ความเป็นมาของละครชาตรี
ละครชาตรีเป็นละครรำของไทยประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างโนราของภาคใต้และละครนอกของภาคกลาง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ยกทัพลงไประงับเหตุการณ์ร้ายทางหัวเมืองภาคใต้ ซึ่งเวลานั้นเกิดฝนแล้ง ราษฎรอดอยาก ชาวเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา จึงพากันอพยพติดตามกองทัพ เข้ามายังกรุงเทพฯ และตั้งบ้านเรือนซึ่งในปัจจุบันคือบริเวณถนนหลานหลวง นักแสดงโนราที่ติดตามมาด้วยก็ตั้งเป็นคณะขึ้น รับจ้างแสดงในที่ต่างๆ จนเป็นที่นิยม โดยเฉพาะใช้แสดงแก้บน เนื่องจาก เป็นสิ่งแปลกใหม่ และยังมีการใช้คาถาอาคม ทำให้ดูขลังยิ่งขึ้น ต่อมา คณะโนราได้ปรับการแสดงให้เข้ากับรสนิยมของผู้ชมในกรุงเทพฯ โดยนำศิลปะของละครนอกมาผสมผสาน เช่น บทละคร ดนตรี การรำ การแต่งกาย และพัฒนารูปแบบมาเป็นละครสำหรับใช้แสดงแก้บนที่บ้าน วัด หรือเทวสถาน ดังที่เห็นในปัจจุบัน

การแสดงละครชาตรีของเยาวชนที่สนใจและฝึกฝนศิลปะการแสดงแขนงนี้
ตัวละครชาตรีมี ๔ กลุ่ม คือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวอิจฉา และตัวตลก สำหรับตัวพระ ตัวนาง และตัวอิจฉาใช้ผู้หญิงแสดง โดยแต่งกายเหมือนแบบละครนอก ส่วนตัวตลกใช้ผู้ชายแสดง และแต่งกายแบบชาวบ้าน วิธีแสดงละครชาตรีคือ ต้นบทตะโกนบอกบทเป็นท่อนๆ ให้ผู้แสดงร้องรำไปตามบท สำหรับโรงละครชาตรีมีเสื่อปูบนพื้นดินขนาดประมาณ ๔x๔ เมตร ด้านหนึ่งวางตั่งที่นั่งแสดงได้ ๓-๔ คน โดยหันหน้าไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะแสดงแก้บนถวาย ด้านข้างของโรงทั้ง ๒ ด้าน เป็นที่นั่งพักของผู้แสดง ซึ่งทำหน้าที่เป็นลูกคู่ช่วยร้องรับและตีกรับ ส่วนวงปี่พาทย์ตั้งอยู่ด้านขวาของผู้แสดง

การแสดงละครชาตรี
การแสดงละครชาตรีแก้บนเต็มรูปแบบแบ่งเป็น ๓ ส่วน
ส่วนที่ ๑ พิธีกรรม เริ่มเวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. เป็นพิธีกรรมต่างๆ ก่อนเริ่มการแสดง คือ พิธีทำโรง บูชาครู โหมโรง ร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รำถวายมือ ประกาศโรง และรำซัดชาตรี ส่วนที่ ๒ การแสดงละคร ต่อจากพิธีกรรมในภาคเช้า จบด้วยพิธีลาเครื่องสังเวย แล้วพักเที่ยง จากนั้นในเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. ก็โหมโรงดนตรี แล้วแสดงละครต่อ จนถึงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. จึงปิดการแสดง และจบลงด้วย ส่วนที่ ๓ พิธีลาโรง

ละครชาตรีนำเค้าโครงบทละครนอกมาแต่งเป็นสำนวนพื้นบ้าน เมื่อผู้แสดงร้องกลอนไปตามบทแล้ว ปี่พาทย์ก็บรรเลงรับ พร้อมกับผู้แสดงเจรจาร้อยแก้วทวนบทเป็นสำนวนภาษาท้องถิ่นให้เข้าใจยิ่งขึ้น เนื่องจากละครชาตรีเป็นการแสดงถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้จัดแสดงจึงไม่ค่อยคำนึงว่า จะมีคนดูมากหรือน้อย คนดูที่นั่งดูอยู่เป็นเวลานานมักเป็นสตรีสูงวัย และเด็กๆ ที่สนุกสนานไปกับมุขตลก
ปัจจุบันมีละครชาตรีแก้บนแสดงประจำอยู่ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ศาลหลักเมือง และศาลพระพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี และตามวัดสำคัญในจังหวัดทางภาคกลาง การแสดงแบ่งเป็น ๒ แบบ คือ การรำเป็นชุด เช่น ระบำเทพบันเทิง และการแสดงละคร การแสดงละครชาตรีแบบดั้งเดิมยังมีอยู่บ้าง เช่น คณะนายพูน เรืองนนท์ ที่ถนนหลานหลวง กรุงเทพฯ และคณะละครชาตรีที่จังหวัดเพชรบุรีหลายคณะ

โรงละครชาตรีแบบถาวร ที่วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ด้านหลังวางตั่งประชิดฉากเขียน ด้านขวาของผู้แสดงตั้งวงปี่พาทย์ ส่วนด้านซ้ายเป็นที่นั่งของต้นบท ด้านข้างของโรง ๒ ด้าน เป็นที่นั่งพักของผู้แสดงที่นั่งตีกรับและร้องรับเป็นลูกคู่
กรมศิลปากรได้จัดการแสดงละครชาตรีจากนิทานชาดก ๒ เรื่อง แต่ปรับปรุงบทใหม่คือ เรื่อง “มโนราห์” ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ และเรื่อง “รถเสน” ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๓ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดแสดงละครชาตรีอิงพงศาวดาร เรื่อง “ศรีธรรมาโศกราช” และ พ.ศ. ๒๕๒๔ คณะละครอาสาสมัครในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดแสดงละครชาตรีอิงพงศาวดารเรื่อง “ตามพรลิงค์” บทประพันธ์ของสมภพ จันทรประภา ณ โรงละครแห่งชาติ
วงปี่พาทย์บรรเลงในการแสดงละครชาตรี
ปัจจุบันคณะละครชาตรีมีจำนวนลดน้อยลง อาจเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ทำให้ไม่ค่อยมีเจ้าภาพจ้างไปแสดง ลูกหลานของคณะละครชาตรีเองก็ไม่ต้องการสืบทอด เพราะฝึกหัดยาก มีรายได้น้อย และรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย จึงทำให้ละครชาตรีค่อยๆ เสื่อมถอยลง ผู้ที่เห็นคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมจึงควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้ให้เป็นศิลปะการแสดง อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติไทยสืบไป