สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 5
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๕ / เรื่องที่ ๕ พืชหัว / มันแกว
มันแกว
มันแกว
คนไทยรู้จักมันแกวเป็นอย่างดี
และรู้จักนานมาแล้ว รู้จักกินหัวมันแกวเป็นอาหาร ส่วนใหญ่กินหัวมันแกวสด
แบบเดียวกับการกินผลไม้ ปริมาณการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ทำให้มีการปลูกมันแกวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากใช้บริโภคภายในประเทศแล้ว
เรายังสามารถส่งมันแกวเป็นสินค้าออก โดยส่งไปขายยังประเทศใกล้เคียง เช่น
ลาว และมาเลเซียอีกด้วย ชาวไร่ทั่วประเทศผลิตมันแกว ได้ประมาณ ๔๗,๔๔๓ ตัน
(สถิติปี พ.ศ. ๒๕๑๐) คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๔๗ ล้านบาท คาดว่าปริมาณ
และมูลค่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ |
แสดงลักษณะของเถาและใบมันแกว
|
เนื่องจากปริมาณการบริโภคภายในประเทศ
เพิ่มขึ้น
และมีการส่งมันแกวเป็นสินค้าออกไป ยังประเทศเพื่อนบ้าน
ปริมาณการผลิตจึงเพิ่มขึ้น เนื้อที่ปลูกมันแกวได้เพิ่มขึ้นจาก ๓๓,๖๓๘ ไร่
ใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็น ๕๗,๓๓๖ ไร่ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ผลิตผลที่เพิ่มจาก ๓๑,๒๒๖
ตัน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็น ๕๒,๗๔๘ ตัน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑
|
ประวัติความเป็นมาและแหล่งปลูก
มันแกวมีชื่อภาษาอังกฤษว่า
แยมบีน (yam bean) เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก
และประเทศในแถบอเมริกากลาง ชาวสเปนได้นำมาปลูกในฟิลิปปินส์
ปัจจุบันได้มีการปลูกมันแกวกันโดยทั่วไปในประเทศแถบร้อน ได้แก่
แอฟริกาตะวันออก อินเดีย จีน และประเทศไทย เป็นต้น
ในประเทศไทยมีการปลูกมันแกวมานานแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่า
ชาวญวนเป็นผู้นำเข้ามาปลูกทาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หรือมีคนไทยนำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม เข้ามาปลูกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เพราะประชาชนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกชาวญวนว่า "แกว"
จึงเรียกมันนี้ว่า มันแกว แต่ไม่มีการยืนยันข้อสันนิษฐานนี้
ตารางแสดงเนื้อที่ปลูกและผลผลิตมันแกว
