ไตรกลีเซอไรด์ เป็นสารพวกไลปิดอีกชนิดหนึ่ง ที่ใช้เป็นดัชนีในการวินิจฉัยโรคได้ดี เช่นเดียวกับคอเลสเทอรอล
อย่างไรก็ตาม
การวิเคราะห์หาปริมาตรทั้งคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์ด้วยกัน
จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าการใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
๔. การทดสอบสมรถภาพของไต
การทดสอบสมรรถภาพการทำงานของไตนั้น ทำได้โดยการวัดอัตรา
การกรองผ่านโกลเมอรูลัส
ซึ่งวัดได้โดยการตรวจวิเคราะห์สารเคมีบางชนิดในพลาสมา และในปัสสาวะ สารที่จะทำการวิเคราะห์จึงต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๑. ถูกกรองจากพลาสมาผ่านโกลเมอรูลัสได้ง่าย
๒. ต้องไม่ถูกดูดกลับหรือไม่ถูกขับออกมาในปัสสาวะโดยหลอดไตฝอย
๓. ความเข้มข้นของสารนั้นในพลาสมาจะคงที่ในขณะเก็บปัสสาวะ
๔. การวัดหาปริมาณสารนั้น ทั้งในพลาสมาและในปัสสาวะทำไม่ยากนัก
สารเคมีที่ใช้ในการทดสอบสมรรถภาพของไตที่นิยมวิเคราะห์ คือ
การกำจัดสารครีอะตินีน (creatinine) การหาปริมาณไนโตรเจนของยูเรียในเลือด
(blood ureanitrogen) และการหาปริมาณกรดยูริกในพลาสมา
๕. การทดสอบสมรรถภาพของตับ
การทดสอบสมรรถภาพของตับนั้น มีประโยชน์ในการวินิจฉัยภาวะต่อไปนี้ คือ
๑. เพื่อพิสูจน์ว่ามีโรคของตับหรือไม่
๒. แยกชนิดของอาการตัวเหลือง (ไข้ดีซ่าน)
๓. ใช้ติดตามอาการของโรคว่าดีขึ้นหรือไม่
ในปัจจุบัน วิธีการทดสอบสมรรถภาพของตับมีอยู่มากมายหลายวิธี
ตั้งแต่วิธีง่ายๆ จนถึงวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน การทดสอบวิธีเหล่านี้
เราอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้ คือ
๑. การทดสอบสารบิลิรูบิน (bilirubin)
๒. การทดสอบเกี่ยวกับการขับถ่ายของตับ ได้แก่ บรอมซัลฟารีน (bromsulphalene; BSP)
๓. การทดสอบหน้าที่ของเซลล์ตับ มี
ก) อัตราส่วนของปริมาณอัลบูมิน (albumin) และโกลบูลิน (globuin) ในพลาสมา
ข) อิเลิกโทรโฟรีซีสของเซรุ่ม
๔. การทดสอบที่แสดงความเสียหายของเซลล์ตับ มี
ก) อะมิโนทรานส์เฟอเรส (aminotransferase คือ serum glutamate
oxaloacetate transminase, SGOT และ serum glutamate pyruvate
transaminase, SGPT) ข) ไอโซซิเตรตดีไฮโดรจีเนส (lactate dehydrogenase)
ค) แล็กเตตดีไฮโดตจีเนส (lactate dehydrogenase)
๕. การทดสอบที่แสดงถึงระบบน้ำดี
ก) อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส (alkaline phosphatase)
ข) ๕-นิวคลีโอทิเดส (5-nucleotidase)
๖. การทดสอบทางเอนไซม์
เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นอินทรียสาร มีความจำเป็นต่อการดำเนินปฏิกิริยาทางเคมีภายในร่างกาย
เราจะพบเอนไซม์อยู่ในเนื้อเยื่อทั่วไป
แต่ในเนื้อเยื่อบางชนิดอาจมีเอนไซม์บางชนิดมากเป็นพิเศษ เช่น อะไมเลส
(amylase)
พบในตับอ่อน และต่อมน้ำลายเท่านั้น
เอนไซม์กลูตาเมตออกซาโลอะซีเตตทรานส์อะมิเนส
(glutamate oxaloacetate transaminase) และแล็กเตตดีไฮโดรจีเนส
พบในตับและกล้ามเนื้อหัวใจมาก เป็นต้น ดังนั้น เอนไซม์ชนิดต่าง ๆ
จึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคในอวัยวะบางส่วนของร่างกายได้
เอนไซม์ที่ทำการวิเคราะห์กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้มี
๑. อัลฟาอะไมเลส (alpha-amylase)
๒. ไลเปส (lipase)
๓. กลูตาเมตออกซาโลอะซีเตตทรานส์อะมิเนส
๔. กลูตาเมตไพรูเวตทรานส์อะมิเนส (glutamate pyruvate transaminase)
๕. อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส
๖. แอซิดฟอสฟาเตส (acid phosphatase)
๗. แล็กเตตดีไฮโดรจีเนส
๘. ครีอะตีนไคเนส (creatine kinase)
๙. แกมมากลูตามีลทรานส์เฟอเรส (gammaglutamyl transferase)
๑๐. เซรูโลพลาสมิน (ceruloplasmin)
๗. การทดสอบสมดุลของน้ำ โซเดียมโพแทสเซียม และคลอไรด์
๘. การทดสอบดุลกรด-ด่าง และก๊าซในเลือด
การทดสอบใน ๒ ข้อนี้จะไม่กล่าวถึงเนื่องจาก
มีหัวข้อนี้โดยเฉพาะแล้วในสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม ๔
๙. การทดสอบสารอนินทรีย์ในร่างกาย
สารอนินทรีย์ในร่างกาย ที่ทำการวิเคราะห์ เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของร่างกายที่ใช้กันมาก คือ
๑. แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีมากชนิดหนึ่งในร่างกายของคนเรา
โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระดูกมากที่สุด คือ แคลเซียมร้อยละ ๙๙
ของร่างกายเราอยู่ในสภาพของกระดูก
นอกจากนี้แคลเซียมส่วนที่เหลือ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท
ระบบกล้ามเนื้อ การซึมผ่านของเยื่อบุเซลล์ และการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด
๒. ฟอสเฟตอนินทรีย์ (inorganic phosphate)
๓. แมกนีเซียม (magnesium)
๑๐. การทดสอบปริมาณฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่ทำการทดสอบบ่อยครั้ง เพื่อการวินิจฉัยโรคบางชนิด มี
๑. ไธรอกซินแสดงถึงการทำงานของต่อมไธรอยด์
๒. ๑๗-ไฮดรอกซีคอร์ติโคสเตอรอยด์ (17-hydroxycorticoster oids) ในปัสสาวะ
๓. ๑๗-ออกโซสเตอรอยด์ (17-oxosteroids) ในปัสสาวะ
๑๑. การทดสอบอื่นๆ
ที่ทำการทดสอบกันบ้างมี
๑. วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก
๒. การวิเคราะห์น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
๓. การวิเคราะห์ระดับยา พาราเซตามอล (paracetamol) ในเซรุ่ม |