สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 6
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๖ / ความน่าจะเป็น / บทนำ
บทนำ
ตราบใดที่มีความไม่แน่นอน
หรือการคาดคะเนจะมีเรื่องของ "ความน่าจะเป็น"
เกี่ยวข้องด้วยเสมอ
ค่าของความน่าจะเป็นช่วยบอกให้ทราบล่วงหน้าได้ว่า
เรื่องที่ไม่แน่นอนนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไหน เช่น
ในการหยิบสลาก 1 ใบ จากสลาก 10 ใบ เราบอกไม่
ได้แน่นอนว่า จะหยิบได้ใบไหน แต่โอกาสที่จะหยิบได้ใบใดย่อมมีเหมือนๆ กัน
คือ 1 ใน 10 ใบ เรียกค่า 1/10 นี้ว่า "ค่าของความน่าจะเป็นใน
การหยิบสลาก
1 ใบ" |
 |
ทำนองเดียวกัน
ถ้าในกล่องหนึ่งมีของเหมือนๆ กันอยู่ 100 ชิ้น
และทราบว่า ปกติ จะมีของเสียประมาณ 5 ชิ้น
รวมปนอยู่โดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าว่าชิ้นใดเสีย เมื่อหยิบของนั้นมา 1
ชิ้น โอกาสที่จะได้ของเสียจะมีอยู่ 5 ใน 100 เรียกค่า 5/100 นี้ว่า
ค่าของความน่าจะเป็น
ในการหยิบได้ของที่เสีย 1 ชิ้น ถ้ามีของเสียหลายชิ้น โอกาสที่หยิบของ 1
ชิ้น และพบว่าเสีย ย่อมมีมาก ถ้าเสียทั้ง 100 ชิ้นเมื่อหยิบขึ้นมา 1 ชิ้น
การที่จะได้ของเสียย่อมเกิดขึ้นแน่ ค่า100/100 หรือ 1 คือ
ค่าของความน่าจะเป็น ที่จะได้ของเสีย
ซึ่งเป็นค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นแน่นอน และถ้าในของ 100 ชิ้นนั้น ไม่มีของเสียเลย
โอกาสที่หยิบของมาชิ้นหนึ่งแล้วจะพบว่าเป็นของเสีย ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่
ค่า 0/100
หรือ 0 หรือค่าของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้
ค่าของความน่าจะเป็นที่สำคัญอันดับแรกมี 3 ประเภท คือ |
ค่าของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ
อยู่ระหว่าง 0 กับ 1
ค่าของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่มีค่าเป็น
1
ค่าของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้มีค่าเป็น 0
ก่อนที่จะคำนวณความน่าจะเป็น จะต้องพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
อยู่ในลักษณะใด ค่าของความน่าจะเป็นจะต้องเป็นทศนิยม หรือเศษส่วน
มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 จะเป็น 0 เมื่อลักษณะนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เลย
จะมีค่าเป็น 1 เมื่อลักษณะนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
|  |
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หนึ่ง = ทางที่เป็นไปได้ / ทางทั้งหมด
ดังตัวอย่างเช่น
ลักษณะของแต้มคู่ที่ปรากฏบนลูกเต๋าธรรมดา เนื่องจากแต้มคู่มี 3
ด้าน
ทางที่เป็นไปได้จึงเป็น 3 ลูกเต๋ามีด้านทั้งหมด 6 ด้าน ทางทั้งหมดจึงเป็น 6