ปี พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๑
ปี พ.ศ. |
เนื้อที่เพาะปลูก
(ไร่)
|
ผลิตผล
(ตัน)
|
๒๕๐๗
๒๕๐๘
๒๕๐๙
๒๕๑๐
๒๕๑๑
|
๓๓,๖๓๘
๘๘,๑๓๙
๔๘,๖๔๖
๔๕,๒๐๕
๕๗,๓๓๖
|
๓๑,๒๒๖
๓๙,๖๓๕
๔๕,๓๙๙
๔๗,๔๔๓
๕๒,๗๔๘
|
ผลผลิตโดยทั่วไปประมาณ ๑-๒ ตันต่อไร่
ราคาขายส่งประมาณ กก. ละ ๑.๐๐-๒.๐๐ บาท
ราคาขายปลีกประมาณ กก. ละ ๑.๕๐-๓.๐๐ บาท
|
ปัจจุบันมีการปลูกมันแกวอยู่เกือบทั่วประเทศ
มีปริมาณมากบ้างน้อยบ้างตามความเหมาะสมกับภูมิประเทศ มีปลูกมากอยู่ใน ๕๔
จังหวัด ปลูกมากที่สุดในภาคกลาง ประมาณ ๒๕,๐๐๐ ไร่ จังหวัดที่ปลูกมาก
ได้แก่ สระบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร รองลงไป ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัดที่ปลูกมากได้แก่ มหาสารคาม หนองคาย ขอนแก่น ภาคเหนือปลูกไม่มากนัก
ที่จังหวัดลำปาง เชียงราย ส่วนภาคใต้ปลูกมันแกวน้อยกว่าภาคอื่นๆ
มีปลูกมากในจังหวัดสุราษฎร์ธานี |
ลักษณะหัวมันแกวสด
|
จังหวัดที่ปลูกมันแกวมากที่สุดของประเทศ
ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม มีเนื้อที่เพาะปลูกถึง ๘,๓๖๔ ไร่ ให้ผลิตผล ๗,๑๑๕
ตัน (สถิติปี พ.ศ.๒๕๑๑) |
ตันมันแกวมีลักษณะเป็นเถาเลื้อย |
ลักษณะทั่วไป
มันแกวเป็นไม้เถาเลื้อย
ใบคล้ายใบถั่ว หัวอวบ หัวมีขนาดแตกต่างตามชนิดพันธุ์
ที่พบมากเป็นพวกหัวใหญ่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๕ ซม. สีน้ำตาลอ่อน
|
ลักษณะทางพฤกษศาตร์
มันแกวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แพคีร์ริซุส อิโรซุส (แอล) เออร์บัน (Pachyrrhizus
erosus (L)
Urban.)
เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ต้นมีขนเป็น เถาเลื้อย ต้นอาจจะยาวถึง ๕.๕
เมตร ไม่แตกแขนง หัวอวบ มีขนาดใหญ่ โคนต้นเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วยใบย่อย ๓
ใบ ใบย่อยมีจักใหญ่ ดอกสีชมพูหรือขาว ช่อดอกยาว ๑๕-๓๐ ซม.
ฝักมีขนาดยาวประมาณ ๗-๑๕ ซม. ฝักเมื่อแก่จะเรียบ มี ๘-๑๐ เมล็ด
เมล็ดมีสีน้ำตาลหรือแดง ลักษณะจัตุรัสแบนๆ ต้นหนึ่งๆ มีหัวเดียว
หัวอาจเป็นหัวเรียบๆ หรือเป็นพู มีรูปร่างแตกต่างกันมาก ส่วนมากหัวมีสี่พู
ส่วนที่อยู่ใต้ดินมีอายุข้ามปี แต่ส่วนบนดิน คือ ต้นใบมีอายุปีเดียว |
ลักษณะช่อดอกมันแกว |
ชนิด
มันแกวที่ปลูกรับประทานมีชนิดใกล้เคียงกันกับ พี อิโรซุส (P.
erosus) ดังกล่าวข้างต้นก็มี พี ทูเบอโรซุส (P.
