ข้อควรระวังในการใช้ยาสมุนไพร
๑. ไม่ควรใช้ยาสมุนไพรนานเกินความจำเป็น ถ้าใช้ยาสมุนไพรแล้ว ๓-๕ วันอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ ทั้งนี้อาจเนื่องจากใช้ยาไม่ถูกกับโรค
แพงพวยฝรั่ง
๒. เมื่อใช้ยาสมุนไพรควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีอาการผิดปรกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน
๓. ควรใช้ยาตามหลักการรักษาของแพทย์แผนโบราณอย่างเคร่งครัด เพราะการดัดแปลง เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ อาจทำให้เกิดอันตรายได้
มะขามแขก
๔. อย่าใช้ยาเข้มข้นเกินไป เช่น ยาที่บอกว่า ให้ต้มกิน อย่านำไปเคี่ยวจนแห้ง เพราะจะทำให้ยาเข้มข้นเกินไป จนทำให้เกิดพิษได้
๕. ขนาดที่ระบุไว้ในตำรับยามักเป็นขนาดของผู้ใหญ่ ในเด็กจะต้องลดขนาดลง
๖. ควรระวังความสะอาดของสมุนไพร สมุนไพรที่ซื้อมาจากร้าน บางครั้งอาจเก่ามาก ถ้าสังเกตเห็นราหรือแมลงชอนไช ไม่ควรใช้ ทั้งนี้เนื่องจากสารสำคัญอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทำให้ใช้ไม่ได้ผล และยังอาจได้รับพิษจากแมลงหรือเชื้อรานั้นอีกด้วย
ดีปลี
การนำสมุนไพรมาผลิตเป็นยา มีวิวัฒนาการจากการใช้ในครัวเรือน มาเป็นการผลิตขั้นอุตสาหกรรม เพื่อสนองความต้องการของตลาด ในช่วงแรกของวิวัฒนาการ เป็นการนำสมุนไพรมาทำเป็นยาสำเร็จรูป โดยไม่ได้มีการแปรรูป หรือมีการแปรรูปแต่เพียงเล็กน้อย ได้แก่ การผลิตยาแผนโบราณต่างๆ เช่น ยาหอม ยาดองเหล้า ยาขม เป็นต้น ซึ่งผู้ผลิตได้ผลิตขึ้น โดยอาศัยตำรายาของครอบครัว บางรายผลิตเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน บางรายก็ผลิตเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ กฎหมายยาแผนโบราณ มีการควบคุมรูปแบบวิธีการผลิต และการใช้สารกันบูด ทำให้ยาแผนโบราณบรรจุเสร็จ ไม่สามารถพัฒนารูปแบบให้น่าใช้ เหมือนยาแผนปัจจุบัน ความนิยมจึงลดลง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้แล้ว วัตถุดิบบางชนิดก็หาได้ยากขึ้น เนื่องจากป่าถูกทำลาย และขาดการเพาะปลูกเพิ่มเติม วัตถุดิบบางอย่างก็มีราคาแพงขึ้นมาก ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิต โดยใส่ตัวยาให้ครบตามตำรับเดิมได้ คุณภาพของยาจึงลดลง เป็นผลให้ความนิยมลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยาแผนโบราณบางตำรับ ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน เช่น ยาหอม ยาขม ยาเหล่านี้ได้มีการพัฒนารูปแบบ โดยทำเป็นยาเม็ดบ้าง เป็นสารสกัดบ้าง จึงยังคงรักษาความนิยมอยู่ได้ ขณะนี้ รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญ และได้เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อยกมาตรฐานการผลิต ตลอดจน แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค
ยาแผนโบราณบางขนานที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยามหานิลแท่งทอง ยาเทพมงคล ยาเขียวหอม ยาประสะกะเพรา ยาเหลืองปิดสมุทร ยาอัมฤควาที ยาประสะมะแว้ง ยาตรีหอม ยาจันทลีลา ยาประสะจันทน์แดง ยาหอมอินทจักร์ ยาหอมนวโกฐ ยาวิสัมพญาใหญ่ ยาประสะไพล ยาธาตุบรรจบ และยาประสะกานพลู
เทียนเกล็ดหอย
สมุนไพรนอกจากจะมีบทบาทในอุตสาหกรรมยาแผนโบราณแล้ว ยังมีบทบาทในอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันอีกด้วย เดิมทียาต่างๆ ล้วนได้มาจากธรรมชาติทั้งสิ้น โดยอาจได้มาจาก พืช สัตว์ หรือแร่ธาตุก็ได้ ในเวลาต่อมา ยาเหล่านี้จึงถูกแทนที่ด้วยยาสังเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ยังมีสมุนไพรบางชนิด ที่ยังคงใช้เป็นวัตถุดิบ สำหรับการผลิตยาแผนปัจจุบันอยู่ เช่น ซิงโคนาใช้ผลิตควินิน ซึ่งใช้เป็นยารักษามาลาเรีย แพงพวยฝรั่ง ใช้ผลิตวิงคริสทีน (vincristine) และวินบลาสทีน (vinblastine) ซึ่งใช้รักษามะเร็งของเม็ดโลหิต เป็นต้น สมุนไพรบางชนิด แม้จะไม่ใช้ผลิตยาโดยตรง แต่ก็เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ยา เช่น น้ำมันพืช เป็นวัตถุดิบในการผลิตบีตาซิโตสเตียรอล ซึ่งใช้สังเคราะห์ฮอร์โมน และยาต้านการอักเสบ เป็นต้น สารจากสมุนไพรบางชนิดก็เป็นต้นแบบ ในการสังเคราะห์ยาใหม่ๆ เช่น โคเคนจากใบโคคา เป็นต้นแบบในการสังเคราะห์ยาชาเฉพาะที่ต่างๆ เป็นต้น ความสำคัญของสมุนไพรตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มักจะถูกคนทั่วไปลืม เนื่องจาก สารที่สกัดได้ มีรูปแบบเช่นเดียวกับยาสังเคราะห์ จึงมักทำให้เข้าใจกันว่า เป็นยาสังเคราะห์ทั้งสิ้น
เนื่องจากสมุนไพรยังมีบทบาทในอตุสาหกรรมยาดังกล่าว จึงยังมีการซื้อขายสมุนไพรกันในตลาดโลก ประเทศไทยมีการส่งออกสมุนไพรหลายชนิด แต่เป็นการส่งออกสมุนไพรที่เก็บจากธรรมชาติ ซึ่งมีจำนวนจำกัด จึงทำให้ไม่สามารถขยายตลาดได้ รัฐบาลจึงได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกพืชสมุนไพรขึ้น แต่การจะเพาะปลูกพืชสมุนไพรให้มีคุณภาพนั้น จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังนั้นในช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๖ จึงได้กำหนดให้มีการศึกษาวิจัย เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในการเพาะปลูก พืชสมุนไพร ๑๒ ชนิด คือ เร่ว กระวาน กานพลู ดีปลี พริกไทย พลู มะขามแขก จันทน์เทศ ชะเอมเทศ เทียนเกล็ดหอย ดองดึง และขมิ้น รวมทั้ง มีการศึกษาหาลู่ทางในการขยายตลาดของพืชสมุนไพรเหล่านี้ออกไป โดยคาดหวังว่า จะสามารถส่งพืชสมุนไพรออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น
ดอกเทียนเกล็ดหอย
จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า สมุนไพรเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่งของชาติ ที่ปู่ย่าตายายของเรา ได้ใช้รักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย มานานหลายชั่วคน จนนับได้ว่า สมุนไพร และการรักษาโรคแบบพื้นบ้านของเรานั้น เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไทย ซึ่งสมควรที่จะอนุรักษ์ไว้ และสร้างค่านิยมให้เกิดขึ้นกับอนุชนรุ่นหลังต่อไป แต่การสร้างค่านิยมให้กับประชาชน และเยาวชน จะสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษา และพัฒนาสมุนไพรให้มีมาตรฐาน เป็นที่เชื่อถือ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอย่างแท้จริง มีรูปแบบสำหรับการใช้ที่เป็นที่ยอมรับ ปลอดภัย และราคาถูก จึงจะสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนยอมรับยาสมุนไพร และสามารถทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันบางชนิด ที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศได้ ขณะนี้รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายของชาติ ให้มีการเร่งรัดการพัฒนาสมุนไพร ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และส่งเสริมให้มีการใช้เป็นยาอย่างแพร่หลาย ทั้งในสถานบริการของรัฐ และในงานสาธารณสุขมูลฐาน อุตสาหกรรมยาแผนโบราณ ตลอดจนอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบัน รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการส่งออกสมุนไพรหลายชนิด ซึ่งผลการสำรวจพบว่า สมุนไพรบางชนิดสูญพันธ์ หรือขาดแคลนไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากป่าไม้ถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถหาสมุนไพรที่มีคุณภาพได้เพียงพอ และสมุนไพรที่หาได้ก็ยังมีราคาแพงอีกด้วย การอนุรักษ์สมุนไพร การปลูก และการกระจายพันธุ์สมุนไพร จึงจำเป็นจะต้องสนับสนุน และส่งเสริมให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด