จากผลงานการวิจัยของศูนย์วิจัย
และอบรมไหมนครราชสีมา กรมวิชาการเกษตร
พบว่า
ในการเลี้ยงไหมที่ใช้ลูกผสมชั่วแรกระหว่างพันธุ์จีน และพันธุ์ญี่ปุ่นนั้น
ให้ผลดังนี้
- ใบหม่อน ๑๕ กิโลกรัม เลี้ยงไหมได้ ๑ แม่ (๕๐๐ ตัว)
- ใบหม่อน ๒๓ กิโลกรัม จะได้รังไหมสด ๑ กิโลกรัม (๗๐๐-๗๕๐
รัง)
- หม่อน ๑ ไร่ (๓,๐๐๐ กิโลกรัม) จะได้รังไหมสด ๑๓๐
กิโลกรัม
- เส้นไหมดิบ ๑ กิโลกรัม ใช้รังไหมสด ๑๔ กิโลกรัม
ถ้าไม่มีการตัดแต่งกิ่ง กสิกรจะไม่สามารถคาดคะเนประมาณใบหม่อนในสวนหม่อน ให้สัมพันธ์กับจำนวนหนอนไหมที่จะเลี้ยงได้ เช่น
ถ้ามีหนอนไหมน้อยไป จะมีใบหม่อนเหลือทิ้งในสวน ถ้าเลี้ยงหนอนไหมมากไป
ใบหม่อนไม่พอ หนอนไหมจะตาย หรือทำรังเล็ก ให้เส้นใยปริมาณต่ำ ราคาต่ำลง |
ดินที่ใช้ปลูกหม่อน เป็นดินร่วนปนทราย |
นอกจากนี้การตัดแต่งกิ่งหม่อน
เพื่อให้ได้ใบที่มีคุณภาพเหมาะสมกับวัยของหนอนไหม
ก็มีความสำคัญมาก ในการจัดการสวนหม่อน
เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดในแง่เศรษฐศาสตร์ เพราะหนอนไหมวัยต่างกัน
จะกินใบหม่อน ที่มีลักษณะต่างกัน เช่น หนอนไหมวัยอ่อนชอบกินใบอ่อน เป็นต้น
ปริมาณใบหม่อนที่ใช้เลี้ยงวัยอ่อนประมาณ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณใบทั้งหมด
การตัดแต่งกิ่งหม่อนนอกจากจะช่วยให้สะดวกในการเก็บ และได้ผลผลิตใบสูงแล้ว
ยังช่วยป้องกัน และกำจัดเชื้อโรคและแมลง ที่ทำอันตรายแก่หม่อนได้อีกด้วย
หลักสำคัญๆ ในการเลือกพื้นที่ปลูกหม่อน
๑. เป็นที่ราบ และสูง น้ำไม่ท่วมขัง
๒. มีความอุดมสมบูรณ์ของดินสม่ำเสมอ และเป็นดินร่วนปนทราย
๓. ไม่ควรจะปลูกแปลงยาสูบ หรือสวนผักสวนผลไม้
ที่มีการใช้ยาปราบศัตรูพืชเป็นประจำ
๔. ไม่ควรอยู่ห่างไกลโรงเลี้ยงไหมจนเกินไป
๕. ไม่ควรอยู่ห่างไกลทางสัญจร จะทำให้หม่อนสกปรก
เนื้อที่ปลูกหม่อน
ในประเทศไทย
เนื้อที่ปลูกหม่อนส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๑๘๔,๒๒๐ ไร่
จังหวัดขอนแก่นปลูกมากที่สุด ประมาณ ๔๖,๕๓๔ ไร่
รองลงมาได้แก่ บุรีรัมย์ประมาณ ๓๑,๒๐๙ ไร่ และสุรินทร์ ๒๔,๙๖๘ ไร่
สำหรับในภาคอื่นๆ เช่น ที่เพชรบูรณ์ประมาณ ๕,๐๐๐ ไร่ ระยอง ๑,๐๐๐
ไร่และที่ชุมพร ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ |
ใบหม่อนที่ได้คุณภาพเหมาะสมในการเลี้ยงไหม |
ศัตรูของหม่อน
ศัตรูของหม่อนมีทั้งเชื้อโรคและแมลง
เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกับส่วนต่างๆ ของหม่อน เช่น ราก ส่วนแมลงจะรบกวนทำความเสียหาย ให้แก่ลำต้น และใบหม่อน
โรคของหม่อนมีหลายชนิด เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
|
๑.