ความน่าจะเป็นที่จะให้ได้แต้มคู่ = 3/6 = 1/2
ในด้านการจัดการอาจจะต้องใช้ความน่าจะเป็นตามโอกาสที่เกิดขึ้น เช่น
ต้องการตอบคำถามว่า "โอกาสที่ผลิตภัณฑ์ ของบริษัทของเขาเคยเป็นที่ยอมรับของมหาชนเป็นเท่าใด" หรือ "โอกาสที่แต่ละบุคคลจะมีอายุถึง 100 ปีเป็นเท่าใด"
ในการตอบคำถามดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ความถี่ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งคำนวณได้
โดยพิจารณาจากการสังเกตการณ์ ของเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งปรากฏบ่อยครั้ง เช่น
จากการสำรวจนิสิตเข้ามหาวิทยาลัย 1,000 คน ปรากฏว่า 950 คนสำเร็จ
ปริญญาตรี ความน่าจะเป็นของนิสิตที่เข้ามหาวิทยาลัย จะสำเร็จปริญญาตรีเป็น 950/1,000 = 0.95
นอกจากนี้ความน่าจะเป็นอาจคำนวณโดยอาศัยดุลพินิจซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อถือ
ประสบการณ์ หรือความรู้สึกของบุคคล ที่ประมาณค่าของความน่าจะเป็น
การคำนวณความน่าจะเป็นชนิดนี้ต้องพิจารณาถึงประจักษ์พยานที่เคยเกิดขึ้น
ประจักษ์พยานที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นปรากฏการณ์ หรือการเดาที่ดี เช่น
ความน่าจะเป็นที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะจำหน่ายได้มากขึ้น เป็นต้น
ตัวแปรสุ่มเป็นจำนวนมาก มีลักษณะไม่ต่อเนื่องโดยธรรมชาติ
ตัวแปรสุ่มไม่ต่อเนื่อง เป็นค่าที่แตกต่างจากกันและกัน ด้วยจำนวนที่นับได้
อีกนัยหนึ่ง ตัวแปรสุ่มไม่ต่อเนื่อง พิจารณาได้จากจำนวนของค่าต่างๆ
หรือจุดตัวอย่างที่นับได้ หรือค่าที่มีจำนวนสามารถนับได้ เช่น โยนเหรียญ 4
เหรียญ เราจะได้ปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวกับหัวซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เป็น 5 อย่าง
คือ 0 1 2 3 4 จำนวนหัว หรือก้อยที่สังเกตได้นี้เป็นจำนวนเต็ม
ตัวแปรสุ่มที่ต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นค่าที่แตกต่างจากกัน
ด้วยจำนวนที่เล็กมากจนนับไม่ถ้วน ได้แก่ ระยะทาง น้ำหนัก ฯลฯ
การแจกแจงของตัวแปรสุ่มไม่ต่อเนื่องมีหลายลักษณะ เช่น การแจกแจงทวินาม
(Binomial distribution) การแจกแจงไฮเพอร์จีออเมตริก (Hypergeometric
distribution) และการแจกแจงปัวส์ซงเอกซ์โพเนนเชียล (Poisson exponential
distribution) |
 |
สมมุติว่าหยิบของจากกล่องที่มีของรวมอยู่
100 ชิ้น และมีของเสียปนอยู่ 5 ชิ้น โดยให้หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ทดสอบว่า ดีหรือเสีย แล้วคืนลงกล่องตามเดิมคนให้เข้ากันแล้วหยิบใหม่
ทำเช่นนี้ 3 ครั้ง ตามทฤษฎี จะบอกได้ล่วงหน้าว่า
โอกาสที่จะไม่พบของเสียเลย
หรือพบของเสีย 1 ชิ้น หรือ 2 ชิ้น หรือเสียทั้ง 3
ชิ้นมีเพียงใดโดยคำนวณจากสูตร
เมื่อ n คือ จำนวนของที่หยิบทั้งหมด
x คือ จำนวนของเสียที่จะได้ใน n มีค่าได้ตั้งแต่ 0 ถึง n
p คือ ค่าของความน่าจะเป็นที่จะได้ของเสีย
ในการหยิบแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นค่าคงที่
q คือ 1 - p
n! คือ ผลคูณ n (n-1) (n-2)...3.2.1
ในที่นี้ n = 3
x = 0 หมายถึงใน 3 ชิ้นที่หยิบไม่มีของเสียเลย
x = 1 หมายถึงใน 3 ชิ้นที่หยิบจะพบของเสีย 1 ชิ้น
ซึ่งอาจจะเป็นชิ้นแรกที่หยิบ หรือชิ้นที่ 2 หรือชิ้นที่ 3 ก็ได้
x = 2 หมายถึงใน 3 ชิ้นที่หยิบจะพบของเสีย 2 ชิ้น ซึ่ง
อาจจะเป็นชิ้นที่ 1 กับชิ้นที่ 2 หรือชิ้นที่ 2 หรือชิ้นที่ 1 กับชิ้นที่
3 หรือชิ้นที่ 2 กับชิ้นที่ 3
x = 3 หมายถึงใน 3 ชิ้นที่หยิบจะพบของเสียทั้ง 3 ชิ้น
ค่า p ในตัวอย่างนี้คือ 5 = 1 ซึ่งเป็นค่าคงที่ไม่ว่าจะ
100 20 หยิบครั้งใดๆ เพราะได้มีการคืนของที่หยิบลงกล่องตามเดิม
และทำให้โอกาสที่จะหยิบชิ้นใดขึ้นมาใหม่มีเท่ากันเหมือนเดิม
โดยการแทนค่าในสูตร (1) จะได้ความน่าจะเป็นของการได้ x =
0, 1, 2, 3, ซึ่งจะใช้สัญลักษณ์ P(x) ดังนี้
สังเกตได้ว่า
ถ้าหยิบของ 3 ชิ้น จากกล่องที่มีของเสีย 5
เปอร์ เซ็นต์ เรามักจะไม่พบของเสีย เพราะโอกาสที่จะไม่พบของเสีย คือ
โอกาสที่ x = 0 มีค่าถึง 0.86 หรือ 86 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะพบของเสีย 1
ชิ้น มีเพียง 0.13 หรือ 13 เปอร์เซ็นต์ และโอกาสที่จะพบของเสีย 2 ชิ้น
มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่จะพบของเสียทั้ง 3 ชิ้น
นั้นน้อยมากเกือบไม่มีเลย
จากค่าของความน่าจะเป็นนี้
จะทำให้ทราบจำนวนของเสียโดยเฉลี่ย หรือโดยประมาณจากสูตร
จำนวนของเสียโดยเฉลี่ยที่หยิบได้ในการหยิบ n ชิ้น คือ np
สมมุติว่า
หยิบของ 20 ชิ้น จากกล่องดังกล่าวแล้ว หมายความว่า n=20, p=1/20 ฉะนั้น
จะพบของเสียประมาณ 1 ชิ้น โดยคำนวณจาก np20(1/20) =1
สูตร (1)
เป็นสูตรที่ให้ค่าความน่าจะเป็นที่สำคัญ และมีชื่อว่า "การแจก แจงทวินาม" เพราะจะแจกแจงค่าของความน่าจะเป็น
ของเหตุการณ์ที่จะปรากฏได้ 2 ลักษณะ เช่น ของเสีย
หรือของไม่เสียตามตัวอย่าง โดยทั่วไปถ้าเรียกลักษณะที่สนใจว่า "สำเร็จ" และเรียกลักษณะที่ไม่สนใจว่า
"ไม่สำเร็จ"
เช่น ถ้าสนใจว่า ในข้อสอบแบบปรนัย 100 ข้อ ที่ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูก
1 ข้อ จากบรรดาคำตอบ 4 ข้อของแต่ละคำถามนั้น
จะมีที่ตอบถูก พราะเดาอย่างไรบ้าง
ก็จะพิจารณาได้จากค่าของความน่าจะเป็น ของการที่นักเรียนจะตอบถูกเพราะเดา
ซึ่งแต่ละคำถามจะมีโอกาสถูกเพียง 1/4
รูปร่างหรือรูปแบบของการแจกแจงทวินาม ขึ้นอยู่กับค่า p และ n ถ้า p = q
= 1 - p = 0.5 การแจกแจงจะสมมาตร โดยไม่คำนึงถึงค่า n ถ้า p น q การแจกแจง
จะไม่สมมาตร กำหนดค่า n ให้ ถ้าค่า p และ q ต่างกันมากเท่าใดการแจก
แจงจะเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น ถ้าค่า p ต่ำกว่าค่า q การแจกแจงจะเบี้ยวไปทางขวา
หรือเรียกว่า เบี้ยวบวก เมื่อค่า p มากกว่าค่า q การแจกแจงจะเบี้ยวไปทางซ้าย
หรือเรียกว่าเบี้ยวลบ อย่างไรก็ดีเมื่อค่าของ n มากขึ้น การแจกแจงจะเริ่มเบี้ยว
น้อยลง เมื่อ n มีค่าใกล้อนันต์ การแจกแจงจะยิ่งสมมาตรมากขึ้น โดยไม่คำนึง
ถึงค่าแตกต่างระหว่าง p และ q



 รูป ก การแจกแจงทวินาม p=0.5 |  |
|
รูป ข ลากขึ้น โดยมีข้อสมมุติที่ว่า
ความน่าจะเป็นของการสำเร็จ ในการทดลองหนึ่งครั้ง เป็น 0.1 เช่น
การทดลองการหยิบ 0 จากตารางตัวเลขสุ่ม แสดงให้เห็นว่า เมื่อ n
มีค่าใกล้อนันต์ หรือเมื่อค่า n เพิ่ม
การแจกแจงทวินามจะกลายเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องสมมาตร ไม่ว่า p และ q
จะเท่ากันหรือไม่ การแจกแจงรูปโค้งระฆังคว่ำที่ต่อเนื่องเช่นนี้ คือ
การแจกแจงปกติ ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินาม เมื่อ n
มีค่าใกล้อนันต์
|
 รูป ข การแจกแจงทวินาม p=0.1 |
การแจกแจงทวินามขึ้นอยู่กับข้อสมมุติที่ว่า
ประชากรนั้นมีมากจนนับไม่ได้ และตัวอย่างสุ่มนั้นเลือกมาโดยวิธีนำไปแทนที่
กล่าวคือ
จะต้องคืนหน่วยที่หยิบขึ้นมาสังเกตแล้วลงไปก่อนที่จะมีการหยิบหน่วยต่อไป
ดังนั้นการสังเกตการณ์จึงเป็นอิสระแก่กัน
ความน่าจะเป็นของการสังเกตการณ์ในแต่ละครั้งจะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าประชากรนับได้ และตัวอย่างสุ่มออกมา โดยวิธีไม่นำไปแทนที่ คือ
เมื่อหยิบหน่วยขึ้นมาสังเกตแล้วไม่คืนลงไปที่เดิมก่อนที่จะหยิบหน่วยต่อไป
ความน่าจะเป็นจะเปลี่ยนไป สำหรับการสังเกตการณ์แต่ละครั้ง
การแจกแจงความน่าจะเป็นในกรณีนี้เรียกว่า การแจกแจงไฮเพอร์จีออเมตริก
ถ้าหยิบของ n หน่วย โดยวิธีไม่นำไปแทนที่จากเซตหนึ่งซึ่งประกอบด้วย
ของชนิดหนึ่งจำนวน N1 หน่วย และอีกชนิดหนึ่งจำนวน N2 หน่วย ทั้ง 2 ชนิด
นี้เกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้ ดังนั้น จำนวนทางทั้งหมดในการหยิบของ n หน่วย จาก
ประชากรนี้ คือ
แสดงว่าในหนังสือเล่มนั้น
จะมีคำผิดหน้าละ 5 คำอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าถ้าหนังสือหนา
100 หน้า จะมีคำผิดหน้าละ 5 คำอยู่ประมาณ 10 หน้า แต่บอกไม่ได้ว่าหน้าไหน
|
|
อีกตัวอย่างหนึ่ง
สมมุติว่า เครื่องจักรอัตโนมัติผลิตสกรูออกมาแล้ว
มีสกรูที่ใช้ไม่ได้หรือเสีย จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์
เครื่องมือที่ยังไม่ได้ประกอบชนิดหนึ่ง ต้องการสกรู 98 ตัว สำหรับประกอบ
และสกรูนี้จะจัดอยู่ในกล่องๆ ละ 100 ตัว
ความน่าจะเป็นที่ผู้ซื้อเครื่องมือชนิดนี้ จะไม่มีสกรูที่ดีเพียงพอ
