๑. ใช้ไม้ไผ่ผ่าเป็นซีก กว้างประมาณ ๓-๕ ซม. ยาวประมาณ ๒.๕ เมตร
เหลาให้อ่อน พอโค้งได้ ปักคร่อมแปลงให้แต่ละอันห่างกันราว ๗๐ ซม.
และให้โค้งบนสูงสุดจากพื้นแปลง ๘๐-๙๐ ซม. ซึ่งถ้าแปลงยาว ๖ เมตร
จะต้องปักไม้โค้งนั้น ประมาณ ๘ อัน
|

การทำร่มพรางแสงโดยใช้ตาข่ายพลาสติก
|
๒. ปักหลักกลางตามขวางของแปลงสำหรับ
เป็นที่ขึงลวดตามยาวตลอดแปลง ๓ หลัก
โดยปักหัวท้ายข้างละหนึ่งหลัก และกลางแปลงหนึ่งหลัก และควรปักให้สูงประมาณ
๘๐-๙๐ ซม. หรือให้หัว หลักเสมอระดับไม้โค้ง แล้วใช้ลวดขนาด
๑/๑๖ นิ้ว ขึงตลอดทั้ง ๓ หลัก
๓. ปักหลักสำหรับผูกลวดที่ร้อยผ้าคลุม แปลงทั้งสองข้างแปลง ข้างละ ๒ หลัก
โดยปักที่มุมแปลงมุมละหนึ่งหลัก รวมเป็นสี่หลัก
และปักให้สูงจากพื้นดินประมาณ ๓๐ ซม.
๔. ใช้ผ้าดิบสีขาวชนิดหนายาวเท่าความ ยาวของแปลง และมีหน้ากว้างราว ๑๗๐
ซม. โดย ใช้ผ้าหน้ากว้าง ๙๐ ซม. เย็บติดกัน ๒ ผืน
แล้วทำหูสำหรับร้อยลวดที่ชายทั้งสี่ด้าน ก่อนใช้ผ้าควรซักเพื่อให้หมดแป้งเสียก่อน
แล้วอาบด้วยยาป้องกันเชื้อรา เพื่อป้องกันผ้ามิให้ผุง่าย
๕. ใช้ลวดร้อยหูด้านข้างตามยาวทั้งสองด้าน
และหลังจากที่เพาะเมล็ดเรียบร้อยแล้ว จึง คลุมผ้าบนไม้โค้ง
แล้วผูกลวดติดกับหลักที่ปักไว้ ตรงมุมแปลงทั้ง ๔ หลักให้แน่น
จากนั้นก็คอยปรับ แสงให้มากน้อยตามความต้องการของกล้า
จนกว่าจะถึงเวลาย้ายปลูกลงแปลงต่อไป
ง.
การดูแลรักษาต้นกล้า
จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาต้นกล้าก็คือ
เพื่อเลี้ยงดูกล้าพืชให้แข็งแรง พ้นจากการทำลายของโรคโคนเน่าคอดิน
สำหรับการดูแลรักษากล้าพืชในระยะแรกก็คือ
การเปิดให้ต้นกล้าได้รับแสงหลังจากที่งอกโผล่พ้นผิวดิน นอกจากแสงแล้ว
อุณหภูมิก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญของกล้าพืชอีกด้วย
โดยปกติอุณหภูมิขนาดปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ
จะช่วยให้กล้าพืชเจริญได้แข็งแรง
ซึ่งถ้าเป็นพืชฤดูหนาวก็ควรจะอยู่ในช่วงของ อุณหภูมิ ๖๐° - ๖๕°ฟ.