โรครากเน่า (Root rot disease)
นับว่าเป็นโรคที่สำคัญที่สุดของหม่อน
ทั้งนี้เพราะมีระบาดอยู่กระจัดกระจายทั่วๆ ไป ทั้งในท้องที่ดอน และที่ลุ่ม
ยิ่งกว่านั้นหากหม่อนติดโรคนี้แล้ว ไม่สามารถรักษาได้
ถ้าจะเปรียบกับโรคของคนก็พอจะเปรียบได้กับโรค "มะเร็ง"
โรครากเน่า หรือจะเรียกว่า
โรคมะเร็งของหม่อนนี้ได้มีการค้นคว้าศึกษาหาทางป้องกัน
และกำจัดกันมาแล้วกว่า
๒๐ ปี จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่สามารถทราบได้แน่นอนว่า
เชื้ออะไรเป็นสาเหตุของโรค จากการศึกษาพบว่า
มีเชื้อโรคหลายชนิด ร่วมกันเป็นสาเหตุของโรครากเน่า
เชื้อโรคนั้นประกอบด้วยเชื้อรา
๙ ชนิด เชื้อบัคเตรี ๓ ชนิด แต่ละชนิดไม่สามารถทำให้เกิดโรคได้โดยลำพัง
หม่อนที่แสดงอาการนี้ จะมีอายุตั้งแต่ ๒-๓ เดือนถึง ๑๐ ปีขึ้นไป |
อาการของต้นหม่อน ที่เป็นโรครากเน่า |
จากข้อสังเกตทั่วๆ ไป ปรากฏว่า ในสภาพที่ดินค่อนข้างเหนียวมากไม่พบโรคนี้
หรือสภาพดินที่น้ำท่วมถึง เช่น ชายฝั่งแม่น้ำโขง
โดยเฉพาะเขตจังหวัดหนองคาย ไม่เคยพบโรคนี้ทำลายต้นหม่อนเลย
เมื่อหม่อนเริ่มเป็นโรคระยะแรก มักจะสังเกตเห็นได้ยากลักษณะทั่วๆ ไป
ก็ปกติดีทุกอย่าง
ต่อเมื่อรากเริ่มเน่ามากแล้ว ใบหม่อน โดยเฉพาะส่วนยอดจะเริ่มเหี่ยว
และบางส่วนของแต่ละใบจะไหม้คล้ายถูกน้ำร้อนลวก
ซึ่งมีลักษณะอาการตายเช่นนี้เรียกว่า "ตายนิ่ง"
อาการไหม้ค่อยลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนใบที่ไหมก็เพิ่มขึ้น
จนในที่สุดก็ลามลงไปสู่ใบส่วนล่างๆ ของกิ่ง แล้วก็ตายไปในที่สุด
ในระยะที่ใบเริ่มตายนิ่งเล็กน้อย ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ง่ายมากนั้น
เมื่อขุดต้นหม่อนขึ้นมาปรากฏว่า รากบางส่วนเน่าแล้ว
โดยเปลือกรากจะล่อนผุแต่ยังหุ้มเนื้อของรากไว้หลวมๆ
การป้องกันและกำจัด
๑.
ติดตามหม่อนน้อยซึ่งเป็นหม่อนที่ให้ผลผลิตใบสูงกับหม่อนไผ่
หม่อนส้มใหญ่ หรือหม่อนส้ม ซึ่งหม่อนพันธุ์ดังกล่าวมานี้ ให้ใบน้อย
คุณภาพเลวกว่าหม่อนน้อย
แต่ต้านทานโรคได้ดีกว่าแม้จะไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
๒. ขุดหม่อนที่เป็นโรครากเน่าออก ทิ้งที่ไว้ให้ว่าง
๓. พยายามหลีกเลี่ยงการที่จะต้องทำให้รากหม่อนถูกตัดขาดมาก
๒. โรครากาขาว [White
root rot: Resellinia necatrix (Harting) Berlese]
เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง ที่ทำลายรากหม่อน เมื่อโรคเข้าทำลายรากจนเน่าแล้ว
เชื้อจะยังเจริญบนรากที่เน่าได้ต่อไป และสร้างเส้นใยสีขาวขึ้นมากมาย
รวมกันเป็นกลุ่มคลุมอยู่บนราก ทำให้มองเห็นรากกลายเป็นสีขาว
ในต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น
โรคนี้เป็นโรคที่ทำความเสียหายอย่างรุนแรงแก่หม่อน
แต่เนื่องจากได้ศึกษาค้นคว้าจนพบเชื้อ ที่เป็นสาเหตุแล้ว
จึงจะสะดวกต่อการป้องกัน และกำจัด การใช้สารเคมี พีซีเอนบี (PCNB)
และคลอโรพิคริน (chloropicrin)
ใส่ลงในดินบริเวณที่ต้นหม่อนรากเน่าปรากฏว่า ได้ผลดี
แต่ก็ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆ
ไป ในเรื่องของการปราบโรคในดิน ในเมืองไทยพบโรคนี้อยู่เพียงแห่งเดียว
ที่สวนหม่อน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่หัวหิน
และสวนหม่อนของกสิกรบริเวณใกล้เคียง มีโรคระบาดอยู่เพียงเล็กน้อย ประมาณ ๓
เปอร์เซ็นต์ นอกจากโรคนี้จะเป็นกับต้นหม่อนแล้ว
ยังทำความเสียหายแก่ต้นทับทิมอีกด้วย
การป้องกันและกำจัด
