สำหรับตลาดของไทยนั้นมีมาคู่บ้านคู่เมือง ตั้งแต่เรามีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เราจะมองเห็นความเรียบง่าย และความเป็นอิสระในการตลาดสมัยนั้น ได้จากข้อความตอนหนึ่งในหลักศิลาจารึก ดังนี้

แผนที่กรุงศรีอยุธยาที่วิศวกรชาวฝรั่งเศสเขียนขึ้นตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
“เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยนี้ดี
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
เจ้าเมืองบ่เอาจกอบ ในไพร่ลู่ทาง
เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย
ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า
ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า”

โบสถ์ซางตาครู้สในชุมชนกุฎีจีนทางฝั่งธนบุรี ในอดีตเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา
และอีกตอนหนึ่งที่ทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดว่า
“เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยมีตลาดปสาน
มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง
มีไร่นา มีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก”

โบสถ์ซางตาครู้สในชุมชนกุฎีจีนทางฝั่งธนบุรี ในอดีตเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา
คำว่า “ตลาดปสาน” มีรากคำมาจากภาษาเปอร์เซียว่า ปลาซา (Plaza) หมายถึง ตลาดในที่โล่งแจ้ง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สภาพของตลาดเปลี่ยนไปตามสภาพภูมิศาสตร์ของอยุธยา ที่มีแม่น้ำโอบล้อม ลักษณะของตลาดจึงมีทั้งตลาดบก ตลาดน้ำ (หรือตลาดเรือ) มีการติดตลาดกันทั้งวัน มีทั้งของสด ของแห้ง และของป่า

ตลาดสะพานหัน
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว กรุงธนบุรีได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีแห่งใหม่ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของธนบุรี เหมาะที่จะเป็นเมืองหน้าด่านทางน้ำ เนื่องจากเรือสินค้าทุกลำจะต้องผ่านน่านน้ำนี้ จึงเป็นตลาดการค้าที่มีเงินหมุนเวียนมากมาย เป็นแหล่งที่ตั้งด่านภาษีซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า “ขนอนบางกอก”

ตลาดสำเพ็ง แหล่งสินค้าหลากหลายชนิดทั้งขายปลีก และขายส่ง
ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนหนึ่งระบุว่า
“ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๒ เห็นประโยชน์ในการแต่งเรือไปค้าขายต่างเมือง มีเรือหลวง และเรือสำเภาเจ้านาย และพ่อค้า แต่งไปค้าขายตามเมืองต่างๆ ของประเทศทางตะวันตก ไปจนถึงเมืองอินเดีย ข้างใต้ไปจนถึงเมืองชวา ข้างตะวันออกไปจนถึงเมืองจีน

ตลาดวัดดอนหวาย แหล่งรวมอาหารการกินนานาชนิด
จากสมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงรัชกาลที่ ๕ มีพ่อค้าชาวตะวันตกเข้ามาตั้งตลาดแบบตะวันตกขึ้น ในเมืองไทย เรียกกันว่า “ห้างฝรั่ง” เช่น ห้างฮันเตอร์และเฮย์ ห้างแบดแมนแอนด์โก ส่วนห้างของชาวเอเชียก็มี ห้างมัทราส และห้างบอมเบย์ ของชาวอินเดีย สำหรับชาวจีนนั้น มาตั้งหลักแหล่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง เช่น ชุมชนกุฎีจีนทางฝั่งธนบุรี ตลาดท่าเตียน และปากคลองตลาดทางฝั่งกรุงเทพฯ
จิตรกรรมฝาผนังในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร แสดงถึงการค้าขายและวิถีชีวิตของ ชุมชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ
ในบรรดาชาติตะวันตก ที่เข้ามาค้าขายในไทย โปรตุเกสถือเป็นชาติแรก ที่เข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา จากการติดต่อค้าขายกัน ทำให้คนไทยได้รับวัฒนธรรมด้านอาหารการกิน สืบทอดมาจากชาวโปรตุเกส อาหารหลายชนิดเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เช่น ขนมปังปอนด์ ไส้กรอก เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก มันฝรั่ง นอกจากนี้ ขนมหวานที่มีคำนำหน้า หรือคำประกอบว่า “ทอง” เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก ทองม้วน ฝอยทอง เป็นต้น ตำรับของสตรีชาวโปรตุเกส ที่มีชื่อว่า มารี กีมาร์ เด ปินา (Marie Guimar de Pina) หรือที่คนไทยเรียกว่า ท้าวทองกีบม้า ซึ่งได้ดัดแปลงขนมของชาวโปรตุเกส ให้มีรสชาติแบบที่คนไทยชอบรับประทาน จนกระทั่งกลายเป็นขนมไทย ที่ทำขายกันทั่วไปในปัจจุบัน
ในอดีตชีวิตของคนไทยผูกพันและเกี่ยวข้องกับแม่น้ำลำคลองอย่างแยกไม่ออก ทั้งในเรื่องวิถีชีวิต และการค้าขาย
ตลาดหลายแห่งในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประวัติที่เกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของพ่อค้าชาวต่างชาติ เช่น ตลาดสำเพ็ง และตลาดเยาวราช ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของชาวจีน เกิดขึ้นจากการสร้างพระบรมมหาราชวัง และได้ย้ายคนจีน ที่ตั้งถิ่นฐานเดิมอยู่ในบริเวณนั้น ให้ไปอยู่ที่สำเพ็ง แล้วขยายไปยังถนนเยาวราช ในระยะเวลาต่อมา
เท่าที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า ตลาดของไทยมีความสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ในทุกชุมชนจำเป็นต้องมีตลาด และยังได้มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ จากตลาดสด ตลาดนัด ตลาดบก ตลาดน้ำ แล้วมีวิวัฒนาการไปสู่ตลาดอีกหลากหลาย เช่น ตลาดไม้ดอกไม้ผล ตลาดวัวควาย ตลาดเสื้อผ้าสำเร็จรูป ตลาดเครื่องแต่งบ้าน ตลาดรถยนต์ ตลาดเครื่องสังฆภัณฑ์หรือเครื่องใช้ทางศาสนา ตลาดหนังสือ ตลาดหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนตลาดสินค้า ที่โฆษณาซื้อขายทางโทรทัศน์ และตลาดการค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังที่มีอยู่ในปัจจุบัน
บริเวณชุมชนและร้านค้าในบริเวณถนนเยาวราชในอดีต