๒. ก๊าซซึ่งละลายอยู่ในของเหลวต่างๆ ในร่างกาย (Evolved Gas)
เช่น เลือด น้ำไขข้อ น้ำหล่อเลี้ยงสมอง และไขสันหลัง และไขมัน เป็นต้น ก๊าซที่อยู่ในรูปสารละลายนี้ ส่วนใหญ่เป็นก๊าซไนโตรเจน ซึ่งจะคืนตัวกลับเป็นฟองก๊าซ เมื่อความกดบรรยากาศลดลง (ตามกฎของเฮนรี)
การแบ่งกลุ่มอาการ
แบ่งตามลักษณะของ ก๊าซที่อยู่ในร่างกายดังกล่าวแล้วเป็น ๒ จำพวกคือ
๑. อาการซึ่งเกิดจากการขยายตัว และหดตัวของก๊าซ (Mechanical Effects) เกิดขึ้นจากก๊าซ ซึ่งขังอยู่ในโพรงต่างๆ ของร่างกาย
๒. อาการซึ่งเกิดจากคืนตัวเป็นฟองก๊าซจากสารละลาย (Decompression Sickness) เกิดขึ้นจากก๊าซ ซึ่งละลายอยู่ในของเหลวต่างๆ ในร่างกาย
๑. อาการซึ่งเกิดจากการขยายตัวและหดตัวของก๊าซ มีอาการที่สำคัญดังนี้ คือ
๑.๑ อาการปวดท้อง แน่นท้อง (Gastrointestinal Gas Expansion)
กระเพาะอาหาร และลำไส้ เป็นอวัยวะกลวงเปิดหัวเปิดท้าย จึงมีก๊าซขังอยู่เสมอ เมื่อความกดบรรยากาศลดลง ก๊าซเหล่านี้จะขยายตัวขึ้น ทำให้เกิดอาการแน่นอึดอัดในช่องท้อง หากอาการมากขึ้น จะดันกะบังลมสูงขึ้น ทำให้หายใจไม่สะดวก ปวดท้อง หรืออาจถึงกับช็อกได้
๑.๒ อาการปวดหู (Barotitis Media) หรือ (Ear Block)
หูชั้นกลางมีลักษณะเป็นโพรง อยู่ถัดจากเยื่อแก้วหู (Tympanic Membrane) เข้าไป และมีช่องทางติดต่อกับลำคอส่วนบน (Nasopharynx) ทางท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian Tube)
ขณะบินขึ้น ความกดบรรยากาศลดลง ทำให้อากาศในหูชั้นกลางขยายตัว จึงเกิดแรงดันเพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดความกดดันของบรรยากาศในหูชั้นกลาง มากกว่าความกดบรรยากาศภายนอก ประมาณ ๑๕ มม.ปรอท อากาศก็จะถูกดันผ่านท่อยูสเตเชี่ยนออกสู่ภายนอกทีหนึ่ง ซึ่งเราจะรู้สึกได้ พร้อมกับเกิดเสียงดังป๊อบ (POP) ขึ้น
ขณะบินลง ความกดบรรยากาศเพิ่มขึ้น ทำให้อากาศในหูชั้นกลางหดตัวลง จึงมีแรงดัน ในหูชั้นกลางน้อยกว่าภายนอก ดังนั้นอากาศ ภายนอกจึงต้องดันผ่านท่อยูสเตเชี่ยนเข้าไปสู่หูชั้นกลาง แต่ธรรมชาติของท่อยูสเตเชี่ยนนั้น อากาศภายนอกจะผ่านเข้าสู่หูชั้นกลางได้ยากกว่า การผ่านออกสู่ภายนอก ดังนั้นเราจึงต้องช่วยแก้ไข ด้วยการกลืนน้ำลาย เคี้ยว อ้าปากหาว ขยับกรามไปมา หรือการเบ่งลมหายใจออก พร้อมกับปิดปากปิดจมูก (Valsalva manuveur) เพื่อทำให้รูเปิดของท่อยูสเตเชี่ยนเปิดออกว้างยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้การถ่ายเทของอากาศสะดวกขึ้นนั่นเอง
ในกรณีที่ท่อยูสเตเชี่ยนบวมหรืออุดตัน เช่น เป็นไข้หวัด หรือแพ้อากาศ จะทำให้การถ่ายเทอากาศผ่านท่อนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะในขณะบินลง ดังนั้นเยื่อแก้วหูจะถูกดันโป่งออก ขณะบินขึ้น และดันโป่งเข้าด้านใน ขณะบินลง จึงเกิดอาการปวดหู ในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีการอักเสบของแก้วหู จนอาจมีเลือดออก หรือแก้วหูทะลุได้
๑.๓ อาการปวดไซนัส (Barosinusitis หรือ Sinus Block)
โดยปกติแล้วโพรงอากาศในกะโหลกศีรษะ (Sinuses) มีทางเปิดออกติดต่อกับภายนอกได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดออกสู่โพรงจมูก ในกรณีที่เกิดการอักเสบของโพรงไซนัส เป็นไข้หวัด หรือแพ้อากาศจะทำให้รูเปิดดังกล่าวเกิดการ อุดตัน ดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความ กดบรรยากาศจากการบินขึ้นหรือบินลง จะทำให้ เกิดอาการปวดบริเวณโพรงไซนัสได้โดยเฉพาะใน ขณะบินลง บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ โพรง ไซนัสบริเวณหน้าผาก (Frontal Sinuses) และ โพรงไซนัสบริเวณสองข้างโพรงจมูก (Maxillary Sinuses)
แสดงตำแหน่งของโพรงไซนัสบริเวณหน้าผาก (๑) และโพรงไซนัสบริเวณ สองข้างโพรงจมูก (๒)
๑.๔ อาการปวดฟัน (Barotalgia หรือ Tooth Pain)
ปกติแล้วฟันที่สมบูรณ์ดีจะไม่เกิดอาการนี้ แต่ในฟันที่ผุ หรือฟันที่ทำการอุดไว้ไม่ดีพอ จะมีอากาศขังอยู่ในโพรงรากฟัน อากาศที่ขังอยู่นี้จะขยายตัว เมื่อความกดบรรยากาศลดลง ในขณะที่บินขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดฟันขึ้นได้
๑.๕ ภาวะฟองอากาศในปอด (Lung Embolism)
เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสูญเสียความกดบรรยากาศอย่างรวดเร็ว (Rapid Decompression) ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีของห้องโดยสารของเครื่องบิน เกิดการชำรุด หรือแตกทะลุออกสู่ภายนอกในทันที อากาศในปอดจะเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และหากมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ จะทำให้ปอดฉีกขาด และมีฟองอากาศหลุดเข้าสู่กระแสโลหิต หรือช่องเยื่อหุ้มปอดได้
๒. อาการซึ่งเกิดจากการคืนตัวเป็นฟองก๊าซ จากสารละลาย มีอาการที่สำคัญดังนี้ คือ
๒.๑ อาการปวดข้อ (Bends)
เกิดจากฟองก๊าซไนโตรเจน ซึ่งแยกตัวออกมาจากน้ำไขข้อ มากด เบียด และรบกวนการเคลื่อนไหวของข้อ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับข้อขนาดใหญ่ เช่นข้อศอก ข้อเข่า ทำให้ผู้นั้นเกิดอาการปวด โดยเฉพาะในขณะที่ขยับเขยื้อนข้อ และจะปวดมากขึ้น เมื่อบินสูงขึ้น
๒.๒ อาการเจ็บหน้าอก (Chokes)
เกิดจากฟองก๊าซไปแทรกตัวอยู่ตามผนังหลอดลมในทรวงอก ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอก และไอแห้งๆ อาการดังกล่าวมักเกิดขึ้น และกำเริบอย่างรวดเร็ว แต่อาการนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
๒.๓ อาการทางระบบประสาท (Neurological Manifestations)
เป็นอาการของระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) หากเกิดฟองอากาศ ซึ่งแยกตัวจากกระแสโลหิต หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมอง และไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid) ไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง หรือกดทับเนื้อสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง อาการที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากระบบประสาทส่วนนั้น ถูกรบกวน หรือถูกกดทับ ทำให้สูญเสียความสามารถไป เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด อัมพาต จนถึงกับหมดสติได้
๒.๔ อาการทางผิวหนัง (Skin Manifestations)
เกิดขึ้นเมื่อมีฟองอากาศที่แยกตัวออกมา ไปแทรกตัวอยู่ตามใต้ผิวหนัง จะมีผลไปรบกวนต่อปลายประสาทรับความรู้สึก ทำให้เกิดอาการร้อน หรือเย็นซู่ซ่า คันยุบยิบ คล้ายแมลงไต่ อาการนี้ เกิดขึ้นได้บ่อย แต่มักไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
อาการซึ่งเกิดจากการคืนตัวเป็นฟองก๊าซ จากสารละลายนี้ เริ่มมีอาการได้ตั้งแต่ระยะสูง ๑๘,๐๐๐ ฟุตขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้น เมื่อทำการบินสูงเกินกว่า ๒๕,๐๐๐ ฟุต ดังนั้นในเครื่องบินที่ทำการบินที่ระยะสูงมากๆ จึงต้องทำการป้องกัน และแก้ไขอาการ อันอาจจะเกิดขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงความกดบรรยากาศนี้ โดยวิธีการใช้ห้องโดยสาร ซึ่งสามารถปรับความกดบรรยากาศภายในได้ เช่น ในขณะที่ทำการบิน ที่ระยะสูง ๓๐,๐๐๐ ฟุต ภายในห้องโดยสาร สามารถปรับความกดบรรยากาศให้เท่ากับระยะสูง เพียง ๖,๐๐๐ ฟุต เป็นต้น ด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้โดยสารสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย และเป็นระยะเวลานานพอสมควร ในระหว่างที่ทำการบินที่ระยะสูง