ในปัจจุบันนี้
โรครากขาวยังไม่เป็นปัญหาสำคัญในเรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในประเทศเท่าไรนัก
หากพบ ก็ขุดต้นหม่อนเผาไฟทำลายเสีย
แต่ถ้าระบาดออกไปรุนแรง และลุกลามออกไปมากขึ้น ก็ต้องกำจัดโดยใช้สารเคมี
ดังเช่นในประเทศญี่ปุ่นเคยใช้ได้ผลมาแล้ว
การใช้สารเคมีจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงดังนั้นรัฐบาลอาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วย
แทนที่จะปล่อยให้กสิกรต่างคนต่างทำกันเอง
๓. โรคราแป้ง [Powdery
mildew : Phyllactinia moricola (P. Hennings) Homma]
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา
ทำความเสียหายแก่หม่อนมาก
เพราะทำลายใบหม่อนแต่ก็ไม่ทำให้หม่อนตายเหมือนอย่างโรค ๒
ชนิด ที่กล่าวมาแล้ว
เชื้อโรคจะเข้าทำลายที่ท้องใบ และส่วนใหญ่จะทำลายใบที่อยู่ประมาณกลางกิ่ง
ไม่อ่อนและแก่เกินไป ส่วนที่เกิดโรคสังเกตเห็นได้ง่าย
เชื้อจะเจริญอยู่ในผิวใบหม่อน และสร้างเส้นใยแทงทะลุออกมา
แล้วสร้างสปอร์ขึ้น เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป การสร้างสปอร์ใช้เวลาเพียง ๒๔
ชั่วโมง และจะสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้สปอร์ที่ได้เกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่
เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นคล้ายฝุ่นสีขาวเป็นวงๆ
ดูแล้วคล้ายกับขี้กลากวงเดือนเป็นดวงๆ อยู่ตามท้องใบ
ถ้าเป็นมาก อาจพบด้านหน้าใบได้ เนื้อใบส่วนที่ถูกราแป้งเกาะดูด
จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเมื่อเป็นมากใบก็จะร่วงหล่นไป |
ใบหม่อนที่เป็นโรคราแป้ง |
ใบที่มีฝุ่นราแป้งอยู่มากๆ ไหมไม่ค่อยชอบกิน
จึงทำให้เป็นผลเสียทางอ้อม ที่ทำให้ใช้ใบเลี้ยงไหมไม่ได้เต็มที่
โรคราแป้งพบอยู่ทั่วๆ ไปทุกแห่ง
และเป็นกับหม่อนแทบทุกพันธุ์
ฤดูที่มีโรคนี้ระบาดชุกชุมมักจะเป็นช่วงฤดูฝนต่อหน้าแล้ง
โดยปกติใบหม่อนเจริญงอกงามดีในฤดูฝน ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม
ซึ่งเป็นระยะปลายฤดูฝน และอากาศเริ่มเย็นลง ราแป้งจะเจริญได้รวดเร็วมาก
ทำให้หม่อนโทรมลงอย่างรวดเร็ว หากไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร
ใบหม่อนส่วนกลาง และส่วนล่างจะถูกราแป้งทำลายมากขึ้น
เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแข็งกระด้าง แตกเป็นริ้วได้เมื่อมีลมพัดจัด ในฤดูร้อน
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ราแป้งจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี
จึงไม่ค่อยพบในไร่ แต่จะพบในแปลงเพาะชำ
เพราะมีความชื้นสูง และอยู่ในร่ม
ราแป้งซึ่งอยู่ตามท้องใบในแปลงเพาะชำนี้จะเจริญได้ต่อไปจนถึงฤดูฝน
การป้องกันและกำจัด
๑. ควรเด็ดใบที่มีราแป้งมากองรวม ๆ กัน แล้วเผาทำลาย
๒. ทำลายเชื้อรา โดยเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ฆ่าเชื้อราได้ดี
และพิษยาสลายได้ในเวลาไม่เกิน ๑๐ วัน ตัวอย่างยาที่ใช้คือ เบนเลท
นอกจากโรคที่กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ อีก
แต่พบเพียงเล็กน้อยและไม่สำคัญเท่าไรนัก เช่น โรคใบไหม้ (bacterialbight)
โรคใบจุด (leaf blotch) โรคพุ่มไม้กวาด (witches broom) โรคใบหด (mosaic)
และใบสีส้ม (rust)
แมลงที่เป็นศัตรูหม่อนมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เรียงตามความสำคัญได้ดังนี้
๑.