ในเวลากลางวัน และอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่านี้ ๕° - ๑๐°ฟ. ในเวลากลางคืน
ส่วนพืชฤดูร้อนควรจะมีอุณหภูมิราว ๗๐° - ๗๕°ฟ. ในเวลากลางวัน
และอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้ ๕° - ๑๐°ฟ. ในเวลากลางคืน
การให้น้ำแก่กล้าพืชก็เป็นเรื่องสำคัญ
คือ จะต้องคอยสังเกตความชื้นในแปลงเพาะและความต้อง
การน้ำของกล้าพืชเป็นสำคัญ โดยรักษาระดับความ
ชื้นในแปลงเพาะให้พอเหมาะไม่มากเกินไปจนทำให้ อากาศถ่ายเทในดินไม่สะดวก
อันจะเป็นทางหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินระบาดได้รวดเร็ว
โดยทั่วไปขณะที่กล้าพืชยังเล็กอยู่ รากยังมีน้อย ควรจะ รดน้ำให้บ่อยครั้ง
เพื่อช่วยให้รากเจริญได้เร็วขึ้น แต่เมื่อกล้าเจริญได้ดีพอแล้ว
อาจจะงดการให้น้ำได้ บ้าง แต่ก็ควรให้แปลงเพาะชื้นอยู่เสมอ
การรดน้ำกล้าพืชควรจะทำตอนเช้าหรือตอนบ่าย ๓-๔ โมงเย็น
เพื่อให้น้ำจับต้นกล้าได้มีโอกาสแห้งโดยเฉพาะใน ตอนเย็น
ซึ่งจะเป็นการป้องกันโรคได้ทางหนึ่ง
และถ้ามีการเกิดโรคก็ควรจะงดการรดน้ำตอนเย็นเสีย
โดยรดแต่ตอนเช้าเพียงเวลาเดียว
พร้อมกันนี้ก็ควรใช้ยาป้องกันเชื้อรารดกล้าพืชที่เป็นโรคนั้นจนกว่าโรคนั้นจะหายไป
จ. การย้ายกล้า
ในกรณีที่การหว่านเมล็ดหนา
เกินไป และเมล็ดงอกเบียดเสียดกันมาก
ซึ่งถ้าไม่ถอนย้ายก็อาจทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินได้ง่ายขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจย้ายกล้าไปปลูกเสียขั้นหนึ่งก่อน
เป็นการย้ายปลูกชั่วคราวก่อนที่จะย้ายลงแปลงหรือกระถางถาวร
การย้ายกล้าในระยะนี้ ควรจะทำเมื่อกล้าพืชมีใบจริง ๒-๓ ใบ
และมีขนาดพอที่จะหยิบ จับได้ถนัดพอสมควร การย้ายปลูกชั่วคราวนี้
มักนิยมใช้กระบะไม้เป็นภาชนะในการย้ายปลูก เพราะ
สามารถเคลื่อนย้ายไปปลูกในที่ต่างๆ ได้สะดวก การเตรียมกระบะ
และเตรียมดินย้ายปลูกทำเช่นเดียวกับการเพาะเมล็ด
จากนั้นก็ดำเนินการย้ายปลูก โดยใช้ไม้กดดิน กดดินในกระบะให้เป็นรู
ในตำแหน่งที่จะย้ายปลูก แล้วจึงย้ายต้นกล้าลงไปปลูกในรูที่ เตรียมไว้
กดดินให้กระชับรากพืช แล้วรดน้ำให้ โชก ใน ๒-๓ วันแรก
ควรคลุมหรือเก็บกระบะไว้ในที่ร่มและชื้นจนกว่าต้นพืชจะตั้งตัวซึ่งจะใช้
เวลา ๒-๓ วัน จากนั้น ก็เป็นการเลี้ยงดูต้นกล้า
ให้เจริญเติบโตเช่นเดียวกับปฏิบัติกับกล้าพืชทั่วๆ ไป
เมื่อต้นพืชเจริญดีและมีขนาดพอที่จะย้ายปลูก ลงกระถางหรือแปลงปลูกถาวร
จึงค่อยย้ายปลูก อีกครั้งหนึ่ง สำหรับความสำเร็จในการย้ายกล้าพืช
ไปปลูกในที่อื่น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่กล้าพืชจะพึงได้รับ
เมื่อถูกย้ายออกไป
ถ้าสภาพแวดล้อมใหม่ใกล้เคียงกับสภาพของต้นกล้าที่ได้รับขณะอยู่
ในแปลงเพาะหรือแปลงย้ายปลูกชั่วคราว ความ สำเร็จในการย้ายปลูกก็จะมีมาก
แต่ถ้าสภาพแวด ล้อมใหม่แตกต่างไปจากสภาพแวดล้อมเดิมมาก การย้ายปลูก