tuberosus) ซึ่งแตกต่างจาก พี อิโรซุส เล็กน้อย ที่มีใบย่อยใหญ่
ดอกสีขาว หัวมีขนาดใหญ่กว่า ฝักใหญ่กว่า มีความยาว ๒๕-๓๐ ซม. เมล็ดแบนใหญ่
|
มันแกวที่ปลูกมากในประเทศไทย
ที่พบมี ๒ ชนิดใหญ่ๆ คือ พันธุ์หัวใหญ่ กับพันธุ์หัวเล็ก
ไม่มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน นอกจากเรียกตามชื่อท้องที่ที่ปลูก เช่น
มันแกวเพชรบุรีบ้าง มันแกวลพบุรีบ้าง มันแกวบ้านหมอบ้าง ทางแถบสระบุรี
เรียกพันธุ์ "ลักยิ้ม" เพราะเมล็ดมีรอยบุ๋ม
ทางจังหวัดมหาสารคามมีพันธุ์งาช้าง |
ฤดูปลูก
มันแกวขึ้นได้ในดินฟ้าอากาศหลายชนิด
ชอบอากาศค่อนข้างร้อน มีฝนปานกลาง ในอากาศที่หนาว ระยะเจริญเติบโตจะยาวนาน
ในการผลิตหัวต้องการวันสั้น ถ้าปลูกในที่ที่มีวันยาวถึง ๑๔-๑๕ ชั่วโมง
การเจริญเติบโตดี แต่ไม่ผลิตหัว ควรปลูกในระยะต้นถึงปลายฤดูฝน
เพื่อเก็บหัวในฤดูแล้ง ถ้าปลูกฤดูแล้งหลังจากฝนหมดแล้ว
จะมีหัวในเวลาไม่นานนัก เช่น ปลูกเดือนพฤศจิกายน
จะเก็บหัวได้ในราวเดือนมกราคม หรือกุมภาพันธ์ แต่จะได้หัวเล็ก
เพื่อให้ได้หัวโต ควรปลูกราวเดือนมิถุนายน |
หัวมันแกวพันธุ์งาช้าง |
การเลือกและการเตรียมที่
มันแกวชอบดินที่มีการระบายน้ำดี
มีการเตรียมดินดี ไม่ชอบดินเหนียวน้ำขัง ชอบดินร่วนทราย
การเตรียมดินก็เป็นเช่นเดียวกับการปลูกพืชไร่อื่นๆ มีการไถพรวน
พรวนให้ดินร่วนซุยดี เก็บวัชพืชให้หมด และยกร่อง เพื่อปลูกมันแกวบนสันร่อง
|
การปลูกมันแกวโดยปลูกบนสันร่อง |
วิธีปลูก
ปลูกด้วยเมล็ดเป็นส่วนใหญ่ มีบางครั้งปลูก โดยใช้หัว
เพื่อรักษาลักษณะที่ดีไว้ ปลูกหลุมละ ๒-๓ เมล็ด
ในบางประเทศปลูกโดยใช้ระยะระหว่างแถว ๖๐-๗๕ ซม. ระยะระหว่างหลุม ๓๐-๔๐ ซม.
อินเดีย และฟิลิปปินส์ ใช้ระยะระหว่างแถว ๑๕-๒๐ ซม. ระหว่างต้น ๑๐ ซม.
ผลการทดลอง ใช้ระยะ ๑๕ x ๑๕ ซม. ให้ผลดี ประเทศไทยปลูก โดยวิธียกร่อง
ระยะระหว่างแถว ๘๐-๑๐๐ ซม. ระหว่างต้นแตกต่างกัน ชนิดหัวเล็กต้นห่างกัน
๑๐- ๒๐ ซม. ชนิดหัวใหญ่ห่างกัน ๓๐-๕๐ ซม. ถ้าไม่
ยกร่องระยะระหว่างแถวแคบกว่านี้เล็กน้อย
ในเนื้อที่ ๑ ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ ๘ กก. หรือประมาณครึ่งถัง
|
การทำค้าง
มันแกวที่ปลูกฤดูฝน สิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ได้แก่
การทำค้างให้ต้นมันแกวเลื้อย ใช้ไม้ไผ่ หรือกิ่งไม้สูงประมาณ ๒-๓ เมตร
ปักให้ต้นมันแกวเลื้อย และช่วยจัดให้ยอดของมันแกวเลื้อยขึ้นไปตามไม้ที่ปัก