เพลี้ยแป้ง (Mealy bug: Maconellicoccushirsutus Green)
เป็นแมลงประเภทปากดูด รูปร่างรี คล้ายรูปไข่
บนหลังมักจะขับถ่ายสารสีขาวที่มีลักษณะคล้ายแป้งปกคลุมไว้
ตัวเต็มวัยมีขนาดประมาณ ๓ x ๕ มิลลิเมตร
เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ เพลี้ยแป้งสามารถขยายพันธุ์ได้
โดยไข่ไม่ต้องมีการผสม
(Partenogenesis) แม่เพลี้ยแป้งจะวางไข่สีชมพู เป็นจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐ ฟอง
แล้วสร้างสารคล้ายแห้งหุ้มไข่ไว้ ระยะไข่ประมาณ ๔-๗ วัน
เมื่อไข่ฟักเป็นตัวเพลี้ยตัวเล็กๆ
สีชมพูอ่อนจะคลานออกมา
แล้วแยกย้ายกันออกไปดูดกินน้ำเลี้ยง ของส่วนที่ยังอ่อนอยู่ของตัวหม่อน
เช่น ยอดอ่อน ตาที่เพิ่งแตกใหม่ ส่วนมากมักเกาะดูดอยู่ด้านท้องใบ
หรือโคนใบอ่อน ทำให้รูปร่างของใบหม่อนผิดปกติ ใบหงิกงอ
การเจริญเติบโตของยอดหม่อนจะชะงักงัน ข้อระหว่างใบถี่เข้า และกิ่งบวมขึ้น
กิ่งส่วนที่บวมนั้น เรียกว่า
"หัวนกเค้า" หักง่ายมาก เมื่อยอดหัก
หม่อนก็จะแตกแขนงทำให้เป็นพุ่ม
ส่วนที่หงิกงอ จะมีเพลี้ยเข้าไปอาศัยอยู่ เพื่อหลบหนีภัย
และศัตรูตามธรรมชาติ
เช่น ฝน และเต่าลาย |
อาการของยอดหม่อนที่ถูกเพลี้ยแป้งทำลาย |
การระบาด
จากการสำรวจเพลี้ยแป้งที่ทำลายสวนหม่อนนั้นพบว่า
มีเพลี้ยแป้งอยู่เกือบตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูฝน
(ระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม)
และช่วงฤดูฝนต่อฤดูหนาว(ระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม)
ปรากฏว่า เพลี้ยแป้งขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
และเพิ่มปริมาตรตัวเพลี้ยขึ้นอย่างมากมาย
หม่อนระยะนี้จะได้รับความเสียหายมากกว่าระยะอื่น
เพลี้ยแป้งมีมดหลายชนิด เช่น มดคันไฟ มดดำ ฯลฯ
ช่วยป้องกันอันตรายและแพร่กระจายเพลี้ยแป้งไปตามที่ต่างๆ
เพราะมดเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากเพลี้ย คือ
ได้น้ำหวานที่เพลี้ยขับถ่ายออกมาเป็นอาหาร
การป้องกันและกำจัด
๑. พยายามตรวจสวนหม่อนในช่วงต้นและปลายฤดูฝน
เพื่อทำลายเพลี้ยโดยตัดยอดหมอนที่หงิกงอมาเผาทำลาย
๒. พยายามอย่าให้มดขึ้นต้นหม่อน ถ้าพบว่ายังมีมดทำรังอยู่ในสวนหม่อน
ต้องกำจัดโดยใช้ยาดิลดริน (dieldrin) ประมาณ ๐.๕-๑ เปอร์เซ็นต์
โรยหรือละลายน้ำราดตามโคนต้นหม่อน
๓. ใช้ยาฉีดโดยตรงกับต้นหม่อนที่มีเพลี้ยแป้งระบาดอย่างรุนแรง
โดยเลือกยาที่มีประสิทธิภาพในการฆ่า และมีพิษตกค้างไม่เกิน ๗ วัน เช่น
มาลาไธออน เป็นต้น |