ที่จะประกอบให้ สำเร็จได้ สำหรับ m = np = 100 (.02) = 2 ซึ่งสามารถคำนวณจากความน่า
จะเป็นที่จะได้สกรูเสีย 0, 1 หรือ 2 หน่วย คือ
|
ดังได้กล่าวแล้วว่าการแจกแจงทวินาม จะมีค่าใกล้การแจกแจงต่อเนื่อง
ของรูปที่สมมาตร ถ้า n เพิ่มขึ้นให้มากพอ การแจกแจงที่สมมาตรนี้จะใกล้เคียง
กับการแจกแจงปกติซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินาม สิ่งที่น่าสนใจ คือ
การแจกแจงปกติก็เป็นขีดจำกัดของการแจกแจงปัวส์ซงด้วย กำหนดค่าของ p ให้
np จะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อ n เพิ่มขึ้น กราฟของการแจกแจงปัวส์ซงจะมีลักษณะใกล้กับโค้งรูประฆังคว่ำมากขึ้นทุกที
เส้นโค้งเรียบรูประฆังคว่ำที่แสดงในรูป ก หรือรูป ข เรียกว่าเส้นโค้งปกติ
ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินามเมื่อ n มีค่าใกล้อนันต์ เราได้ทราบฟังก์ชัน
ความน่าจะเป็นทวินาม ดังนี้
สมมุติว่าโรงงานผลิตหลอดไฟแห่งหนึ่ง เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอายุของหลอด
ไฟไว้ และคำนวณได้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วหลอดหนึ่งๆ จะมีอายุ 800 ชั่วโมง คือนับ
ตั้งแต่เริ่มใช้จนกระทั่งหลอดเสียจะใช้เวลาประมาณ 800 ชั่วโมง และส่วนเบี่ยง
เบนมาตรฐาน 40 ชั่วโมง ถ้าทราบหรือทดสอบไว้ว่าอายุหลอดไฟมีการแจก
แจงปกติ ก็จะสามารถคำนวณความน่าจะเป็นที่หลอดไฟจะมีอายุเท่าใดได้ เช่น
ความน่าจะเป็น หรือโอกาสที่จะพบหลอดไฟซึ่งใช้ได้นานระหว่าง 778 ถึง 834
ชั่วโมง จะคำนวณได้จากสูตร (3) ซึ่งจะให้ค่า 0.51 นั่นคือ จะมีหลอดไฟเหล่านี้
ประมาณ 51 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอายุระหว่าง 778 ถึง 834 ชั่วโมง
สูตร
(1), (3) และ (4) ที่ใช้ในการหาค่าของความน่าจะเป็นของเรื่อง
ที่แทนได้ด้วย x นั้น
จะมีคำนวณไว้ให้ในตารางของหนังสือเรื่องความน่าจะเป็นทั่วๆ ไป
นอกจากการแจกแจงความน่าจะเป็นขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งสามแบบนี้แล้ว
ยังมีแบบต่างๆ อีกมากที่สลับซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น ต่างก็มีลักษณะ
เฉพาะสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งสามารถใช้ความรู้ทางสถิติทดสอบได้ว่า
เหตุการณ์ที่คาดว่าจะมีความน่าจะเป็นตามที่คาดคะเนนั้น จะมีการกระจายของ
ความน่าจะเป็นตามที่ตั้งรูปแบบไว้หรือไม่
ในชั้นสูงขึ้นไปจะได้เห็นความสัมพันธ์ ระหว่างคณิตศาสตร์ชั้นสูง
และเรื่องราวของความน่าจะเป็นมากขึ้น ในระยะประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้
ความน่าจะเป็นได้รับความสนใจ และการนำไปใช้ในทางวิทยาการอย่างมาก
ผิดกับในสมัยเริ่มแรกที่วิชานี้ได้มีกำเนิดขึ้น |
|