สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 9
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๙ / เรื่องที่ ๑๒ โภชนาการ / ไขมัน
ไขมัน
ไขมัน
ไขมัน หมายถึง สารอินทรีย์กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถละลายได้ในน้ำ
แต่ละลายได้ดีในน้ำมัน และไขมันด้วยกัน
ตัวอย่างของไขมัน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคน คือ ไตรกลีเซอไรด์
(triglyceride) และคอเลสเทอรอล ส่วนใหญ่ของไขมันที่อยู่ในอาหารคือ
ไตรกลีเซอไรด์ ดังนั้นเมื่อพูดถึงไขมันเฉยๆ จึงหมายถึง ไตรกลีเซอไรด์
แต่ละโมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ ประกอบด้วยกลีเซอรอล (glycerol) และกรดไขมัน
(fatty acid) โดยกลีเซอรอลทำหน้าที่เป็นแกนให้กรดไขมัน ๓ ตัวมาเกาะอยู่
กรดไขมันทั้ง ๓ ชนิด อาจเป็นชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดก็ได้
ไตรกลีเซอไรด์ที่สกัดจากสัตว์มีลักษณะแข็ง เมื่อทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
ส่วนไตรกลีเซอไรด์ ที่สกัดจากเมล็ดพืชผลไม้เปลือกแข็ง และปลา
มีลักษณะเป็นน้ำมัน
กรดไขมัน
เป็นสารที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน
กรดไขมันแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. กรดไขมันไม่จำเป็น
เป็นกรดไขมันที่นอกจากได้จากอาหารแล้วร่างกายยังสามารถสังเคราะห์ได้ด้วย
เช่น กรดสเตียริก (stearic acid) กรดโอเลลิก (oleic acid)
|
ผิวหนังอักเสบ จากการขาดกรดไลโนเลอิก |
๒. กรดไขมันจำเป็น
เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไป
มีอยู่ ๓ ตัว คือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) กรดไลโนเลนิก (linolenic
acid) และกรดอะแรคิโดนิก (arachidonic acid)
กรดไลโนเลอิกเป็นกรดไขมันจำเป็น ที่พบมากที่สุดในอาหาร
ส่วนกรดอะแรคิโคนิกนอกจากได้จากอาหารแล้ว
ร่างกายยังสร้างได้จากกรดไลโนเลอิก
|
หน้าที่ของไขมัน
ไขมันมีความสำคัญในด้านโภชนาการหลายประการ
นับตั้งแต่เป็นตัวให้กำลังงาน ไขมัน ๑ กรัม ให้กำลังงาน ๙ กิโลแคลอรี่
ให้กรดไขมันจำเป็นช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ ดี อี และเค
รสชาติของอาหารจะถูกปากต้องมีไขมันในขนาดพอเหมาะ
และช่วยทำให้อิ่มท้องอยู่นาน
นอกจากนี้ร่างกายยังเก็บสะสมไขมันไว้สำหรับให้กำลังงาน เมื่อมีความต้องการ
อาหารที่ให้ไขมัน
ไขมัน นอกจากได้จากน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น มันหมู มันวัว
น้ำมันพืชชนิดต่างๆ อาหารอีกหลายชนิดก็มีไขมันอยู่ด้วย เนื้อสัตว์ต่างๆ
แม้มองไม่เห็นไขมันด้วยตาเปล่าก็มีไขมันแทรกอยู่ เช่น เนื้อหมูเนื้อวัว
และเนื้อแกะ มีไขมันประมาณร้อยละ ๑๕ ถึง ๓๐ เนื้อไก่มีประมาณร้อยละ ๖ ถึง
๑๕ สำหรับเนื้อปลาบางชนิดมีน้อยกว่าร้อยละ ๑ บางชนิดมีมากกว่าร้อยละ ๑๒
ปลาบางชนิดมีไขมันน้อยในส่วนของเนื้อ แต่ไปมีมากที่ตับ
สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันตับปลาได้ ในผักและผลไม้ มีไขมันน้อยกว่าร้อยละ ๑
ยกเว้นผลอะโวกาโด และโอลีฟ ซึ่งมีไขมันอยู่ถึงร้อยละ ๑๖ และ ๓๐ ตามลำดับ
ในเมล็ดพืช และผลไม้เปลือกแข็งบางชนิดมีน้ำมันมาก
สามารถใช้ความดันสูงบีบเอามาใช้ปรุงอาหารได้
|
บทบาทของกรดไลโนเลอิกต่อสุขภาพ
ถ้าได้กรดไลโนเลอิกไม่เพียงพอเป็นระยะเวลา
นาน จะปรากฏอาการแสดงต่อไปนี้ คือ การอักเสบของ
ผิวหนัง เกล็ดเลือดลดต่ำลง ไขมันคั่งในตับ การเจริญ
เติบโตชะงักงัน เส้นผมหยาบ ติดเชื้อได้ง่าย และถ้ามี
บาดแผลอยู่จะหายช้า การขาดกรดไลโนเลอิกนี้ มักพบในผู้ป่วยที่กินอาหารทางปากไม่ได้ และได้สารอาหาร
ต่างๆ ยกเว้นไขมัน ผ่านทางหลอดเลือดดำ ร่างกาย
ต้องการกรดไลโนเลอิกในขนาดร้อยละ ๒ ของแคลอรีที่
ควรได้รับ เพื่อป้องกันการขาดกรดไลโนเลอิก
|
น้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ |
การศึกษาในระยะหลังได้พบว่า
ถ้ากินกรดไลโนเลอิกในขนาดร้อยละ ๑๒ ของแคลอรีที่ควรได้รับ
จะทำให้ระดับคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในลือดลด ลง
การจับตัวของเกล็ดเลือดที่จะเกิดเป็นก้อนเลือดอุดตันตามหลอดเลือดต่างๆ
เป็นไปได้น้อยลง และช่วยลดความดันโลหิต
ปริมาณของกรดไลโนเลอิกในน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ถ้ามาจากสัตว์มีกรด
ไลโนเลอิกน้อย น้ำมันพืชบางชนิดเท่านั้นมีกรดไลโนเลอิกมาก ในทางปฏิบัติ ควรเลือกกินน้ำมันพืชที่มีกรด
ไลโนเลอิกในเกณฑ์ร้อยละ ๔๖ ขึ้นไป เพราะในผู้ป่วย
ที่ได้รับกำลังงานวันละ ๒,๐๐๐ กิโลแคลอรี จะต้องกิน
น้ำมันพืชประเภทที่มีไลโนเลอิกร้อยละ ๔๖ ถึงวันละ
๑๕ ช้อนชา จึงได้กำลังงานร้อยละ ๑๒ ที่มาจากกรด
ไลโนเลอิก ถ้าใช้น้ำมันพืชที่มีปริมาณกรดไลโนเลอิก
ต่ำกว่านี้จะต้องใช้ปริมาณน้ำมันมากขึ้นในการปรุงอาหาร
ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก
ความต้องการไขมัน
ปริมาณไขมันที่กินแต่ละวันควรอยู่ในเกณฑ์
ร้อยละ ๒๕-๓๕ ของแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับ และร้อยละ
๑๒ ของแคลอรีทั้งหมด ควรมาจากกรดไลโนเลอิก
|
|