เล่มที่ 13
การเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกราม
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
การเพาะพันธุ์กุ้งก้ามกราม

            กุ้งก้ามกรามเป็นกุ้งน้ำจืด หากเมื่อฟักเป็นตัวอ่อน หรือลูกกุ้ง จะต้องอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยระยะหนึ่งตามธรรมชาติ เมื่อไข่กุ้งฟักออกเป็นตัวแล้ว จะล่องลอยไปตามกระแสน้ำตามยถากรรม ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าแม่กุ้งตัวหนึ่งๆ จะวางไข่เป็นหมื่นเป็นแสนฟอง แต่จะเหลือรอดจนโตเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ส่วนใหญ่มักเป็นเหยื่อของปลาเสียก่อน นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้กุ้งก้ามกรามในลำน้ำธรรมชาติลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว คือ ปัญหาเรื่องน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และชุมชน รวมทั้งการสร้างเขื่อน เพื่อการชลประทาน ทำให้กุ้งก้ามกรามที่อยู่เหนือเขื่อน ไม่สามารถเดินทางมายังบริเวณน้ำกร่อยเพื่อแพร่พันธุ์ได้ กุ้งก้ามกรามที่อยู่เหนือเขื่อน จึงลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ วิธีที่จะช่วยไม่ให้กุ้งก้ามกรามมีจำนวนน้อยลง หรือสูญพันธ์ไปก็คือ การเพาะขยายพันธุ์ขึ้นมาทดแทน

วิธีเพาะพันธุ์กุ้งก้ามกราม

            ปัจจุบันนี้การเพาะพันธุ์กุ้งก้ามกรามทำ ได้ ๒ วิธีใหญ่ๆ คือ การเพาะพันธุ์ระบบปิด โดยใช้น้ำหมุนเวียนภายในบ่อแต่ผ่านที่กรอง (filter) ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยชั้นทราย จะช่วยลดปริมาณแอมโมเนียม และไนไทรต์ที่ลูกกุ้งถ่ายออกมาได้ วิธีนี้สะดวกในการควบคุมคุณสมบัติของน้ำ และไม่ต้องใช้น้ำทะเลมาก จากผลของการทดลองของนักวิชาการปรากฏว่า วิธีนี้จะได้ผลค่อนข้างแน่นอน ส่วนอีกวิธีหนึ่งเป็นการเพาะพันธุ์ โดยวิธีธรรมดา มีการเปลี่ยนน้ำบ่อย วันเว้นวัน หรือทุก ๒-๓ วัน ครั้งละประมาณร้อยละ ๑๐-๕๐ ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ไกลจากน้ำทะเล การเพาะพันธุ์โดยวิธีนี้เรียกว่า การเพาะพันธุ์ระบบเปิด บางแห่งนิยมใช้น้ำเขียวที่ได้จากบ่อเลี้ยงปลาหมอเทศ หรือปลานิลมาใช้เลี้ยงกุ้ง น้ำเขียวนี้ก็คือ น้ำที่มีสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นพวกคลอเรลลา (Chlorella) ดูนาเลียลลา (Dunaliella) สาหร่ายเหล่านี้ เป็นตัวควบคุมชีวเคมีของน้ำภายในบ่อ

บ่อเพาะพันธุ์กุ้ง

การเตรียมน้ำ

            ใช้น้ำทะเลผสมกับน้ำจืดในอัตราส่วน ๓ ต่อ ๔ หรือมีความเค็ม ๑๒-๑๕ ส่วนในพัน (ppt.) การตรวจวัดความเค็มทำได้หลายวิธี เช่น วิธีไทเทรตกับสารละลายซิลเวอร์ไนเทรต (AgNO๓) หรือ ใช้เครื่องมือวัดความเค็ม (Salino- meter) และอีกวิธีหนึ่งเป็นวิธีง่ายๆ คือ ใช้ ไฮโดรมิเตอร์ (hydrometer) ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ปรอทวัดความเค็ม จุ่มลงในภาชนะใส่น้ำเค็ม เพื่อหาค่าความถ่วงจำเพาะ (ถ.พ.) แล้วเทียบหาค่าความเค็ม

การเตรียมน้ำสำหรับเพาะพันธุ์กุ้ง

วิธีผสมน้ำให้ได้ความเค็มที่ต้องการ

ใช้สูตรการหาความเข้มข้นของสารละลาย คือ N๑V๑ = N๒V๒

หรือ ปริมาตรของน้ำที่ต้องการ = ความเค็มของน้ำ x ปริมาตรเดิมของน้ำ/ ความเค็มของน้ำที่ต้องการ

ปริมาตรของน้ำที่ต้องการ คือ ระดับของน้ำเป็นเซนติเมตรหรือเมตร หรือปริมาตรของน้ำที่มีความเค็มเท่าที่เราต้องการ ซึ่งจะเป็นปริมาตรที่รวมทั้งปริมาตรเดิมของน้ำและน้ำจืดที่เติมเข้าไป

ความเค็มเดิมของน้ำ คือ ความเค็มของน้ำทะเล

ปริมาตรเดิมของน้ำ คือ ระดับของน้ำเป็นเซนติเมตรหรือเมตร หรือปริมาตรของน้ำทะเลที่มีอยู่เดิม

ความเค็มของน้ำที่ต้องการ คือ ความเค็มที่เรากำหนดขึ้น เช่น ความเค็มของน้ำทะเลเดิม ๓๔ ส่วนในพัน ถ้าต้องการเอาน้ำไปเพาะฟักกุ้งก้ามกราม ซึ่งจะใช้ความเค็มระหว่าง ๑๒-๑๕ ส่วนในพัน เราก็กำหนดความเค็มของน้ำที่ต้องการไว้เป็น ๑๓ ส่วนในพัน เป็นต้น

ไฮโดรมิเตอร์หรือปรอทวัดความเค็ม

ตัวอย่าง ปริมาตรเดิมของน้ำมีระดับน้ำสูง ๒๐ เซนติเมตร มีความเค็ม ๓๔ ส่วนในพัน ต้องการทำให้น้ำมีความเค็ม ๑๓ ส่วนในพัน ฉะนั้น จะต้องเติมน้ำให้ได้ระดับ = ๓๔ x ๒๐/๑๓  = ๕๒.๓ เซนติเมตร

            ในบางกรณีนี้เราจะต้องเติมน้ำจืดรวมกับระดับน้ำเดิมให้ได้ ๕๒.๓ เซนติเมตร หรือใช้น้ำจืดเพิ่มขึ้น ๕๒.๓-๒๐.๒ = ๓๒.๓ เซนติเมตร
การคำนวณหาปริมาตร ถ้าเป็นพื้นที่หน้าตัดที่มีพื้นที่เท่ากัน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคำนวณเป็นปริมาตร คำนวณเป็นระดับความลึกของน้ำ ดังตัวอย่าง คำตอบที่ได้ก็เท่ากัน
เมื่อผสมน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสอบความเค็มอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากว่า อุณหภูมิของน้ำที่เติมลงไปที่หลังอาจไม่เท่ากับอุณหภูมิของน้ำทะเลเดิม ทำให้น้ำที่ผสมแล้ว มีความเค็มผิดพลาดไปได้บ้าง

แม่กุ้งขนาดโตและมีไข่แก่

การคัดเลือกแม่กุ้ง

            เมื่อเตรียมน้ำในบ่อเรียบร้อยแล้ว ควรคัดเลือกแม่กุ้งที่มีขนาดโต และมีไข่แก่ โดยสังเกตสีของไข่กุ้งที่ติดอยู่ที่ท้องเป็นสีน้ำตาลเทา นำมาปล่อยในบ่อเพาะพันธุ์ ที่เตรียมไว้ โดยให้อากาศเป่าตลอดเวลา ปล่อยไว้จนกว่าไข่กุ้งจะฟักออกเป็นตัว แล้วจึงจับเอาแม่กุ้งออกจากบ่อเพาะ บ่อเพาะพันธุ์ควรมีขนาด ๐.๕-๑๐ ตัน ถ้าบ่อใหญ่มากจะมีปัญหาเรื่องการใช้จำนวนแม่กุ้งมาก ซึ่งบางทีไข่แก่ไม่พร้อมกัน ทำให้ลูกกุ้งมีอายุและขนาดต่างกันในบ่อเดียวกัน จะมีปัญหาเรื่องลูกกุ้งตัวใหญ่กินตัวเล็ก และการคว่ำตัวของลูกกุ้งจะไม่พร้อมกัน ถ้าบ่อเล็กเกินไป จะทำให้คุณสมบัติของน้ำ เปลี่ยนเร็ว กุ้งอาจตายง่ายขึ้น

การพัฒนาและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน

            หลังจากไข่ได้รับการผสมจากเชื้อตัวผู้แล้ว จะมีการแบ่งตัวของเซลล์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอวัยวะต่างๆ เกือบสมบูรณ์ แล้วจึงฟักออกจากไข่ ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๙ วัน ยังมีลักษณะไม่เหมือนพ่อแม่ ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ จากนั้นจะเจริญเติบโต ด้วยการลอกคราบอีก ๑๒ ครั้ง จึงจะมีลักษณะเหมือนพ่อแม่ การลอกคราบแต่ละครั้งจะใช้เวลา ๑ - ๕ วัน ซึ่งจะมีรูปร่างเปลี่ยนไปทุกครั้ง จนถึงระยะสุดท้ายที่เรียกว่า ตัวอ่อน วัยสุดท้าย (post larva) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า กุ้งคว่ำ ลูกกุ้งจะมีลักษณะเหมือนพ่อแม่ทุกประการ ลำตัวใส สามารถควบคุมการทรงตัวในการว่ายน้ำได้ และจะเกาะอยู่พื้นหรือขอบบ่อ

แผนภาพแสดงวงจรชีวิตของกุ้งก้ามกราม

อาหารและการให้อาหาร

            เราควรเริ่มให้อาหาร เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ ๒-๓ วัน ระยะแรกควรให้อาหารพวกไรน้ำขนาดเล็ก เช่น ไรแดง และตัวอ่อน และอาร์ทิเมีย (artemia) หรือไรสีน้ำตาลที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ๆ ประมาณวันละ ๒ ครั้ง เช้าและบ่าย จนกว่าลูกกุ้งจะอายุประมาณ ๑ สัปดาห์ จากนั้นจึงให้อาหาอื่นสมทบ ซึ่งได้แก่ เนื้อปลา เนื้อหอยสด ไข่แดงอัดเม็ด หรือไข่ตุ๋นบดให้เป็นชิ้นเล็กๆ ล้างน้ำผ่านตะแกรง หรือผ้ากรองขนาดตาต่างๆ กัน คือ ๔๐ ๓๔ และ ๒๔ ตาต่อนิ้ว แยกให้ลูกก้งุกินตามขนาด แรกๆ ให้กินชิ้นเล็กสุด และค่อยๆ ให้ทีละน้อยๆ จนลูกกุ้งคุ้นกับอาหาร จึงเพิ่มทั้งปริมาณและขนาดของอาหารให้มากขึ้นตามอายุของกุ้ง การให้อาหารนี้ ควรให้ทุก ๒-๔ ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และให้อาร์ทิเมียในเวลาเย็น

ไรแดง

            การเพาะฟักไข่อาริทิเมียต้องเพาะในน้ำเค็ม หรือน้ำกร่อยที่มีความเค็ม ๑๒-๓๕ ส่วนในพัน ใช้เวลาเพาะ ๒๔-๔๘ ชั่วโมงจึงออกเป็นตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และสายพันธุ์ของไข่อาร์ทิเมีย ไข่อาร์มทิเมียแห้งควรเก็บรักษาไว้ในถุงหรือภาชนะ ที่มีออกซิเจน และความชื้นน้อยที่สุด มิฉะนั้นจะทำให้คุณภาพของไข่อาร์ทิเมียเสื่อมลง ภาชนะที่ใช้เพาะอาร์ทิเมียควรมีลักษณะทรงกระบอกสูง หรือรูปกรวย ให้มีอากาศเป่าแรงๆ จะทำให้น้ำหมุนเวียนทั่วถึง ไข่ไม่ตกตะกอน ควรเพาะไข่อาร์ทิเมีย ๑ ช้อนแกง (ประมาณ ๓ กรัม) ต่อน้ำ ๒-๔ ลิตร

การถ่ายน้ำ

น้ำที่ใช้เลี้ยงลูกกุ้งควรมีความเค็ม ๑๒- ๑๕ ส่วนในพัน ความหนาแน่นของลูกกุ้งควรอยู่ ระหว่าง ๔๐-๘๐ ตัวต่อลิตร เมื่อลูกกุ้งอายุ ๑๐ วัน ควรเปลี่ยนน้ำออกประมาณสองในสามของบ่อ หลังจากนั้นควรเปลี่ยนน้ำทุก ๒-๓ วัน ครั้งละประมาณร้อยละ ๓๐ - ๕๐ โดยใช้ความเค็มเท่าเดิม จนกว่าลูกกุ้งจะคว่ำหมด หรือคว่ำประมาณร้อยละ ๙๐ จากนั้นจึงลดความเค็มลง จนเป็นน้ำจืด

ลูกกุ้งในระยะต่าง ๆ (ขวา-ระยะที่ ๑, กลาง ระยะที่ ๒, ซ้าย - ระยะสุดท้าย)

ทุกเช้าก่อนให้อาหารต้องใช้สายยางดูดเอาเศษอาหาร และตะกอนก้นบ่อออกเสียก่อน แล้วจึงถ่ายน้ำ ถ้าเพาะกุ้ง โดยใช้ระบบปิด ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ เพียงแต่เติมน้ำที่ลดลงให้เท่าเดิม

คุณสมบัติของน้ำ

อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ ๒๙ - ๓๑ องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำ ลูกกุ้งไม่ค่อยกินอาหาร และโตช้า

ออกซิเจน จะต้องให้มีออกซิเจนในน้ำ ไม่น้อยกว่า ๔ ส่วนในล้าน ดังนั้น จึงต้องใช้เครื่องเป่าอากาศตลอดเวลา

