สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 8
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๘ / เรื่องที่ ๖ เลือดและธนาคารเลือดในประเทศไทย / ประวัติการให้เลือด
ประวัติการให้เลือด
ประวัติการให้เลือด
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญๆ ซึ่งศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการให้เลือดมีหลายท่านที่ควรกล่าวถึง
ท่านแรก ได้แก่ วิลเลียม ฮาวีย์
ในปี พ.ศ. ๒๑๗๑
ฮาวีย์ได้รายงานครั้งแรกว่า
เลือดที่อยู่ภายในหลอดเลือดนั้นมีการไหลเวียนเป็นวงจร
เมื่อเป็นเช่นนี้การให้เลือดหรือสิ่งทดแทนอื่นเข้าไปในหลอด
เลือดหลอดใด ย่อมจะต้องไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
มีผลทำให้เพิ่มปริมาณของเลือดขึ้นได้
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่ง
ทำให้เกิดการให้เลือดทดแทนขึ้น
|

ริชาร์ด โลเวอร์ |
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๐๘
จอห์น วิลกิน (John Wilkin, ชาวอังกฤษ, ค.ศ.
๑๖๑๔-๑๖๗๒) ได้ทดลองถ่ายเลือดดำจากหลอดเลือดดำบริเวณคอ
(หลอดเลือดดำวีนาคาวา) ของสุนัข ตัวผู้ใส่ลงในภาชนะรองรับ
แล้วจึงนำไปฉีดเข้ายังหลอดเลือดดำที่ขา หรือหลอดเลือดดำเฟเมอร์ลาของสุนัขตัวเมียอีกตัวหนึ่ง โดยใช้หลอดทองเหลือง
ปรากฏว่าได้ผลที่เป็นที่น่าพอใจ ในช่วง
ระยะเวลานี้ยังคงทำการทดลองในสัตว์เท่านั้น จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๒๑๐ ยัง
แบปติสท์ เดนิส (Jean Baptist, Denis)
ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
ได้ทำการทดลองฉีดเลือด จากหลอดเลือดแดงของแกะ ให้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
และได้ถ่ายเลือดแกะ เข้าสู่หลอดเลือดดำของขายหนุ่มอีกคนหนึ่ง เป็นผลสำเร็จ
ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ ประมาณ ๕ เดือน
ภายหลังที่เดนิสทดลองให้เลือดแกะแก่คนในประเทศฝรั่งเศส ในประเทศอังกฤษ
ริชาร์ด โลเวอร์ (Richard Lower, ชาวอังกฤษ, ค.ศ. ๑๖๓๑ - ๑๗๐๑) และคณะ
ได้ทำการถ่ายเลือดโดยตรง จากแกะให้ชายหนุ่มผู้หนึ่ง โดยรายงานว่า
ไม่มีผลร้ายอะไรเกิดขึ้น แม้จะให้ซ้ำเป็นครั้งที่ ๒ อีก ๓ สัปดาห์ต่อมา
เดนิสได้ทดลอง ให้เลือดแกะแก่ผู้ป่วยอีก ๒ ราย บังเอิญผู้ป่วยรายที่ ๔ ถึง
แก่กรรม นับได้ว่า เป็นรายงานแรกที่แสดงว่า มีผลร้ายคือ
ผู้ป่วยมีปฏิกิริยาภายหลังจากการให้เลือด ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันดีว่า
เกิดเม็ดเลือดแดงแตกสลาย (Hemolytic transfusion reaction) อันเป็นปฏิกิริยาเนื่องจากให้เลือดเข้ากันไม่ได้
ภรรยาของผู้ป่วยรายนี้ ได้นำคดีขึ้นฟ้องศาล กล่าวหาว่า
เดนิสกระทำฆาตกรรมสามีของนาง คดีเรื้องรังอยู่เป็นเวลานาน แม้ท้ายที่สุด
ศาลตัดสินว่า เดนิสไม่มีความผิด ในฐานะเป็นฆาตกร
แต่ศาลก็ประกาศห้ามการให้เลือด จะมีการให้เลือดได้
เฉพาะเมื่อได้รับอนุมัติโดยคณะแพทยศาสตร์แห่งนครปารีสเท่านั้น
อีกหลายปีต่อมา รัฐสภาอังกฤษ ได้ออกกฎหมายห้ามการให้เลือดเช่นกัน
ทำให้การให้เลือดหยุดชะงักไป เป็นเวลาเกือบ ๑๕๐ ปี
|
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๖๑ เจมส์ บลันเดลล์ (James
Blundell,
ชาวอังกฤษ, ค.ศ. ๑๗๙๐-๑๘๗๗) ซึ่งเป็นทั้งอายุรแพทย์
และสูติแพทย์ประจำโรงพยาบาลกายส์ ประเทศอังกฤษ เป็นบุคคล
ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นบิดาของการให้เลือดของยุคปัจจุบัน
ได้ทำการศึกษาทบทวนถึงวิธีการให้เลือดอีกครั้งหนึ่ง โดยทำการทดลองในสัตว์
ได้รายงานข้อมูลที่ค้นพบว่า เลือดของสัตว์ สกุลหนึ่ง (Specie)
จะเข้าไม่ได้กับเลือดของสัตว์อีกสกุลหนึ่ง
ดังนั้นเลือดที่จะให้แก่คนต้องเป็นเลือดของคนเท่านั้น
ท่านผู้นี้ได้ทดลองนำเลือดของผู้ช่วยของท่านไปให้แก่ผู้ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย
โดยให้หลอดฉีดยา ถ่ายจากผู้บริจาค ให้แก่ผู้รับโดยตรง
การให้เลือดในช่วงระยะเวลานี้มีทั้งสัมฤทธิ์ผล คือ
ผู้ป่วยรอดชีวิตจากการเสียเลือด และที่โชคร้ายคือ
ผู้ป่วยถึงแก่กรรมจากการให้เลือด นอกจากนี้แล้วยังพบว่า
ผู้ป่วยที่รอดชีวิตบางราย มีอาการของหลอดเลือดถูกอุดตันในเวลาต่อมา
ทำให้การให้เลือดในระยะนี้ไม่เป็นที่นิยม แต่เนื่องจาก มีความจำเป็นบังคับ
คือ เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมันขึ้น ทำให้มีการให้เลือดโดยตรง
คือ ถ่ายเลือดจากคนหนึ่งให้แก่ อีกคนหนึ่งในสมรภูมิ
ซึ่งนับว่าได้ประโยชน์มาก จนเป็นที่ยอมรับว่า
การให้เลือดเพื่อทดแทนมีผลคุ้มค่า จึงทำให้มีการวิจัย
ค้นคว้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการให้เลือด
ระยะนี้มีปัญหาอยู่ ๒ ประการคือ ประการแรกเกี่ยวกับ
คุณสมบัติของเลือดที่มีการแข็งตัวเมื่อเจาะออกจากหลอดเลือด
ทำให้เลือดเกิดแข็งตัวก่อนที่จะนำไปให้แก่ผู้ป่วย ปัญหานี้แก้ไข
ได้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ - พ.ศ. ๒๔๕๘ เมื่อ ฮัสติน, อโกท,
เลวิโสห์น และไวล์ (Hustin , Agote, Lewisohn และ Weil) ได้รายงาน
ว่า การใช้เกลือซิเตรทเพียงจำนวนเล็กน้อย ก็จะสามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือดได้ โดยที่เกลือซิเตรทไม่ก่ออันตรายแก่ผู้ป่วย
ต่อมาในปีพ.ศ.
๒๔๕๙ เราส์ และ เทอร์เนอร์ (Rous & Turner) ค้นพบว่า
การเติมน้ำตาลเดกซ์โตรสลงไปด้วย จะช่วยให้สามารถเก็บเลือดได้นานขึ้น ในปี
พ.ศ. ๒๔๘๖ ลูติท และ มอลลิสัน (Loutit & Mollison)
จึงได้เสนอสูตรน้ำยากันเลือดแข็ง
ซึ่งนำมาใช้เป็นน้ำยากันเลือดแข็งสำหรับเจาะเก็บเลือดกันแพร่หลายอยู่กว่า
๒๐ ปี นั่นคือน้ำยา เอซีดี (Acid - Citrate - Dextrose) ทำ
ให้สามารถเก็บเลือดที่ ๔ องศาเซลเซียส ไว้ใช้ได้นานถึง ๒๑ วัน
ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้น้ำยาซีพีดี (Citrate Phosphate - Dextrose)
ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้สามารถเก็บเลือดได้นานขึ้นไปอีก คือ
นานถึง ๓๐ วัน |
การค้นพบน้ำยากันเลือดแข็ง
เป็นเพียงการแก้ปัญหาประการแรกเท่านั้น
ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับเลือด
ซึ่งบางครั้งถึงกับทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดเสียชีวิตจากการให้เลือด
ซึ่งในสมัยต้น ของการให้เลือดนั้น พบแต่เพียงว่า
การนำเลือดสัตว์มาให้คนทำให้คนเสียชีวิตได้
จะต้องให้เลือดของคนแก่คนเท่านั้น แต่ต่อมาการณ์กลับปรากฏว่า
แม้จะนำเลือดของคนมาให้ผู้ป่วยก็ตาม ผู้ป่วยบางคนก็ยังเสียชีวิตได้
ปัญหานี้พึ่งจะคลี่คลาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ คือ เมื่อ คาร์ล แลนด์สไตเนอร์
(Karl Landsteiner, ชาวอเมริกัน, ค.ศ. ๑๘๖๘-๑๙๔๓) ค้นพบหมู่เลือด เอ บี
และโอ ของหมู่เลือดระบบเอบีโอ โดยการศึกษาจากเลือดของผู้ร่วมงาน
เมื่อนำเซรุ่มจากคนหนึ่ง มาผสมกับเม็ดเลือดแดงของอีกคนหนึ่ง
จะเกิดปฏิกิริยาจับกลุ่ม ทำให้เม็ดเลือดตกตะกอนเป็นสองชนิด
และมีอีกชนิดหนึ่งไม่มีปฏิกิริยาตกตะกอนเกิดขึ้น
แลนด์สไตเนอร์จึงเรียกพวกที่เกิดปฏิกิริยาจับกลุ่มตกตะกอนพวกที่หนึ่งว่า
พวกมีแอนติเจนเอ เรียกอีกพวกหนึ่งว่า พวกมีแอนติเจนบี
และเรียกพวกที่ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นว่า พวกศูนย์หรือโอ
ถ้าเม็ดเลือดแดงของผู้ใดมีแอนติเจนเอ
ในเซรุ่มของคนผู้นั้น จะไม่มีแอนติบอดีเอ แต่จะมีแอนติบอดีบีแทน
ส่วนคนหมู่โอนั้น มีได้ทั้งแอนติบอดีเอ และแอนติบอดีบี ต่อมาอีก ๒ ปี
เดอคาสเตลโล และสเตอร์ลี (De Castello & sturli)
จึงรายงานหมู่เลือดชนิดที่ ๔ ซึ่งมีทั้งแอนติเจนเอ
และแอนติเจนบีบนเม็ดเลือดแดง แต่ไม่พบแอนติบอดีเอ
และแอนติบอดีบีในเซรุ่มเลย เรียกว่า หมู่เอบี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓
ในการแสดงปาฐกถาเพื่อรับรางวัลโนเบล เนื่องจากการค้นพบหมู่เลือดระบบเอบีโอ
แลนด์สไตเนอร์ ได้กล่าวถึงสมมุติฐานว่า
มนุษย์เราควรมีหมู่เลือดได้หลายชนิด ซึ่งอาจตรวจพบได้
ถ้าใช้วิธีสร้างให้เกิดแอนติบอดีขึ้น
โดยการฉีดเม็ดเลือดแดงของคนเข้าไปในสัตว์
หรือจากการตรวจพบแอนติบอดีในสัตว์สกุลเดียวกันเอง และจากสมมุติฐานนี้เอง
แลนด์สไตเนอร์ และเลวีน (Philip Levine)
ได้รายงานการค้นพบหมู่เลือดระบบเอ็มเอ็นและพีเพิ่มขึ้นอีก
การศึกษาในทำนองเดียวกันนี้คือ ฉีดเลือดลิงวอก (Rhesus) เข้าในกระต่าย
ทำให้แลนด์สไตเนอร์ และเลวีนรู้จักหมู่เลือดระบบใหม่ เรียกว่า ระบบ
อาร์เอ็ช (Rh) |

คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ |
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เลวีนและสเตตสัน
(Stetson) ได้รายงานถึงปฏิกิริยาที่ตรวจพบในหญิงซึ่งได้รับเลือด
ของสามีหมู่เดียวกัน ภายหลังการคลอดบุตรที่ตายก่อนคลอด
ตรวจพบว่า ในเซรุ่มของผู้ป่วยมีแอนติบอดีที่ทำให้เม็ดเลือดแดง
ของสามีจับกลุ่มตกตะกอน เมื่อทำปฏิกิริยาที่ ๓๗ องศาเซลเซียส
ปรากฏการณ์นี้เชื่อว่า แอนติบอดีที่ตรวจพบในเซรุ่มของแม่นั่นเอง
ที่ทำให้ลูกในครรภ์ตาย โดยอธิบายว่า แม่อาจจะถูกกระตุ้น
ให้สร้างแอนติบอดีขึ้น โดยแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของลูก
ที่ได้รับถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อและเป็นชนิดแปลกปลอม
ต่อแม่
ในเวลาใกล้เคียงกันนี้เอง วีเนอร์และปีเตอร์ (Wiener และ
Peters) ได้รายงานปฏิกิริยาทำลายเม็ดเลือดแดงชนิดเดียวกัน แต่พบว่าเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยรายนี้ให้ผลลบเมื่อตรวจกับ
แอนติอาร์เอ็ซของกระต่าย ส่วนแอนติบอดีที่ตรวจพบในเซรุ่ม
ของผู้ป่วยรายนี้เกิดปฏิกิริยาที่ ๓๗ องศาเซลเซียส กับคนอื่นที่มี
เลือดเอบีโอหมู่เดียวกัน ให้ปฏิกิริยาแบบเดียวกับแอนติอาร์เอ็ช
ของกระต่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ความสำคัญ
ทางคลินิกของหมู่เลือดระบบอาร์เอ็ชในการให้เลือด เพื่อการรักษา
และการตั้งครรภ์เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแน่นอน พอดีประจวบ
กับเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นทำให้มีความต้องการให้เลือด
ทดแทนแก่ผู้บาดเจ็บในสงครามมาก จึงกระตุ้นให้มีการวิจัย
ค้นคว้าถึงประโยชน์ของเลือดและส่วนประกอบต่างๆ ของเลือด
ผลที่เกิดขึ้นตามหลังการให้เลือดนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของศาสตร์
แขนงใหม่ คือ อิมมูโนวิทยาทางโลหิต (Immunohematology)
ในปัจจุบัน
|
|