ก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ในกรณีของการย้ายกล้าไปปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป จากเดิมมากๆ นี้
จำเป็นต้องทำให้กล้าพืชแข็งตัว ซึ่งอาจทำได้โดยทำให้กล้าพืชชะงักการเจริญ
ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นพืชสะสมอาหารประเภทแป้งไว้มาก
อันจะทำให้ต้นพืชสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ ไม่เหมาะสมได้ดีขึ้น
ในการทำให้กล้าพืชแข็งตัวนี้ อาจทำได้โดยรดน้ำต้นกล้าให้น้อยลง
หรืออาจใช้โพ แทสเซียมคลอไรด์ (KC1) อัตราส่วน ๑:๒๕๐-๓๐๐ ละลายน้ำรดต้นพืช
ซึ่งควรจะจัดทำก่อนที่จะย้าย ปลูกไปที่ใหม่ประมาณ ๗-๑๐ วัน
สำหรับการปฏิบัติ ในการถอนย้ายต้นกล้า ก่อนอื่นจะต้องรดน้ำให้ดินใน
แปลงเพาะชุ่มและอ่อนตัว ซึ่งเมื่อถอนย้ายแล้วต้น
พืชจะได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด การถอน
ย้ายก็ควรจะมีดินติดไปบ้างเล็กน้อย เพื่อกล้าพืชจะ ได้ตั้งตัวได้เร็วขึ้น
โดยจะต้องพิจารณาความสามารถ ในการตั้งตัวของพืชแต่ละชนิดและสภาพแปลงปลูก
ใหม่ที่จะถอนย้ายไปปลูกด้วย หลังจากการปลูกแล้ว
จะต้องรดน้ำให้ชุ่มและควรทำร่มให้เป็นการชั่วคราว ๒-๓ วัน
จนกระทั่งกล้าพืชตั้งตัวได้ พร้อมทั้งคอยรดน้ำ
อย่าให้กล้าพืชเหี่ยวเพราะขาดน้ำในระยะนี้ได้ |

ต้นมะเขือเทศหลังการย้ายปลูกแบบรากเปลือย |
การใช้ปุ๋ยเร่งจะช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น
ปุ๋ยที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยผสมที่มีฟอสฟอรัส (P2O5)
สูง เช่น ใช้สูตร N:P:K = ๑๐:๕๒:๑๗ ในอัตรา ส่วน ๕-๖ ปอนด์ ต่อน้ำ ๑๐๐
แกลลอนหรือประมาณ ๒.๓-๒.๗ กก. ต่อน้ำ ๔๐๐ ลิตร รดกล้าพืชหลังจาก
การย้ายปลูกใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้กล้าพืชตั้งตัวเร็วขึ้น
แต่ต้องระวังอย่าใช้ให้เข้มข้นมาก โดยเฉพาะเมื่อดิน
มีความชื้นน้อยหรือรดน้ำไม่พอขณะที่ย้ายปลูก ใหม่ๆ
ซึ่งจะทำให้กล้าพืชได้รับอันตรายได้ |

การย้ายกล้าชั่วคราวก่อนลงแปลงปลูก |
๒.
การเพาะหรือปลูกเมล็ดโดยตรงในแปลงปลูก
การปลูกพืชโดยหว่านเมล็ดโดยตรงในแปลงปลูก
เป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชด้วยเมล็ดแบบหนึ่ง ซึ่งมักจะใช้กับการปลูกพืชไร่
และธัญพืช รวมทั้งการปลูกผักเป็นการค้า
โดยปกติแล้วการปลูกพืชโดยวิธีนี้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
เพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์มาก การปลูกพืช จำนวนมากๆ
จึงมักจะใช้วิธีนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและสะดวก
จึงเป็นวิธีที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวไร่ชาวสวนทั่วไป
เพราะต้นพืชจะเจริญติดต่อกันไปรวดเดียวโดยไม่ชะงักการเจริญเติบโต |
วิธีการโดยทั่วไปก็คือ
นำเมล็ดมาหว่านหรือดำลงในแปลง ซึ่งเตรียมไว้เป็นพิเศษ
การหว่านหรือดำจะหนาหรือบาง ถี่หรือห่าง