การปลูกมันแกวฤดูแล้งไม่ต้องทำค้าง
|
การปลูกมันแกวโดยทำค้างให้ต้นมันแกวเลื้อย |
การพรวนดิน
ถ้าปลูกฤดูฝน ควรพรวนดินพร้อมกับกำจัดวัชพืช
ไม่ให้วัชพืชขึ้นปกคลุมต้นมันแกว ปกติต้องกำจัดวัชพืช ๒-๓ ครั้ง
สำหรับการปลูกมันแกว ในฤดูแล้งไม่ให้น้ำ ไม่ต้องพรวนดิน และกำจัดวัชพืช
การเด็ดยอด
การปลูกมันแกวในฤดูฝนนั้น
จำเป็นต้องเด็ดยอดและดอก ถ้าไม่เด็ดมันแกวจะเจริญเติบโตทาง ต้น ใบ ดอก ฝัก
ทำให้มีหัวเล็ก การเด็ดยอดและดอก จึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ
ถ้าปลูกต้นฤดูฝนในราวเดือนมิถุนายน ทำการเด็ดยอด ๓ ครั้ง ครั้งแรกอายุ ๒
เดือน ขณะที่เถายาวประมาณ ๑- ๑.๕ เมตร ครั้งที่สอง อายุประมาณ ๓ เดือน
และครั้งที่สามอายุประมาณ ๔ เดือน หรือจะเด็ดเพียง ๒ ครั้ง เมื่ออายุ ๒
กับ ๔ เดือนก็ได้ ถ้าปลูกปลายฝน เด็ดยอดครั้งเดียวเป็นการเพียงพอ
แต่ถ้าปลูกหลังฤดูฝน ไม่ต้องทำการเด็ดยอดเลย สำหรับการปลูกมันแกว
เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ทำพันธุ์ปลูก ไม่ต้องทำการเด็ดยอดและดอก
ปล่อยให้เจริญเติบโตตามปกติ เพื่อให้ได้เมล็ดมาก และเมล็ดมีคุณภาพดี
ในทางปฏิบัติ กสิกรเด็ดยอดโดยการใช้ไม้คล้ายไม้เรียว หวดให้ยอดขาด
หรือหักไม่ให้เจริญเติบโตต่อไป
การใส่ปุ๋ย
ส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยคอก
ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินแต่ละแห่ง
ในต่างประเทศใช้ปุ๋ยผสม เกรด ๑๒-๒๔-๑๒ ในอัตรา ๕๐-๖๕ กก./ไร่ ก่อนปลูก
และเพิ่มแอมโมเนียมซัลเฟตอีกประมาณ ๓๐ กก./ไร่ เมื่อต้นมันแกวเริ่มเลื้อย
โรคและแมลง
ไม่ปรากฏว่ามีโรคและแมลงที่รบกวนต้นมันแกวมากนัก
ผลผลิตโดยทั่วไปในเนื้อที่ ๑ ไร่ จะได้หัวมัน แกวสดประมาณ ๒-๖ ตัน
การเก็บหัวและรักษา
มันแกวที่ปลูกฤดูฝนจะแก่เมื่ออายุประมาณ ๕-๘ เดือน แต่ถ้าจะเก็บเมล็ด
ต้องใช้เวลาประมาณ ๑๐ เดือน ให้สังเกตดูใบมันแกว เมื่อใบเปลี่ยนเป็น
สีเหลือง แสดงว่าเริ่มเก็บหัวได้แล้ว มันแกวชนิดหัวเล็กปลูกหลังฤดูฝน
เก็บได้เมื่ออายุ ๓ เดือน |
การเก็บหัวมันแกวเพื่อส่งตลาด |
ถ้าปลูกน้อย เก็บโดยการขุดด้วยจอบ เสียม
ถ้าปลูกมากอาจใช้ไถพลิกหัวมันแกวขึ้นมา เมื่อเก็บหัวมาแล้วล้างน้ำให้สะอาด
แล้วส่งตลาด หรือเก็บ รักษาไว้ต่อไป |
การแสดงลักษณะและขนาดของหัวมันแกว |
การเก็บรักษามันแกวที่ดีวิธีหนึ่ง
คือ ไม่ขุดขึ้นจากดิน วิธีนี้จะสามารถทิ้งหัวมันแกวไว้ในดิน ได้อีกประมาณ