แอมโมเนียและไนไทรต์ สารละลายที่มีพิษ ในบ่อลูกกุ้งที่สำคัญ คือ แอมโมเนีย และไนไทรต์ สารทั้งสองเกิดจากการขับถ่ายของเสียของลูกกุ้ง ถ้าความเข้มข้นของสารทั้งสองมีมาก จะทำให้ลูกกุ้งมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ และอาจทำให้ลูกกุ้งตายได้ ฉะนั้นจึงควรควบคุมแอมโมเนียไม่ให้สูงเกินกว่า ๐.๑ มิลลิกรัมต่อลิตร และไนไทรต์ไม่ให้เกิน ๑.๕ มิลลิกรัมต่อลิตร

ความเป็นกรด - ด่าง ความเป็นกรด - ด่าง ของน้ำ จะมีผลเสียต่อลูกกุ้ง เมื่อต่ำหรือสูงกว่า ๗ - ๘.๕

ศัตรูและโรค

ในการเพาะพันธุ์กุ้งก้ามกรามนั้น จะต้องรักษาน้ำ อาหาร อากาศ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ให้สะอาด และมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการป้องกันศัตรูและโรคของลูกกุ้งได้ดีที่สุด และในทางปฏิบัติ ความสกปรกของอุปกรณ์ต่างๆ ในโรงเพาะฟัก และความผิดพลาดทางเทคนิคของการเพาะเลี้ยง เป็นสาเหตุให้ประสบปัญหาเกี่ยวกับศัตรูและโรคเป็นประจำ บางครั้งทำให้ได้ผลิตผลต่ำมาก หรือไม่ได้เลย พอจะประมวลสาเหตุได้ ดังนี้

๑. น้ำที่ใช้เพาะพันธุ์ไม่มีการกรอง หรือไม่สะอาดเพียงพอ ทำให้มีสัตว์ขนาดเล็กเล็ดลอดเข้าไปเจริญเติบโตในถังเพา ะพันธุ์กุ้งได้ และจะกินลูกกุ้ง หรือปล่อยสารพิษออกมา ทำให้ลูกกุ้งตาย สัตว์เหล่านี้ได้แก่ ลูกปลา และไฮโดรซัว (Hydrozoa) ซึ่งมีวิธีป้องกันได้ โดยการกรองน้ำ หรือใช้สารเคมีฆ่าเชื้อต่างๆ ให้น้ำสะอาดเสียก่อน เมื่อสารเคมีหมดฤทธิ์ จึงนำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงกุ้งวัยอ่อน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคและศัตรูทุกชนิด

๒. สัตว์เซลล์เดียว (Protozo) ได้แก่ ซูแทมเนียม (Zoothamnium sp.) เอพิสไทลิส (Epistylis sp.) และลาจีนอฟรีส (Lagenophrys sp.) ซึ่งอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เกาะอยู่ข้างลำตัวกุ้ง

วิธีรักษา ใช้น้ำยาฟอร์มาลิน (Forma- lin) ใส่ในถังเพาะพันธุ์ให้มีความเข้มข้น ๒๕-๕๐ ส่วนในล้าน (ppm.) หรือใส่จุนสี (CuSo๔) ละลาย น้ำในอัตราส่วน ๐.๐๐๒๕ กรัมต่อน้ำ ๑ ตัน

๓. บัคเตรี จำพวกไวบริโอ (Vibrio sp.) และซูโดโมนัส (Pseudomonas sp.) เมื่อเกิดกับตัวกุ้ง จะมีลักษณะสีขาวขุ่น เมื่อเป็นแล้วลูกกุ้งไม่ค่อยกินอาหาร จะทำให้อ่อนแอและตายไปในที่สุด

วิธีรักษา ใช้ยาจำพวกยาปฏิชีวนะ (antibiotic) เช่น ยาฟูราเนซ (furanace) ใส่ในอัตรา ๐.๑ ส่วนในล้าน ออกซีเททระไซคลิน (Oxyte- tracycline) ในอัตรา ๒ - ๕ กรัมต่อน้ำ ๑ ตัน  

นอกจากศัตรูและโรคดังกล่าวยังพบโรคเรืองแสง ซึ่งยังไม่พบวิธีรักษาที่ได้ผล นอกจากป้องกันโดยการฆ่าเชื้อในน้ำทะเล ก่อนที่จะนำมาใช้เลี้ยงลูกกุ้ง

เมื่อลูกกุ้งคว่ำลงเกาะพื้นก้นบ่อ ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๓๐ - ๔๕ วัน สามารถนำไปเลี้ยงในบ่อใหญ่ได้ แต่ก่อนที่จะนำไปเลี้ยงในบ่อใหญ่ ควรอนุบาลลูกกุ้งต่อไปอีก ๑-๒ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้ลูกกุ้งแข็งแรงพอเสียก่อน