ในภาวะที่มีภูมิคุ้มกันเสื่อม โดยไวรัสไปทำลาย CD4+T cells หรือที่เรียกชื่อเดิมว่า T helper ลดลงไปอย่างมาก จนกระทั่งทำให้เกิดโรคเอดส์เต็มขั้นนั้น การรักษาจะต้องดำเนินไปดังต่อไปนี้
๑. การบริบาลทั่วไป และการรักษาประคับประคอง อันได้แก่ การดูแลผู้ป่วยโดยทั่วไป และการให้อาหาร ให้พลังงาน สารน้ำอิเล็กโทรไลต์ ฯลฯ ให้พอเพียง และให้การรักษาทางจิตบำบัด เป็นต้น
๒. การรักษาตามอาการ เช่น การรักษาอาการไข้ อาการท้องเดิน เป็นต้น
๓. การรักษาเฉพาะโรคที่เกิดขึ้น ได้แก่ รักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น การรักษาโรคปอดบวม โรคติดเชื้อแคนดิดา โรคระบบประสาทและรักษาโรคมะเร็ง โดยการฉายรังสี หรือเคมีบำบัด เป็นต้น
๔. การให้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อระงับยับยั้งการทวีจำนวนของไวรัสในเซลล์ชนิดต่างๆ
๕. การให้ยากระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อให้มีการสร้างหรือเสริม ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน ที่เสียไปให้ฟื้นกลับมาใหม่ แม้ว่าจะไม่ดีขึ้นเท่าเดิม ก็ดีกว่าปล่อยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมอย่างเต็มที่
ในที่นี้จะได้กล่าวถึงสารที่มีฤทธิ์ระงับยับยั้งมิให้ไวรัสทวีจำนวนในเซลล์ และสารปรับปรุงระบบอิมมูน (Immune Modulator)
ในปัจจุบันกล่าวได้ว่ายังไม่มียาหรือสารต้านไวรัสชนิดใด ที่ทรงประสิทธิภาพสูง หรือที่เรียกว่า เป็นยา "อุดมคติ" ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์เพียงแต่ยับยั้งการเจริญเพิ่มจำนวนของไวรัสเท่านั้น
๑. สารต้านไวรัสเอชไอวี ได้แก่
๑.๑ ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเตส ที่มีใช้อยู่ขณะนี้คือพวก nucleoside analog ได้แก่ Azidothymidine (AZT) หรือ Zidovudine, dideoxyionosine (ddI), dideoxycytidine (ddC) และที่ยังอยู่ในระหว่างการ ประเมินผลอีกหลายขนานอาทิ 3' Deoxy thymidine- 2' ene หรือ d4T ส่วนพวก non-nucleoside analog ได้แก่ tetrahydroimidazol benzodiazepin (TIBO), Foscarnet ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสกลุ่มเชื้อเริม และ Cytomegalovirus, Dipyridodiazepinone (B1 -RG -587) ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ในระหว่างการ ประเมินผล
๑.๒ สารยับยั้งมิให้เชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ ยังอยู่ในขั้นการประเมินผลได้แก่ soluble CD4 โมเลกุล, dextran sulfate และ Carbomethoxy carbonyl-pyrolyl-phenalamine esters (CPFs)
๑.๓ สารยับยั้งเอนไซม์โปรติเนส (Proteinase inhibitor) ซึ่งจะทำให้อนุภาคไวรัสใหม่ที่ได้ไม่สมบูรณ์ ยาที่กำลังประเมินผลในกลุ่มนี้ ได้แก่ Castanospermine และ 1 - deoxy-nojirimycin (N - butyl - DNJ) ปัจจุบันนี้ได้เริ่มนำมาใช้แล้ว
๑.๔ สารยับยั้งการถอดและแปลรหัสบนยีนของเชื้อเอชไอวี ได้แก่ Ribozyme, antisense molecules และการทำ gene therapy ทั้งหมดยังอยู่ในขั้นการพัฒนา และวิจัย
๒. สารปรับปรุงระบบอิมมูน ได้แก่
๒.๑ อินเตอร์เฟอรอน
๒.๒ อินเตอร์ลิวคิน-๒, อินเตอร์ลิวคิน -๑๐
๒.๓ อิมูไธออล หรือ DTC ๒.๔ อิมเร็ก -๑ เป็นต้น
ได้มีรายงานการใช้ยา AZT ในมารดาติด เชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ว่า ได้ผลดี ในการป้องกันการแพร่เชื้อ จากมารดาไปสู่ทารก ขณะนี้ได้เริ่มใช้กันในบางประเทศแล้ว
วัคซีน
วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้มีการพัฒนา และประเมินผลมาเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี ในแง่ความปลอดภัย และการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน ทั้งแบบเซลล์และแอนบอดี มีวัคซีนหลายชนิด ที่ทำการประเมินผล ในคนกลุ่มเล็กไปแล้ว ให้ผลดีทั้งในแง่ความปลอดภัย และการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในผู้ได้รับวัคซีน แต่ยังไม่มีการประเมินผลของวัคซีนเหล่านี้ ในกลุ่มประชากรกลุ่มใหญ่ ที่มีอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูง จึงยังไม่ทราบว่า วัคซีนเหล่านี้จะได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อหรือไม่
วัคซีนการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้
๑) ก่อให้เกิดแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ไวรัส (neutralizing) ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้ทุกสายพันธุ์ที่ระบาดในโลก
๒) ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันทั้งแบบเซลล์และแอนติบอดีตอบสนองต่อเซลล์ติดเชื้อเอชไอวี
๓) ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันที่สามารถกำจัดเซลล์ที่มีเชื้อเอชไอวีแอบแฝง
๔) ไม่กระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีชนิดเอนฮานซิง (enhancing) ที่กลับจะทำให้มีการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
๕) ไม่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันชนิดที่ทำลายเซลล์ของตัวเอง (autoimmune response)
๖) ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ (local immunity) ตรงตำแหน่งที่เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เป็นทางเข้าของเชื้อเอชไอวี
๗) ปลอดภัย
๘) ภูมิคุ้มกันที่เกิดอยู่ได้นาน
วัคซีนที่ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และได้มีการทดสอบระยะที่ ๑ และ ๒ ในอาสาสมัครทีติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ เอชไอวี ได้แก่
๑. โปรตีนส่วน envelope (rgp160) ที่ถูกผลิตโดยวิธีพันธุวิศวกรรม ใช้ไวรัสเอชไอวี -๑ (HIV-1)
๒. Vaccinia virus ที่มียีน envelope ของเอชไอวีอยู่ เป็น recombinant virus ใช้ไวรัส สายพันธุ์แอลเอวี (LAV)
๓. การใช้ rgp 160 และ vaccinia recombinant env HIV-1 ร่วมกันในการทดสอบ ในอาสาสมัครที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี
๔. โปรตีน envelop (gp 120) ผลิต โดยวิธีพันธุวิศวกรรมจากเซลล์ของยีสต์ใช้ไวรัส สายพันธุ์เอสเอฟ ๒ (SF2)
๕. โปรตีน envelope ส่วน gp 120 ผลิตโดยวิธีพันธุวิศวกรรมในเซลล์ของ Chinese hamster ovary ใช้ไวรัสสายพันธุ์เอสเอฟ ๒ (SF2)
๖. โปรตีน envelope ส่วน gp 160 ผลิตโดยวิธีพันธุวิศวกรรมจาก Vero cells โดยใช้ Vaccinia virus เป็นพาหะนำยีน vector ใช้ไวรัส สายพันธุ์ IIIB
๗. โปรตีน envelope ส่วน gp 120 ผลิตโดยวิธีพันธุวิศวกรรมจากเซลล์ของ Chinese hamster ovary ใช้ไวรัสสายพันธุ์ IIIB, MN และ
๘. โปรตีนสังเคราะห์ ส่วน p17 (HGP- 30) ใช้ไวรัสสายพันธุ์ IIIB
๙. อนุภาคที่คล้ายไวรัสและมีแอนติเจน p 24 (Ty-p24 virus like particle) ใช้ไวรัสสายพันธุ์ IIIB
๑๐. Vaccinia virus ที่มียีนของ envelope (gp 160) ใช้ฉีดครั้งแรกและฉีดกระตุ้นด้วยโปรตีน สังเคราะห์ ไวรัสสายพันธุ์ที่ใช้คือ IIIB
๑๑. โปรตีน gp160 ผลิตโดยวิธีพันธุ- วิศวกรรม จากเซลล์ BHK-21ใช้ฉีดครั้งแรก และกระตุ้นด้วยโปรตีนสังเคราะห์ ส่วน V3 ใช้ ไวรัสสายพันธุ์ MN/BRU
๑๒. Canarypox virus ที่มียีน gp 160 ของไวรัสสายพันธุ์ MN/BRU อยู่ ใช้ฉีดครั้ง แรกและกระตุ้นด้วยโปรตีน gp 160 จากไวรัส สายพันธุ์ MN/BRU ที่ผลิตในเซลล์ BHK-21
๑๓. เซลล์เม็ดเลือดขาวของอาสาสมัครที่ ติดเชื้อ vaccina virus ที่มียีน gp160 สายพันธุ์ IIIB อยู่ ใช้ฉีดครั้งแรกและกระตุ้นด้วยแอนติเจนของ เอชไอวี (HIV-๑)
๑๔. ไวรัสเอชไอวีที่ไม่มียีนสำหรับส่วน gp 120 ถูกทำให้หมดฤทธิ์ ด้วย B-propriolactone และ Co-60 ใช้ไวรัสสายพันธุ์ H2-321
๑๕. โปรตีนสังเคราะห์ส่วน V3 ของ gp120 ที่เป็นจำนวน ๘ โมเลกุล (octameric) โดยการ เชื่อมของกรดอะมิโน lysine มีทั้งที่ใช้ไวรัสสาย พันธุ์ MN (monovalent) และแบบที่มีสายพันธุ์ อื่นๆ (multivalent) ผสมกัน
ประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็น ๑ ใน ๔ ประเทศทั่วโลก ที่จะได้ทดลองวัคซีนป้องกัน เอชไอวี โดยการสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก ขณะนี้วัคซีนที่ได้มาทดลองในคนไทย ได้แก่ วัคซีนของบริษัท UBI และ Genentech ซึ่งตรงกับชนิดของวัคซีนในข้อที่ ๗ และ ๑๕