๒-๓ เดือน โดยไม่ให้น้ำ หัวจะไม่เสีย เพียงแต่แห้งไปบ้าง
และจะมีรสหวานมากขึ้น ถ้าขุดขึ้นมาแล้ว จะเก็บรักษาได้โดยเก็บไว้
ในอุณหภูมิ ๐ องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานประมาณ ๒ เดือน
ประโยชน์
องค์ประกอบของส่วนต่างๆ ของมันแกว มีดังนี้
|
ลักษณะต่างๆ ของหัวมันแกว |
หัว
หัวมันแกวประกอบด้วยแป้งและน้ำตาล
และมีวิตามินซีมาก ผลจากการวิเคราะห์ประกอบด้วย ความชื้นร้อยละ ๘๒.๓๘
โปรตีนร้อยละ ๑.๔๗ ไขมันร้อยละ ๐.๐๙ แป้งร้อยละ ๙.๗๒ น้ำตาลร้อยละ ๒.๑๗
non-reducing sugar ร้อยละ ๐.๕๐ เหล็ก (Fe) ๑.๑๓ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐
กรัมของโปรตีนที่กินได้ แคลเซียม (Ca) ๑๖.๐ มิลลิกรัม ไทอามีน ๐.๕
มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน ๐.๐๒ มิลลิกรัม กรดแอสโคนิก ๑๔ มิลลิกรัม |
ฝัก
ฟิลิปปินส์ทำการวิเคราะห์ฝักปรากฏว่า
ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ ๘๖.๔ โปรตีนร้อยละ ๒.๖ ไขมันร้อยละ ๐.๓
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ ๑๐.๐ เส้นใยร้อยละ ๒.๙ เถ้าร้อยละ ๐.๗ แคลเซียม ๑๒๑
มิลลิกรัม/๑๐๐ กรัม ฟอสฟอรัส (P) ๓๙ มิลลิกรัม เหล็ก
๑.๓ มิลลิกรัม วิตามินเอ 575 IU ไทอามิน ๐.๑๑ มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน ๐.๐๙
มิลลิกรัม ไนอาซิน ๐.๘ มิลลิกรัม |
ลักษณะฝักมันแกวที่เจริญเต็มที่ | เมล็ด
ประกอบด้วยน้ำมันที่ใช้กินได้ร้อยละ
๒๐.๕-๒๘.๔ ผลการวิเคราะห์เมล็ดประกอบด้วย ความชื้นร้อยละ ๖.๗ โปรตีนร้อยละ
๒๖.๗ น้ำมันร้อยละ ๒๗.๓ คาร์โบไฮเดรตร้อยละ ๒๐.๐ เส้นใย ร้อยละ ๗.๐
เถ้าร้อยละ ๓.๖๘ เมล็ดแก่เป็นพิษ เนื่องจากประกอบด้วย โรตีโนนร้อยละ
๐.๑๒-๐.๔๓ และไอโซฟลาวาโนน และ ทุฟูราโน -๓- ฟีนิล ดูมาริน
ส่วนที่ใช้เป็นประโยชน์ของมันแกว
ส่วนใหญ่คือ หัว หัวสดใช้เป็นอาหาร เป็นผลไม้และผัก
หรือจะใช้หุงต้มปรุงอาหารก็ได้ หัวเล็กๆ หรือเศษของหัวใช้เลี้ยงสัตว์
ฝักอ่อนต้มรับประทานเป็นผัก เมล็ดใช้ทำพันธุ์ เมล็ดแก่ป่นหรือบด
ใช้เป็นยาฆ่าแมลง หรือใช้เป็นยาเบื่อปลาได้ ใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง
ฝักแก่ และเมล็ดแก่เป็นพิษต่อการบริโภคของคนและสัตว์
เนื่องจากเมล็ดมีน้ำมัน ซึ่งคล้ายน้ำมันจากเมล็ดฝ้าย
น้ำมันจากเมล็ดมันแกวกินได้ ต้นหรือเถามันแกวมีความเหนียว ในประเทศฟิจิ
ใช้ทำแห อวน ได้ |
|