สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 4
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๔ / เรื่องที่ ๒ การหายใจ / การนำก๊าซหายใจเข้าไปสันดาปกับอาหารภายในเซลล์ของสิ่งที่มีชีวิต
การนำก๊าซหายใจเข้าไปสันดาปกับอาหารภายในเซลล์ของสิ่งที่มีชีวิต
การนำก๊าซหายใจเข้าไปสันดาปกับอาหารภายในเซลล์ของสิ่งที่มีชีวิต
พืชและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ
ออกซิเจนสามารถซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง
แต่ในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง มีเม็ดเลือดแดง คอยทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนที่ดูดผ่านจากอวัยวะหายใจ
เข้าสู่ตาข่ายของเส้นเลือดฝอยที่แผ่อยู่ที่ผิวของอวัยวะหายใจ
เพื่อนำไปให้เซลล์ใช้ในการสันดาปกับอาหาร ให้ได้พลังงานมาใช้ในการดำรงชีพ
| แสดงโครงร่างของฮีม หน่วยสำคัญของฮีโมโกลบิน |
การที่เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจน
จากอวัยวะหายใจมาให้เซลล์ใช้ในการหายใจได้
เพราะเม็ดเลือดแดงมีสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (haemoglobin)
เป็นองค์ประกอบ สารนี้มีธาตุเหล็กประกอบอยู่ด้วย
ในเม็ดเลือดแดงของคนแต่ละเม็ดพบว่า มีฮีโมโกลบินประกอบอยู่ถึง ๒๘๐
ล้านโมเลกุล แต่ละโมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วย ๑
โมเลกุลของโปรตีนชนิดโกลบูลิน (globulin) และ ๔
หน่วยของสารอินทรีย์ ที่มีอะตอมของธาตุเหล็กอยู่ตอนกลางของโมเลกุลด้วย
เรียกว่า "ฮีม" (heme)
แต่ละอะตอมของธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบินโมเลกุล
สามารถที่จะรวมตัวกับโมเลกุลของออกซิเจนได้อย่างหลวมๆ
ได้เป็นออกซีฮีโมโกลบิน ดังนั้นแต่ละโมเลกุลของฮีโมโกลบิน
ก็จะมีโมเลกุลของออกซิเจนไปจับถึง ๔ โมเลกุล (Hb-O)
การที่มีออกซิเจนไปจับกับฮีโมโกลบินจะทำให้เลือดมีสีแดงเข้ม
ส่วนฮีโมโกลบินที่ไม่มีออกซิเจนไปจับมักจะพบมีสีค่อนข้างคล้ำ
การที่เป็นเช่นนี้
เนื่องจากออกซิเจนที่ไปจับทำให้รูปแบบของกรดอะมิโนที่จับอยู่กับฮีมเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ออกซีฮีโมโกลบินนี้ จะผ่านออกมาจากอวัยวะหายใจตรงเข้าสู่หัวใจ
เพื่อสูบฉีดไปให้เนื้อเยื่อทุกหนทุกแห่งภายในร่างกาย
แหล่งสร้างเม็ดเลือดแดงคือ ไขกระดูกของกระดูกแขน และกระดูกขา
แต่ขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์มารดา
เม็ดเลือดแดงอาจสร้างมาจากม้ามและตับได้
เม็ดเลือดแดงของคน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
ขณะที่อยู่ในเลือด และทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไม่มีนิวเคลียส
นับเป็นวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง
ที่ช่วยให้มีโมเลกุลของฮีโมโกลบินอยู่ในเซลล์ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เม็ดเลือดแดงที่มีอายุมากแล้ว ทำงานไม่ได้ดี จะถูกตับทำลาย