แล้วแต่เปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ด ถ้าเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกน้อย
ก็จะหว่านหรือดำเมล็ดให้หนา และถ้าเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง
ก็จะหว่านเมล็ดให้บางลง และเมื่อเห็นว่า จะมีต้นพืชขึ้นหนาแน่นเกินไป
ก็จะถอนแยก หรือถอนทิ้งออกเสียบ้าง
เพื่อมิให้ต้นพืชขึ้นเบียดเสียดแน่นจนเกินไป การปลูกพืชโดยวิธีนี้
เหมาะกับพืชที่เมล็ดมีราคาถูก
เพราะต้องสิ้นเปลืองเมล็ด มากกว่าการปลูกพืช โดยการเพาะ แล้วย้ายปลูกทีหลัง
ประกอบกับต้นพืชที่ผลิตได้ มักมีราคาจำหน่ายต่ำด้วย
จึงต้องหาวิธีขยายพันธุ์ที่ทำได้ง่าย และลงทุนน้อย
พืชที่นิยมปลูกโดยวิธีนี้ ได้แก่ ละหุ่ง ฝ้าย ป่าน ปอ กระเจี๊ยบ ข้าว
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง คะน้า ผักกาดชนิดต่างๆ ผักบุ้ง ผักชี รวมทั้งไม้
ดอกบางชนิด เช่น บานไม่รู้โรย ดาวกระจาย และแอสเทอร์ เป็นต้น |

พริกเป็นพืชล้มลุกที่เพาะเมล็ดแล้วจึงทำการย้ายปลูก |
การเตรียมแปลงปลูกนับว่าเป็นหัวใจสำคัญ
ในการปลูกพืชโดยวิธีนี้ แปลงปลูกที่ดีจะต้องมี ลักษณะดังนี้
๑. อุ้มน้ำหรือมีความชื้นเพียงพอตลอดระยะ
เวลาการงอกของเมล็ดรวมทั้งระยะแรกๆ ของการ เจริญของกล้าพืช
๒. มีคุณสมบัติทางฟิสิกส์ดีซึ่งหมายถึง ร่วน โปร่ง และอุ้มน้ำได้ดี
ซึ่งจะทำให้เมล็ดได้รับน้ำ ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอน
๓. มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ปัญหาในการเตรียมแปลงปลูกพืชโดยวิธีนี้
อยู่ที่ความพอดีระหว่างการถ่ายเทอากาศในดิน (earation) และความชื้นในดิน
(moisture) ซึ่งมักจะไม่พอดีกัน คือ ถ้ามีการถ่ายเทอากาศในดินมาก
ก็มักจะมีความชื้นในดินน้อยหรือถ้ามีความชื้นในดินมาก
ก็จะมีการถ่ายเทอากาศในดินน้อย เช่นนี้เป็นต้น
ปัญหานี้จะหมดไปถ้าทำการปลูกพืชในที่ที่เป็นดินปนทราย (medium textured
loam) ซึ่งถ้าเป็นดินทราย (light sandy soil) ดินมักจะแห้งเร็ว
หรือถ้าเป็นดินเหนียวจัด (heavy clay soil) ก็มักจะมีการถ่ายเทอากาศไม่ดี
และการระบายน้ำก็ไม่ดีด้วย
นอกจากนี้ดินเหนียวเมื่อแห้งยังทำให้ดินแข็งไม่สะดวกในการพรวนดิน
ดังนั้นการใส่ปุ๋ยหมักในดินประเภทนี้
จะเป็นการช่วยแก้ลักษณะไม่ดีดังกล่าวได้มาก และปุ๋ยหมักที่ใส่ลงในดิน
ควรจะให้ในรูปของพืชคลุม หรือในรูปของปุ๋ยคอกก็ได้
และควรจะยืดเวลาให้นานพอสมควร เพื่อให้ปุ๋ยได้มีโอกาสผุเปื่อยเสียก่อน
ก่อนที่จะหว่านเมล็ดพืช สำหรับการปลูกพืชเพียงเล็กน้อย เช่น
การทำสวนครัวหลังบ้านก็อาจใช้ใบไม้ผุๆ หรือเศษขยะเก่าๆ ในบริเวณบ้านได้
ซึ่งแปลงปลูกที่เตรียมดีแล้วควรจะมีลักษณะดังนี้
๑. แปลงจะต้องมีความชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ
๒. ไถพรวนให้มีความลึก ๖-๑๐ นิ้ว โดยเฉพาะความลึกระดับ ๓-๔ นิ้ว
จากหน้าดินจะต้องย่อยให้ละเอียด
๓. แปลงจะต้องแน่นพอสมควร
เพื่อมิให้เกิดโพรงอากาศขนาดใหญ่อันจะทำให้แปลงปลูกแห้งเร็วเกินไป
