาสแรก
(ระยะครรภ์ ๑-๓ เดือน) หรือในช่วงหลังคลอด ถ้าโรคสงบอยู่แล้ว
การกำเริบมักไม่รุนแรง ส่วนใหญ่เป็นอาการทางข้อและผิวหนัง
แต่ถ้ายังมีอาการอักเสบทางไตในขณะตั้งครรภ์
โรคอาจกำเริบรุนแรง ถึงขั้นไตวายหรือเสียชีวิตได้นอกจากนี้ยังพบอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์
คือ พรีอีแคลมป์เชีย (preeclampsia)
หรือโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักสูงขึ้นในผู้ป่วยที่มีอาการทางไต
|
หญิงมีครรภ์ ที่เป็นโรคเอสแอลอี ควรได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการกำเริบของโรค |
ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีประมาณร้อยละ ๒๐
มีอาการแสดงของโรคเริ่มแรกในระหว่างตั้งครรภ์
ผู้ป่วยเหล่านี้มักมีการดำเนินโรคที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการวินิจฉัยและการรักษาช้าไป
หรือถ้ามีอาการแสดงทางไตร่วมด้วย
ในผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์มีโอกาสสูญเสียเด็กในครรภ์ร้อยละ ๒๐
โดยเกิดการแท้งเองร้อยละ ๙-๑๘ และตายคลอดร้อยละ ๕
ซึ่งอุบัติการณ์นี้จะสูงขึ้นในผู้ป่วยที่มีสารต้านการแข็งตัวของเลือดจากโรคเอสแอลอี
หรือแอนติคาร์ดิโอไลปินแอนติบอดี (anticardiolipin antibody)
นอกจากนี้ยังพบภาวะการคลอดก่อนกำหนดและการเติบโตในครรภ์ล่าช้าสูงขึ้นด้วย
โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่โรครุนแรงหรือกำเริบ
โรคเอสแอลอีในทารกแรกเกิด (Neonatal lupus syndrome)
พบภาวะนี้ร้อยละ
๘.๘ ของทารกที่เกิดจากแม่ที่มีแอนติบอดีบางชนิดที่พบในโรคเอสแอลอี
โดยแม่อาจมีอาการของโรค หรือไม่มีอาการเลยก็ได้
อาการในทารกส่วนใหญ่จะเป็นการเต้นของหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด
หรืออาการทางผิวหนัง ลักษณะคล้ายผื่นดิสคอยด์
นอกจากนี้อาจมีอาการทางระบบเม็ดโลหิต (มีจำนวนเม็ดเลือดขาวน้อย
ภาวะซีด จากเม็ดเลือดแดงแตกทำลาย และจำนวนเกล็ดเลือดน้อย) ตับโต
ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร อาการทางระบบประสาท และอาการทางปอด
อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะหายไปได้เองพร้อมๆ
กับที่ออโตแอนติบอดีจากแม่ ที่ผ่านรกเข้ามาหมดไป จากตัวทารก อย่างไรก็ดี
หากมีการเต้นของหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด
อาการนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไปและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ ถ้ามีแต่อาการอื่นๆ
โดยที่ไม่มีการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติแต่กำเนิด
ทารกจะเจริญเติบโตปกติ และยังไม่มีรายงานที่ระบุว่า เด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเอสแอลอี มากกว่าเด็กที่ไม่มีอาการนี้
โรคเอสแอลอีในเพศและอายุต่างๆ
โรคเอสแอลอีเป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา
โดยร้อยละ ๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอายุ
๒๐-๕๐ ปี ร้อยละ ๒๔ มีอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี และร้อยละ ๖ มีอายุมากกว่า ๕๐
ปี อาการแสดงของโรคเอสแอลอีในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกันไปได้บ้าง กล่าวคือ
ในเด็กจะมีอาการที่ค่อนข้างรุนแรงกว่า มีอุบัติการณ์ของไตอักเสบ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ตับและม้ามโต และภาวะผิดปกติ ทางโลหิตวิทยาสูง
ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนวินิจฉัยโรคได้ประมาณ ๓ เดือน
เมื่อเทียบกับระยะเวลาเฉลี่ย ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีทั่วไป
ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ
๒.๑ ปี และระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนวินิจฉัยโรคได้
ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอี อายุเกิน
๖๐ ปี ใช้เวลาประมาณ ๓.๒ ปี เนื่องจากอาการมักเริ่มด้วยปวดข้อ
ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุอยู่แล้ว
บ่งชี้ว่าการดำเนินโรคในผู้สูงอายุมีความรุนแรงน้อยกว่าในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย
นอกจากนี้ยังพบอาการของเยื่อหุ้มปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจ อักเสบ
ปอดอักเสบเรื้อรัง และอาการปากแห้งตาแห้งสูงขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ
ในขณะที่อาการ ผมร่วง มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต โรคทางจิตประสาท
และภาวะสารคอมพลิเมนต์ต่ำในเลือดพบได้น้อย อาการทางไตไม่ค่อยรุนแรง
และส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการควบคุมโรค
หากใช้ก็ใช้ในขนาดต่ำกว่าและในระยะเวลาที่น้อยกว่าในผู้ป่วยอายุน้อย
ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ป่วยเด็ก เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีอาการทางไต
ในอดีตจึงมีการพยากรณ์โรคหนักกว่าในผู้ใหญ่ แต่ในระยะหลัง
เมื่อมีการรักษาด้วยการให้ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
มียาคุมความดันโลหิตสูงที่ดีขึ้น มีการผ่าตัดเปลี่ยนไต
และมีการใช้ยาไซโคลสปอริน (cyclosporin) ตลอดจนการวินิจฉัยทำได้เร็วขึ้น
ทำให้การพยากรณ์โรคในเด็ก ใกล้เคียงกับในผู้ใหญ่
|
ผู้ป่วยโรคเอสแอลอี ที่มีอาการตามข้อและผิวหนัง | โรคเอสแอลอีที่พบในแต่ละเพศนั้นพบในเพศชายประมาณร้อยละ ๔-๑๘
โดยอุบัติการณ์ในเพศชายจะสูงขึ้น ในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก และผู้สูงอายุ
ผลการศึกษาเปรียบเทียบอาการแสดงทางคลินิกระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย
สรุปได้ว่าไม่มีลักษณะทางคลินิก ที่จำเพาะของโรคเอสแอลอีในเพศชาย
แต่เพศชายที่ป่วยเป็นโรคเอสแอลอี อาการในอวัยวะสำคัญมักเกิดบ่อยกว่า
ดังนั้น ความรุนแรงและการพยากรณ์โรคจึงค่อนข้างหนักกว่าเพศหญิง
โรคเอสแอลอีที่เกิดจากยา
ยาประมาณ
๖๐ ชนิดที่มีรายงานว่า
ทำให้เกิดออโตแอนติบอดีหรือลักษณะทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ
ที่บ่งถึงภาวะออโตแอนติบอดี แต่มียาเพียง ๘
ชนิดเท่านั้นที่มีรายงานชัดเจนว่า ทำให้เกิดอาการของโรคเอสแอลอีได้
ที่พบบ่อยที่สุดคือ ยาลดความดันโลหิต ไฮดราลาซีน และโพรเคนนาไมด์
นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายชนิด ได้แก่ ควินิดีน คลอร์โพรมาซีน ไอโซไนอาซิด
เมทิลโดปา ดีเพนิซิลลามีน และอะซีบิวโตลอล อย่างไรก็ตาม
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาเหล่านี้
ส่วนใหญ่จะมีแต่ผลการตรวจพบออโตแอนติบอดีโดยไม่มีอาการของโรคเอสแอลอี เช่น
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา โพรเคนนาไมด์เป็นเวลา ๒ ปีขึ้นไป
เกือบทุกคนจะตรวจพบออโตแอนติบอดี มีเพียงร้อยละ ๑๐-๓๐
เท่านั้น ที่มีอาการของโรคเอสแอลอี ร่วมด้วย
อาการของโรคเอสแอลอีที่เกิดจากยามักเกิดหลังจากได้รับยาแล้วเป็นเดือน
ลักษณะทางคลินิกไม่ค่อยรุนแรง ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
มีไข้ น้ำหนักตัวลด และอาการของเยื่อหุ้มปอดและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ซึ่งคล้ายกับอาการของโรคเอสแอลอีที่เกิดในผู้สูงอายุ
แต่ไม่ค่อยพบอาการทางไต ทางระบบประสาท หรือระบบเม็ดโลหิต
รวมทั้งพยาธิสภาพทางผิวหนังที่เป็นแบบผื่นดิสคอยด์
อาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะหายเป็นปกติภายในระยะเวลา ๑
สัปดาห์ภายหลังหยุดยา โดยไม่ต้องให้การรักษา ยกเว้นผู้ป่วยที่มีไตอักเสบ
หรืออาการรุนแรง |
|