และสร้างจากไขกระดูกขึ้นมาแทนที่ แต่ถ้าเกิดเป็นบาดแผลมาก
ไขกระดูกสร้างให้ไม่ทันใช้
อาจพบเม็ดเลือดแดงที่ยังมีอายุน้อย และมีนิวเคลียสออกมาอยู่ในเลือดได้
| แสดงการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน | สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นสูงหลายชนิด เช่น
พวกไส้เดือนดิน
หรือหอยบางชนิดที่เลือดมีสีแดงก็มีฮีโมโกลบิน สำหรับนำออกซิเจนไปให้เซลล์ใช้ด้วย
แต่ฮีโมโกลบินของสัตว์เหล่านี้ละลายอยู่ในน้ำเลือด (plasma)
การที่ฮีโมโกลบินละลายอยู่ในน้ำเลือด
ทำให้มีประสิทธิภาพในการขนส่งออกซิเจน
ไปให้เซลล์ได้น้อยกว่าที่พบอยู่ในเม็ดเลือด
เพราะจากการวัดความสามารถในการรวมตัวกับออกซิเจน
พบว่า
มีฮีโมโกลบินที่อยู่ในเม็ดเลือด สามารถรวมตัวกับออกซิเจนได้ดีกว่าที่ละลายอยู่ในน้ำเลือดมาก
นอกจากฮีโมโกลบินแล้วสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด
ก็มีสารอื่น ที่ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนได้ด้วย เช่น ฮีโมไซยานิน
(haemocyanin)
ที่พบในน้ำเลือดของสัตว์พวกแมลง
กุ้ง และหอยหลายชนิด สารฮีโมไซยานินมีโลหะทองแดง (Cu)
จับกับโมเลกุลของโปรตีนในเลือด ทำให้เลือดของสัตว์พวกนี้ไม่มีสี
แต่ในตอนที่รวมตัวกับออกซิเจนจะพบมีสีน้ำเงินอ่อนๆ
สำหรับฮีโมโกลบินที่อยู่ในเม็ดเลือดแดงของสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นสูง
รวมทั้งคนด้วยนั้น
เมื่อผ่านไปถึงเซลล์ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความกดดันของออกซิเจนต่ำกว่าในเม็ดเลือดแดงมาก
เพราะโดยปกติ ความกดดันของออกซิเจนที่ปอดมีถึง ๑๐๘ มม.
แต่เซลล์ขณะพักจะมีความกดดันเพียง ๔๐ มม.
ดังนั้นออกซีฮีโมโกลบินจึงแตกตัว ปล่อยเอาออกซิเจนซึมผ่านเส้นเลือดฝอย
ไปให้เซลล์ใช้ในการหายใจได้
โดยปกติ ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงของคน จะปล่อยออกซิเจนที่จับไว้ใช้เซลล์ใช้
เพียงประมาณ ๔๐% เท่านั้น จะยังคงเหลืออยู่ในเส้นเลือดดำไปให้ปอดฟอกอีกถึง
๖๐% ในขณะที่ออกกำลังกาย หรือทำงานหนักๆ
ออกซีฮีโมโกลบินจะปล่อยออกซิเจนให้เซลล์ได้มากขึ้นอีก จนอาจลดลงเพียง ๒๘%
ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะอัตราการใช้ออกซิเจนของเซลล์ขณะออกกำลังกาย
หรือทำงานหนักสูงกว่าปกติ
เป็นผลให้มีการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย บริเวณอวัยวะที่เป็นส่วนสำคัญในการทำงาน เช่น กล้ามเนื้อ
ทำให้มีการขยายเนื้อที่ของการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างเลือด
และเซลล์กล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น
| แสดงการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ |
นอกจากก๊าซออกซิเจนแล้ว ฮีโมโกลบินอาจรวมตัวได้ง่ายกับก๊าซอื่นๆ
เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เกิดจากการเผาไหม้ ของพวกถ่านหิน ไอเสียของรถยนต์
ควันบุหรี่ ฯลฯ ก๊าซนี้สามารถที่จะรวมตัวกับฮีโมโกลบินได้ดีกว่าออกซิเจน
เป็นก๊าซที่มีอันตรายมาก เพราะก๊าซนี้จะจับกับฮีโมโกลบินอย่างถาวร
ทำให้ออกซิเจนจับกับฮีโมโกลบินไม่ได้
จึงทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และเซลล์หายใจได้น้อยลงตามไปด้วย
ผู้ที่ได้รับคาร์บอนมอนอกไซด์มากๆ จะมีอาการตามัว หูไม่ได้ยิน
หมดความรู้สึก และตายในที่สุด
นอกจากจะทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนจากอวัยวะหายใจไปให้เซลล์ใช้แล้ว
เลือดยังทำหน้าที่สำคัญ ในการลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์
ไปปล่อยออกที่อวัยวะหายใจด้วย
ส่วนหนึ่งของคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งผ่านออกมาจากเซลล์จะละลายอยู่ในส่วนที่เป็นน้ำเลือด
และอีกส่วนหนึ่งก็จะมาจับกับโมเลกุลของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงอย่างหลวมๆ
คาร์บอนไดออกไซด์ที่จับกับโมเลกุลของฮีโมโกลบิน
และที่ละลายอยู่ในน้ำเลือดนี้ อยู่ในสภาพเป็นอนุมูลไบคาร์บอเนต
ซึ่งเกิดขึ้น โดยในขั้นแรกจะรวมตัวกับน้ำได้เป็นกรดคาร์บอนิค
ปฏิกิริยาการเกิดกรดคาร์บอนิคนี้เกิดขึ้นเร็วมากในเม็ดเลือดแดงเพราะเม็ดเลือดแดงมีเอนไซม์ชื่อ
คาร์บอนิคแอนไฮเดรส (carbonic anhydrase) ช่วยเร่งปฏิกิริยา
ขั้นต่อไปกรดคาร์บอนิคที่เกิดขึ้น จะแตกตัวออกเป็นอนุมูลไฮโดรเจน
และอนุมูลไบคาร์บอเนตทันที
เพราะถ้าอยู่ในสภาพเป็นกรดต่อไปจะทำให้เลือดมีฤทธิ์เป็นกรดมากขึ้น
และทำให้ เป็นอันตรายได้
สำหรับ H+
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดก็จะถูกโปรตีนในน้ำเลือดและฮีโมโกลบินทำหน้าที่จับเอาไว้
เปลี่ยนไปเป็นแอซิดฮีโมโกลบิน (acid haemoglobin) และแอซิดโปรตีน (acid
protein) ซึ่งจะมีฤทธิ์เป็นกรดที่อ่อนกว่ากรดคาร์บอนิคมาก
ทำให้ระดับความเป็นกรดด่างภายในเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเม็ดเลือดสร้างอนุมูล HCO3- แล้วมันจะค่อยๆ ปล่อย HCO3-
จากฮีโมโกลบินเข้าสู่น้ำเลือด ขณะที่ถูกนำไปสู่ปอด และทุกๆ ครั้งที่ปล่อยอนุมูล HCO3-
ออกมาในน้ำเลือด อนุมูล CI- ที่อยู่ในน้ำเลือด
ก็จะเข้ามาแทนที่โมเลกุลของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
การเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า คลอไรด์ ชีฟท์ (chloride shift)
เพื่อช่วยให้เม็ดเลือดแดงขณะที่วนเวียนอยู่ในกระแสโลหิตมีฤทธิ์เป็นกลาง
เมื่อผ่านมาถึงปอด ซึ่งมีความดัน ของคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
ปฏิกิริยาจะกลับตรงข้าม เพราะ HCO3- จะกลับเข้ามาในเม็ดเลือดแดงใหม่ Cl- ก็จะแพร่ออกไปในน้ำเลือด HCO3- ในเม็ดเลือดแดงจะถูกเปลี่ยนเป็น CO2 โดยเอนไซม์คาร์บอนิคแอนไฮเดรส ซึ่งมีอยู่ในเม็ดเลือด (ดังสมการ)
ต่อจากนั้น CO2 ก็จะถูกขับออกไปจากปอด
|
|