เนื่องจากการระเหย และสูญเสียน้ำได้ง่าย
ส่วนวิธีเตรียมแปลงนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับขนาดของแรงงานและชนิดของพืชที่จะปลูก
สำหรับการปลูกพืชที่เป็นงานใหญ่ จะต้องใช้เครื่องทุ่นแรงช่วย เช่น จอบ ไถ
พรวน เครื่องทำแถว เครื่องปรับระดับ แต่ถ้าเป็นงานเล็กๆ อาจมีเพียงจอบฟัน
และมือพรวน ก็เป็นการเพียงพอ หลังจากที่ได้ไถหรือฟันดินแล้ว
จึงย่อย หรือคราดหลายๆ ครั้ง และถ้าดินที่เตรียมแห้งเกินไป ก็อาจรดน้ำช่วย
ซึ่งจะทำให้การเตรียมแปลงทำได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ดินยังเปียกอยู่
ไม่ควรจะเตรียมดิน เพราะจะทำให้ดินแน่น ขาดการถ่ายเทอากาศ
และน้ำจะระบายได้ยากในภายหลัง การที่จะกะว่า
ดินปลูกแห้งหรือเปียกขนาดไหนจึงจะเตรียมแปลงได้ อาจทำได้ง่าย
โดยวิธีกำดินให้แน่น พอตึงมือ แล้วสังเกตลักษณะดินที่กำนั้น
ถ้ามีลักษณะเป็นก้อน แสดงว่า ยังเปียกเกินไป แต่ถ้าไม่จับเป็นก้อน แสดงว่า
เตรียมดินได้ |

ผักชี |
การฆ่าเชื้อโรค
และแมลงในดินรวมทั้งเมล็ดวัชพืชก็อาจทำได้ในขณะเตรียมแปลงนี้
แต่ควรจะพิจารณาใช้กับพืชที่มีราคาสูง และคุ้มค่าเท่านั้น
|
การปลูกพืชโดยวิธีนี้
ก่อนอื่นจะต้องพิจารณาความเหมาะสมของดินฟ้าอากาศ
ของแต่ละท้องถิ่นเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่มักจะปลูกกันเพียงฤดูเดียว คือ ฤดูฝน
แต่สำหรับการปลูกผักอาจทำได้ ๒ ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งในแต่ละฤดู
ก็อาจปลูกพืชได้ ๒-๓ ชนิด โดยเฉพาะพืชอายุสั้นๆ ฉะนั้นแทบจะกล่าวได้ว่า
การปลูกผักหว่านโดยวิธีนี้ ชาวสวนมักจะทำติดต่อกันไปเกือบทั้งปี ทั้งนี้
เพื่อให้ผลิตผลได้ออกสู่ตลาดเป็นประจำ ปัญหาสำคัญในการปลูกพืชโดยวิธีนี้
อีกอย่างหนึ่งก็คือ การกะ ปริมาณเมล็ดพืชที่จะหว่าน
เพื่อให้ได้พืชตามที่ต้องการ ถ้าหว่านบางไป ก็จะทำให้ได้ผลิตผลน้อย
แต่ถ้าหว่านเมล็ดหนาเกินไป อาจทำให้ขนาดและคุณภาพของพืชด้อยลง ดังนั้น
การกะประมาณจำนวนต้นพืชที่ต้องการไว้ล่วงหน้า
ก็จะสามารถคำนวณอัตราการใช้เมล็ดได้ ถ้าเราทราบเปอร์เซ็นต์ความงอก
เปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ และจำนวนเมล็ดพืชต่อน้ำหนัก ๑ ปอนด์ หรือ ๑
ออนซ์ |

แปลงปลูกผักแบบทำการย้ายกล้ามาปลูก |
สูตรในการคำนวณมีดังนี้
จำนวนเมล็ด (คิดเป็นปอนด์หรือออนซ์ต่อ ๑ หน่วยพื้นที่)
= (จำนวนต้นพืชที่ต้องการต่อ ๑
หน่วยพื้นที่ / จำนวนเมล็ด (ต่อปอนด์หรือออนซ์)) x เปอร์เซ็นต์ความงอก x
เปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์
สำหรับอัตราการใช้เมล็ดที่คำนวณตามวิธีนี้
เป็นอัตราที่ใช้เมล็ดน้อยที่สุด ดังนั้นการปฏิบัติจริงๆ
ในไร่ควรจะคิดเผื่อไว้ สำหรับความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้น
เนื่องจากศัตรูพืชด้วย และเมื่อต้นพืชมีขนาดโตพอแล้ว ควรจะได้ถอนออก
ให้เหลือห่างกันตามต้องการ
|