ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ อาจารย์สงกรานต์ ได้มีหนังสือ ถึงคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ให้พิจารณาการปฏิบัติงาน ทางนิติเวชศาสตร์ เป็นสาขาเฉพาะในการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเวชกรรม ซึ่งต่อมาคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ได้มีมติเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ให้มีแพทย์ผู้มีความชำนาญเฉพาะทางสาขาต่างๆ ขึ้น และ "นิติเวชวิทยา" ก็เป็นสาขาของแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง และได้มีการตั้งอนุกรรมการพิจารณาการขอเป็นแพทย์เฉพาะทาง ในแต่ละสาขาขึ้น สำหรับอนุกรรมการฯ ในสาขานิติเวชวิทยาประกอบด้วย
๑. น.พ. สงกรานต์ นิยมเสน
๒. น.พ. ภิรมย์ สุวรรณเตมีย์
๓. น.พ. ทิพย์ นาถสุภา
ต่อมา เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ และมีแพทยสภาขึ้น แพทยสภาได้มีหลักสูตรว่าด้วยการฝึกอบรม เพื่อเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ "นิติเวชศาสตร์" ก็เป็นสาขาหนึ่งที่มีการฝึกอบรมดังกล่าว จนปัจจุบันมีผู้ใดรับหนังสืออนุมัติและวุฒิบัตรของแพทยสภาในสาขานี้ หลายคนแล้ว
งานในสาขานิติเวชวิทยา ในแผนกวิชาพยาธิวิทยาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ โดยขยายงานเพิ่มขึ้นทุกปี มีจำนวนอาจารย์เพิ่มขึ้นจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๘ จึงได้มีพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้นในคณะแพทยศาสตร์ และศิริราชพยาบาล โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน เป็นหัวหน้าแผนกวิชา และได้โอนอัตรากำลัง และเจ้าหน้าที่ในสาขานิติเวชวิทยาเดิมทั้งหมดไปเป็นของภาควิชาที่ตั้งใหม่ นับเป็นแผนกวิชานิติเวชวิทยาแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาเมื่อมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล แผนกวิชานิติเวชวิทยาเปลี่ยนมาเป็น ภาควิชานิติเวชวิทยา และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ภาควิชานิติเวชศาสตร์ จนทุกวันนี้
ในปีเดียวกันกับปีที่มีการตั้งแผนกวิชานิติเวช วิทยา คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็ได้ขอโอน นายแพทย์ พ.ต.อ. ถวัลย์ อาศนะเสน จากโรงพยาบาล ตำรวจกลับไปสังกัดในแผนกวิชาพยาธิวิทยา และมอบหมายให้เตรียมวางโครงการก่อตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้น ซึ่งได้มีการก่อตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๐ นับว่าเป็นแห่งที่สอง และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น แผนกวิชานิติเวชศาสตร์ หลังจากนั้นภาควิชานิติเวชศาสตร์ ก็ได้เริ่มก่อตั้งในมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกในเวลาต่อมา
สำหรับงานนิติเวชศาสตร์ภายนอกมหาวิทยาลัย ในขณะที่กรมตำรวจมีชื่อว่า กรมกองตระเวน อยู่นั้น กระทรวงมหาดไทยได้จัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นหลังหนึ่ง ที่ตำบลพลับพลาไชยใน พ.ศ. ๒๔๔๑ แรกเริ่มทำการรักษาผู้ป่วย ที่เป็นกามโรคส่วนใหญ่ จึงเรียกกันว่า "โรงพยาบาลหญิงหาเงิน" ต่อมาโรงพยาบาลนี้ช่วยรักษาพยาบาลพลตระเวน (พลตำรวจ) พิสูจน์บาดแผล และชันสูตรพลิกศพเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆ จึงมีผู้เรียกชื่อโรงพยาบาลนี้ว่า "โรงพยาบาลพล ตระเวน" และบางคนก็เรียกว่า "โรงพยาบาลวัดโคก" (วัดโคกคือวัดพลับพลาไชย) ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ กรมสุขาภิบาลได้รับโอนโรงพยาบาลดัง กล่าว และเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลกลาง" และใช้ชื่อนี้มาจนทุกวันนี้ ปัจจุบัน สังกัดอยู่ในกรุงเทพมหานคร แม้จะโอนจากกรมกองตระเวนแล้ว และกรมกองตระเวนกับกรมตำรวจภูธรได้รวมกัน เป็นกรมตำรวจ ในปีเดียวกันนั้น โรงพยาบาลกลางก็ยังคงทำหน้าที่รับคนไข้ที่เป็นคดีที่ตำรวจส่ง ได้แก่ คนไข้อุบัติเหตุ บาดแผลต่างๆ เป็น ส่วนใหญ่ จึงนับว่าโรงพยาบาลกลางเป็นที่ให้บริการทาง นิติเวชศาสตร์ที่สำคัญก่อนโรงพยาบาลศิริราช สำหรับ ผู้ป่วยโรคจิตที่มีคดีนั้น จะถูกนำตัวเข้าไปตรวจรักษาที่ "โรงพยาบาลคนเสียจริต ปากคลองสาน" ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ โดยครั้งแรกได้นำคนเสียจริต ๓๐ คนมา ไว้รวมกัน ต่อมาได้รับการปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลที่ ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคจิต โรคประสาท และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ต่อมา กิจการของโรงพยาบาลแห่งนี้ ก้าวหน้าทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการตรวจรักษาทางโรคระบบประสาท และประสาทศัลยศาสตร์ด้วย เนื่องจากคนไข้โรคจิต ที่มีคดี มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะต้อง พิสูจน์ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะเป็นโรคจิตและรู้สึกผิด ชอบหรือไม่ ถ้าเป็นโรคจิต ก็ต้องรักษาจนกว่าผู้ป่วยจะ ต่อสู้คดีได้ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีสถานที่ตรวจรักษาคน ไข้ดังกล่าวให้พอเพียง จึงได้มีการก่อตั้ง "โรงพยาบาลนิติจิตเวช" ขึ้นโดยเฉพาะอีกแห่งหนึ่งที่พุทธมณฑล ตำบลทวีวัฒนา อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓
ในด้านที่เกี่ยวกับกฎหมาย ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติชันสูตรพลิกศพ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในเดือน เมษายน ๒๔๕๗ และได้บัญญัติเกี่ยวกับการชันสูตร พลิกศพไว้ดังต่อไปนี้
"มาตรา ๓ ถ้ามีผู้ใดตายลงโดยฆ่าตัวเองก็ดี หรือผู้อื่นฆ่าให้ตายก็ดี กิริยาตายอย่างนี้เรียกว่า ฆาตกรรม ตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ตายจะปรากฏชัดก็ ตาม หรือจะเป็นแต่มีเหตุควรสงสัยว่าบุคคลจะตายโดย ฆาตกรรมก็ตาม ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ที่จะต้องกระทำการชันสูตรพลิกศพ ตามความที่กล่าวไว้ใน พระราชบัญญัตินี้
แต่ให้พึงเข้าใจว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่เกี่ยวถึง การที่เจ้าพนักงานประหารชีวิตนักโทษตามกฎหมาย
มาตรา ๗ การชันสูตรพลิกศพผู้ถูกฆาตกรรม กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้เป็น ๒ ชั้น คือสามัญชั้น ๑ วิสามัญชั้น ๑ ผิดกัน ดังอธิบายต่อไปนี้ คือ
ข้อ ๑ ฆาตกรรมอันเป็นวิสามัญนั้นคือ ผู้ตาย ตายด้วยเจ้าพนักงานฆ่าในเวลากระทำการตามหน้าที่ ยก ตัวอย่างเช่น เจ้าพนักงานไปจับผู้ต้องหาว่าเป็นโจรเป็นผู้ร้าย และฆ่าผู้ต้องหาว่าเป็นโจรเป็นผู้ร้ายนั้นตายในเวลาจับดังนี้ เป็นต้น เรียกว่า เป็นเหตุวิสามัญ
ข้อ ๒ ฆาตกรรมอันเป็นสามัญนั้น ผู้อื่นแม้เป็น ข้าราชการหรือเป็นเจ้าพนักงานกระทำให้ตาย โดยมิได้ เกี่ยวกับการกระทำตามหน้าที่ ให้ถือว่า เป็นฆาตกรรมอย่างสามัญ
มาตรา ๘ พนักงานที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญนั้น โดยปกติให้ถือว่า เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่อำเภอ ซึ่งพบศพนั้น จะเป็นประธาน ๑ กับกำนันคนใดคนหนึ่ง ในอำเภอนั้น และแพทย์ประจำตำบลหรือเจ้าบ้านคนใด คนหนึ่งในอำเภอนั้น ต้องนั่งพร้อมกัน ๓ คน จึงจะทำการชันสูตรพลิกศพถูกต้อง ตามพระราชบัญญัตินี้
แต่ถ้าเสนาบดีผู้บัญชาการปกครองท้องที่ หรือ สมุหเทศาภิบาลผู้สำเร็จราชการมณฑล หรือผู้ว่าราชการ เมืองเห็นว่า เหตุที่เกิดฆาตกรรมเป็นการซึ่งควรจะจัด การโดยพิเศษ จะตั้งผู้ทำการชันสูตรพลิกศพเฉพาะเรื่อง นั้นทั้ง ๓ คน ก็ได้ ถ้าหากว่า ศพนั้นตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญ พนักงาน ๓ คน ซึ่งจะนั่งทำการชันสูตร พลิกศพ ให้เป็นข้าราชการหัวหน้ากรมหรือกอง พนักงานซึ่งทำให้ตายคน ๑ ข้าราชการซึ่งเจ้ากระทรวงผู้ปกครองท้องที่เลือกแลตั้งคน ๑ แลข้าราชการซึ่งเป็นฝ่าย ตุลาการ ซึ่งเจ้ากระทรวงยุติธรรมเลือกแลตั้งคน ๑ ใน ๓ คนนี้ ผู้ใดมีบรรดาศักดิ์สูงกว่า คนผู้นั้นได้เป็น ประธาน ๑"
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มีพระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ใช้บังคับ โดยให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตั้งแต่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นต้นไป พระราชบัญญัติ การชันสูตรพลิกศพจึงถูกยกเลิกไปเพราะการชันสูตร พลิกศพได้มีบัญญัติอยู่แล้วในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา และในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๐ กำหนดให้พนักงาน สอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับแพทย์ประจำตำบล หรือแพทย์อื่น เป็นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีการแก้ไขประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องนี้ โดยให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับอนามัยจังหวัด หรือแพทย์ประจำสุขศาลา หรือแพทย์ประจำโรงพยาบาล เป็นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ ถ้าไม่มีแพทย์ดังกล่าว ให้ใช้เจ้าหน้าที่ท้องที่หรือแพทย์ประจำตำบลแทนได้ ดังนั้น แพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไปหรือแพทย์ของสุขศาลา จึงต้องทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน