เล่มที่ 22
ภาษาศาสตร์
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
            ในระดับคำ นักภาษาศาสตร์ศึกษาถึงธรรมชาติของคำในแง่ของโครงสร้างความหมาย และกระบวนการการสร้างคำใหม่ในภาษา สำหรับนักภาษาศาสตร์คำประกอบขึ้นด้วยส่วนแยกย่อยที่เรียกว่า "หน่วยคำ" (morpheme) คำๆ หนึ่งอาจประกอบขึ้นด้วยหน่วยคำเพียง ๑ หน่วย หรือหลายหน่วยก็ได้ "หน่วยคำ" ต่างจากพยางค์ตรงที่หน่วยคำอาจประกอบขึ้นด้วยเสียงเพียง ๑ เสียง หรือมากกว่าก็ได้ และมักมีความหมายหรือหน้าที่ด้วย เช่น ฝัน จมูก สภาวะ ต่าง เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย ๑ หน่วยคำเท่านั้น เราไม่แยก "จะ" และ "มูก" ออกเป็น ๒ หน่วยคำ หรือแยก "สภาวะ" เป็น ๓ หน่วยคำ เพราะเมื่อแยกแล้วแต่ละหน่วยจะไม่มีหน้าที่หรือความหมายในตัวเอง ส่วนคำว่า "อคติ" "นักเรียน" "ภาษาศาสตร์" ล้วนประกอบขึ้นด้วย ๒ หน่วยคำ คือ อ + คติ, นัก + เรียน, ภาษา + ศาสตร์ แต่ละหน่วยมีทั้งรูปและความหมาย การวิเคราะห์คำในลักษณะนี้ใช้ได้ไม่ดีนักกับภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาคำโดด แต่ใช้วิเคราะห์ภาษาที่ใช้วิภัตติปัจจัย เช่น ภาษาอังกฤษได้ดีกว่า ดัง "s" ใน Hewalks home. นับเป็น ๑ หน่วยคำ เพราะ "s" มีความหมายว่า "เป็นเอกพจน์" "เป็นบุรุษที่ ๓" "เป็นปัจจุบันกาล" หรือ happiness มี ๒ หน่วยคำคือ happy และ ness "-ness" มีความหมายแสดงความ "เป็นคำนาม" หน่วยคำประเภทเดียวกันกับ "-ness" เช่น "-ly" "-tion" นี้ เมื่อใช้เติมลงท้ายคำๆ หนึ่งแล้ว จะได้คำใหม่ซึ่งต่างประเภทไป ในภาษาอังกฤษยังมีหน่วยคำอีกประเภทหนึ่งที่ใช้เติมลงหน้าคำ และเมื่อเติมแล้วไม่ทำให้คำเปลี่ยนประเภทไป เพียงแต่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป เช่น im- มีความหมายว่า "ไม่" ใช้เติมหน้าคำ ทำให้คำใหม่มีความหมายตรงกันข้ามกับคำเดิม เช่น mature, balance ถ้าเติมหน่วยคำ "im-" แล้วได้คำใหม่เป็น immature, imbalance

            นักภาษาศาสตร์ได้ใช้ความคิดเกี่ยวกับขอบเขต (รูป) และความหมายของหน่วยคำในทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนี้ จำแนกภาษาในโลกออกเป็น ๔ ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะโครงสร้างของคำ คือ ภาษาคำโดด (isolating languages) ภาษาคำติด (agglutinating languages) ภาษาวิภัตติปัจจัย (inflectional languages) และภาษาคำควบมากพยางค์ (polysynthetic languaes)

            คำในภาษาคำโดดมักเป็นคำที่มีหน่วยคำเดียว มีโครงสร้างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ในภาษาประเภทนี้หน่วยคำมักเป็นคำด้วย หน่วยคำและคำจึงไม่ต่างกัน เราสามารถชี้บอกถึงขอบเขตของหน่วยคำหรือคำได้ง่าย เพราะคำในภาษาประเภทนี้มักไม่เปลี่ยนรูปเมื่อนำไปรวมกับคำอื่นๆ เพื่อประสมเป็นคำใหม่ หรือเป็นประโยค เช่น คำว่า "ลม" กับ "พัด" เมื่อประสมเป็น "พัดลม" รูปคำก็ยังคงเดิม หรือใน            ประโยค "ลมพัดแรง" คำทั้ง ๒ ดังกล่าวก็ยังคงรูปเดิม แสดงว่าคำข้างเคียงไม่มีอิทธิพลต่อเสียงหรือรูปของกันและกันเลย อาจกล่าวได้ว่า ในแง่ของรูป แต่ละคำ "ต่างคำต่างอยู่" ไม่ปะปนกัน ภาษาไทยเราจัดว่าเป็นภาษาคำโดด และภาษาจีนต่างๆ ทั้งจีนกลาง จีนกวางตุ้ง จีนแต้จิ๋ว ฯลฯ ก็จัดเป็นภาษาคำโดดด้วย

            ภาษาคำติดนั้นมีโครงสร้างคำที่ซับซ้อนมากขึ้น คือ คำในภาษามักประกอบขึ้นด้วยหลายหน่วยคำ แต่ละหน่วยคำมีความหมายและขอบเขตที่ชัดเจน เราจึงสามารถแยกคำออกเป็นหน่วยคำต่างๆ ได้โดยไม่ยากนัก แต่รูปของหน่วยคำอาจเปลี่ยนไปได้บ้างตามอิทธิพลของหน่วยคำที่อยู่ติดกัน ดังตัวอย่างจากภาษาเตอร์กิช aldim "ฉันเอาไป" verdim "ฉันให้" ถ้าเราแยกเป็นหน่วยคำ ก็จะได้ ๔ หน่วยคือ al "เอาไป" dim "ฉัน" ver "ให้" dim "ฉัน" จะเห็นว่า "ฉัน" มี ๒ รูป คือ dim และ dium และ aldim นับเป็น ๑ คำ verdim ก็นับเป็น ๑ คำ เพราะสระของคำ ในภาษาเตอร์กิชต้องเป็นสระหน้าเหมือนกัน หรือเป็นสระหลังเหมือนกัน dim และ dim ความจริงเป็นหน่วยคำเดียวกันมีความหมายว่า "ฉัน" แต่ เมื่ออยู่ติดกับหน่วยคำอื่นในคำๆ เดียวกัน ก็ต้องเปลี่ยนเสียงสระให้เข้ากัน ในภาษาเตอร์กิช a และ i นับเป็นสระหลัง i และ d นับเป็นสระหน้า หน่วยคำว่า "ฉัน" จึงมีรูปเป็น "dim" เมื่ออยู่กับหน่วยคำที่ใช้สระหน้า เช่น ใน verdim และ "ฉัน" มีรูปเป็น "dim" เมื่ออยู่กับหน่วยคำที่ใช้สระหลัง เช่น ใน aldim

คำในภาษาวิภัตติปัจจัยนั้น มักประกอบขึ้นหลายหน่วยคำและมีโครงสร้างซับซ้อน แต่ละหน่วยมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน เราไม่สามารถแยกหน่วยคำได้ง่ายๆ เหมือนในภาษา ๒ ประเภทที่กล่าวมาแล้ว ที่สำคัญหน่วยคำแต่ละหน่วยยังมีความหมายได้หลายอย่างด้วย ดังตัวอย่างจากภาษาละติน
     
๑.         Amicus     bonus     puellae     beatae     placet
               เพื่อน       ดี              เด็กหญิง    สุขใจ        เอาใจ
              "เพื่อนดี เอาใจเด็กหญิงผู้สุขใจ"
 
๒.        Puella          beata     amicis     bonis     placet
               เด็กหญิง      สุขใจ       เพื่อน        ดี           เอาใจ
                "เด็กหญิงผู้สุขใจ เอาใจเพื่อนที่ดี"

            จากตัวอย่างข้างบนนี้ เห็นได้ว่า แม้เราจะทราบความหมายของแต่ละคำ แต่เราไม่สามารถแยกหน่วยคำแต่ละหน่วยออกมาได้ง่ายๆ เพราะรูปของคำเปลี่ยนไปตามหน้าที่ในประโยค คำว่า "เพื่อน" และ "เด็กหญิง" เมื่อทำหน้าที่เป็น "ประธาน" ของประโยค มีรูปที่ต่างไปจากเมื่อทำหน้าที่ เป็น "กรรม" ในทำนองเดียวกัน คำว่า "ดี" "สุขใจ" ก็มีรูปต่างกันไป เมื่อขยายคำที่ทำหน้าที่เป็น "ประธาน" และเป็น "กรรม" ของประโยค และคำกริยา placet "เอาใจ" นอกจากความหมายประจำแล้วยังมีความหมายว่าเป็น "บุรุษที่ ๓" และ "ปัจจุบันกาล" ด้วย ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต ก็จัดว่า เป็นภาษาวิภัตติปัจจัยด้วย

            คำในภาษาคำควบมากพยางค์มีโครงสร้างที่ ซับซ้อนมาก คือ ๑ คำอาจมีได้หลายหน่วยคำและ แต่ละหน่วยคำมีทั้งรูปและความหมายของตัวเอง ดังนั้นรูปและความหมายของคำในภาษาคำควบ มากพยางค์จึงซับซ้อนมาก แต่เราสามารถแยก ขอบเขตของหน่วยคำในภาษานี้ได้ไม่ยากนัก เพราะ หน่วยคำบางหน่วยมีความหมายและรูปเหมือนกับ คำที่เกิดแยกโดยลำพังได้ โดยสรุปก็คือ คำในภาษา คำควบมากพยางค์นี้มีโครงสร้างและความหมาย ซับซ้อน แต่เราก็สามารถแยกคำออกเป็นหน่วยคำ ได้ง่ายกว่าภาษาวิภัตติปัจจัย ภาษาอินเดียนแดง และภาษาเอสกิโม จัดเป็นภาษาคำควบมากพยางค์

            นอกจากศึกษาองค์ประกอบของคำแล้ว นักภาษาศาสตร์ยังวิเคราะห์ถึงกระบวนการสร้าง คำในภาษาด้วย กระบวนการที่พบมากที่สุดในภาษาต่างๆ ก็คือ การประสมคำ ซึ่งเกิดจากการนำ คำหนึ่งไปประสมรวมกับอีกคำหนึ่ง และได้เป็น คำใหม่ขึ้นมาใช้ในภาษา เมื่อศึกษาถึงคำประสม นักภาษาศาสตร์จะพิจารณาว่า คำประสมประกอบ ขึ้นด้วยคำประเภทใดบ้าง และเมื่อรวมกันเป็นคำ ใหม่คำเดียวแล้ว คำประสมเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ เป็นคำประเภทใดได้บ้าง

            ในภาษาไทยมีการสร้างคำอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า การซ้ำเสียง เกิดจากการนำคำๆ หนึ่งมาออกเสียง ซ้ำเป็น ๒ ครั้ง และเกิดเป็นคำใหม่ที่มีความ หมายต่างไป เช่น "ขาว" ซ้ำเสียงเป็น "ขาวๆ" "ดี" ซ้ำเสียงเป็น "ดีๆ" "รวม" เป็น "รวมๆ" ซึ่งคำใหม่ที่มี ๒ พยางค์นี้มีความหมายต่างไป การซ้ำเสียงนี้มีทั้งที่ซ้ำเหมือนกันทุกเสียง ดังตัวอย่างที่ ยกมาแล้วนี้ และซ้ำเพียงบางเสียง เช่น "ขาว" เป็น "ค้าวขาว" "เหนื่อย" เป็น "เนื้อยเหนื้อย" ใน ตัวอย่างหลังนี้ พยางค์ที่เกิดจากการซ้ำเสียงมีเสียง วรรณยุกต์ที่ต่างไปจากคำเดิม และคำใหม่ที่มี ๒ พยางค์ ก็มีความหมายต่างไปจากคำเดิมที่มีพยางค์ เดียว การศึกษาถึงโครงสร้างของคำ หน่วยคำ และการประกอบคำในทำนองนี้ ในทางภาษา- ศาสตร์เรียกว่า เป็นการศึกษาระบบคำ (morphology)

            ในระดับคำ นักภาษาศาสตร์แบ่งความหมายออกเป็น ๒ ประเภท คือ ความหมายทางไวยากรณ์และความหมายอ้างอิง ความหมายทางไวยากรณ์เกิดจากความสัมพันธ์เชื่อมโยงในตัวภาษาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอก เช่น ความหมายของคำว่า "อาจ" "แต่" "และ" "หรือ" ไม่เกี่ยวโยงถึงโลกรอบๆ ตัว "อาจ" เป็นความหมายซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอน แสดงถึงความขัดแย้ง "แต่""และ" แสดงถึงการเพิ่มเติม "หรือ" แสดงถึงการให้เลือก ฯลฯ ส่วนความหมายอ้างอิง เป็นความหมายที่เกี่ยวข้องกับโลกรอบๆ ตัว เช่น คำว่า "น้ำ ต้นไม้ บ้าน ความรัก ไกล ชอบ" ล้วนมีความหมายที่เราอ้างอิงถึงได้ในสังคมโลก คำประเภทมีความหมายแบบอ้างอิงเป็นคำส่วนใหญ่ของภาษาที่มีจำนวนมาก เราไม่อาจนับได้ครบถ้วน ส่วนคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์นั้นมีจำนวนน้อย เราสามารถนับจำนวนได้ เป็นต้นว่า คำบุพบท คำสันธาน ในแต่ละภาษาจะมีจำนวนไม่มาก

            ความหมายของคำในกลุ่มที่มีความหมายแบบอ้างอิงมีหลายแบบ แตกต่างกันไป คำบางคำมีความหมายกว้างและครอบคลุมรวมถึงความหมายของคำอื่นๆ ด้วย เป็นต้นว่า คำ "สัตว์" รวมความหมายของคำว่า "นก" "สุนัข" "ม้า" ไว้ด้วย คำบางคำมีความหมายที่เป็นรูปธรรมเฉพาะเจาะจงมาก และเราสามารถชี้ถึงสิ่งที่อ้างอิงได้ทันที เช่น ชื่อเฉพาะ แต่ความหมายของคำบางคำก็เป็นนามธรรมมาก เราไม่สามารถชี้ไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เช่น "ความดี" "ความอดทน" นอกจากนี้ความหมายของคำต่างๆ ยังมีความสัมพันธ์กันแบบ เกาะกลุ่มด้วย เช่น ความหมายของ "วันจันทร์" ย่อมสัมพันธ์กับ วันอาทิตย์ วันอังคาร และวันอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน คำบอกชื่อเดือน ชื่อสี และคำลำดับญาติ เช่น พ่อ แม่ ลูก หลาน ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ก็เช่นเดียวกัน นักภาษาศาสตร์ศึกษาถึงธรรมชาติของการเกาะกลุ่มกันของคำในภาษาไว้ว่ามี ๔ ประเภทใหญ่ คือ

            ๑. การเกาะกลุ่มของคำในลักษณะเดียวกัน เช่น วันจันทร์-วันอาทิตย์ สีแดง-สีดำ-สีขาว ฯลฯ คำที่มีความหมายตรงข้ามกันก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เช่น สูง-ต่ำ อ้วน-ผอม

            ๒. การเกาะกลุ่มของคำที่นำมาใช้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เช่น พริก-มะนาว-น้ำปลา ขนมปัง-สังขยา-เนย ฝนตก-รถติด

            ๓. การเกาะกลุ่มของคำที่มีความหมายกว้างกว่ากับคำที่มีความหมาย แคบกว่า เช่น สัตว์-สุนัข อาหาร-แป้ง-ข้าว

            ๔. การเกาะกลุ่มของคำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น รับประทาน-ทาน-กิน

            มีนักภาษาศาสตร์ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ความหมายที่เรียกว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบ (Componential analysis) เพื่อศึกษาถึงความเหมือนและความต่างของกลุ่มคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน

บ้าน ทาวส์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม ตึกแถว
ลักษณะความหมาย
"เป็นที่อยู่อาศัย" + + + +
"เป็นหน่วยทางการก่อสร้าง" + + + +
"เป็นสิ่งก่อสร้างแยกเดี๋ยว" + - - -
"เป็นสิ่งก่อสร้างหน่วยหนึ่งในหลาย ๆ หน่วย มีหลังคาแยกส่วน" - + - -
"เป็นสิ่งก่อสร้างในอาคารสูงกว่า๕ ชั้น" - - + -
"เป็นสิ่งก่อสร้างต่อเนื่องเป็นแถวยาวแยกเป็นห้อง ๆ" - - - +

            ในการวิเคราะห์ความหมายแบบนี้ "ลักษณะทางความหมาย" ของคำแยกเป็นส่วนๆ ดังตัวอย่างข้างบนนี้ คำทั้ง ๔ มีความหมายเหมือนกัน ๒ ประการ คือ "เป็นที่อยู่อาศัย" และ "เป็นหน่วยทางการก่อสร้าง" ส่วนลักษณะความหมายอื่นๆ เป็นความแตกต่างของแต่ละคำ