ชนิดของไข้ออกผื่น
ไข้ออกผื่นที่สำคัญจะกล่าวในรายละเอียดเป็นรายโรค ดังนี้
๑. โรคอีสุกอีใส และงูสวัด (Varicella and Herpes zoster)
สาเหตุและการติดต่อ
โรคอีสุกอีใสและงูสวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลา (varicella) ไวรัสชนิดนี้ก่อโรคในมนุษย์เท่านั้น การติดเชื้อครั้งแรกทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส หลังจากนั้นเชื้อนี้จะซ่อนอยู่ในร่างกาย และถูกกระตุ้นให้ออกมาก่อโรคใหม่เป็นโรคงูสวัด โรคอีสุกอีใสติดต่อโดยละอองฝอยของน้ำลาย หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใสหรือโรคงูสวัด ส่วนโรคงูสวัด มิได้เกิดจากการรับเชื้อภายนอก แต่เกิดจากเชื้อที่ซ่อนอยู่ภายในถูกกระตุ้นให้ออกมาก่อโรค เชื้อโรคอีสุกอีใสแพร่ได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน หรืออยู่ในห้องเดียวกัน โดยผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนมีผื่นขึ้น ๑-๒ วัน จนตุ่มแห้งเป็นสะเก็ด ส่วนผู้ป่วยเป็นโรคงูสวัดสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยการสัมผัสกับตุ่มหรือแผลที่ผู้ป่วยเป็น โรคอีสุกอีใสมักพบในเด็ก แต่โรคงูสวัดมักพบในผู้สูงอายุ
อาการและการดำเนินโรค
ในผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันของโรคนี้ เมื่อได้รับเชื้อโรคอีสุกอีใสแล้ว ประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ ก็จะเริ่มเกิดอาการ ได้แก่ ไข้ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร จากนั้นอีก ๑-๒ วัน จึงปรากฏลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง และกลายเป็นตุ่มน้ำใสผนังบาง ต่อมา จึงกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วแตกออกและแห้งเป็นสะเก็ดในเวลาประมาณ ๓-๔ วัน โดยจะพบผื่นได้หลายระยะในช่วงเวลาเดียวกัน ผื่นจะหนาแน่นบริเวณใบหน้าและลำตัว
ผู้ป่วยมักมีอาการคันที่ผื่นเล็กน้อย อาจพบตุ่มน้ำหรือแผลบริเวณเยื่อบุต่างๆ ได้แก่ ในปาก ตา คอหอย และช่องคลอด ตุ่มใหม่ๆ จะเกิดขึ้นประมาณ ๕-๗ วัน จากนั้นผื่นก็จะค่อยๆ หายไปโดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมที่ผิวหนัง
ผื่นของโรคอีสุกอีใส เป็นตุ่มนูนแดง (บน) ต่อมาเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นหนอง (ล่าง)
เด็กที่เป็นโรคนี้มักมีอาการไม่มาก อาจมีตุ่มขึ้นประมาณ ๒๕๐-๕๐๐ ตุ่ม ไม่ค่อยมีไข้ ส่วนใหญ่มักวิ่งเล่นได้ รับประทานได้ แม้ว่า ตุ่มกำลังขึ้น แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำจากสาเหตุต่างๆ เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็งและได้รับยาเคมีบำบัด หรือในทารกแรกเกิด อาจมีอาการรุนแรงมากได้ และอาจมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก ในผู้ใหญ่ที่เป็นอีสุกอีใสจะมีอาการรุนแรงกว่าเด็ก
แม้ว่าโดยทั่วไปอาการของโรคอีสุกอีใสจะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่บางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ทำให้เกิดอาการ ที่รุนแรงได้ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมบนผื่นที่ผิวหนัง ทำให้เป็นฝีหนอง ติดเชื้อในกระแสเลือด กระดูกอักเสบ หรือปอดอักเสบได้ การติดเชื้อมักจะเกิดจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococus aureus) หรือเชื้อสเตร็ปโทค็อกคัส ไพโอจีเนส (Streptococcus pyogenes) นอกจากนี้ เชื้ออีสุกอีใสอาจรุกรานเข้าสู่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ทำให้เกิดปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือสมองอักเสบ ซึ่งมักพบในกรณีของผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคต่ำมาก เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว จะเกิดภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ตลอดไป จึงไม่มีใครเป็นโรคนี้ซ้ำอีก แม้จะมีไวรัสบางส่วนหลบซ่อนตัว อยู่ในบริเวณปมประสาทของไขสันหลัง แต่ไม่มีอาการใดๆ นอกจากเมื่อร่างกายมีภาวะอ่อนแอจากเหตุต่างๆ เชื้อที่ซ่อนอยู่ ก็จะถูกกระตุ้นให้ก่อโรคงูสวัด ผื่นของโรคงูสวัดจะมีลักษณะคล้ายผื่นของโรคอีสุกอีใส แต่จะเกิดเฉพาะบริเวณที่เส้นประสาท ของปมประสาทนั้นแผ่ไป ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะปมประสาทที่สันหลังจะมี ๒ ข้าง และแต่ละข้างจะมีเส้นประสาทแผ่ไปถึง เพียงกึ่งกลางของร่างกาย ดังนั้น โรคงูสวัดจึงเกิดบนร่างกายเพียงข้างเดียว
คำกล่าวของคนในสมัยก่อนที่ว่า ถ้าเป็นงูสวัดรอบตัวจะทำให้เสียชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะการเกิดงูสวัดจากปมประสาท ๒ ข้างที่ระดับเดียวกันของร่างกายในเวลาเดียวกันมีโอกาสเกิดได้น้อยมาก
งูสวัดที่เกิดบริเวณต้นขา (บน) และลำตัว (ล่าง)
การรักษา
การรักษาโรคอีสุกอีใส ประกอบด้วย การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ได้แก่ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือยาในกลุ่มเดียวกัน ยานี้ควรให้ผู้ป่วย เพื่อให้หายเร็วขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง ได้แก่ ทารก ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่มีอาการรุนแรง ควรให้ยาภายใน ๒-๓ วันหลังจากที่เริ่มมีอาการป่วย มิฉะนั้นจะไม่ค่อยได้ผล ผู้ป่วยโรคนี้ควรได้รับการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ โดยการให้ยาลดไข้ ซึ่งควรใช้ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากอาการผิดปกติของตับที่เรียกว่า เรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ควรได้รับยาบรรเทาอาการคัน และแนะนำให้รักษาร่างกายให้สะอาด อาบน้ำด้วยสบู่วันละ ๒ ครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง รวมทั้งควรตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณผื่น ส่วนการรักษาโรคงูสวัดจะคล้ายกัน โดยให้ยาอะไซโคลเวียร์ และทำแผลทุกวันด้วยน้ำเกลือสะอาด ใส่ยาฆ่าเชื้อถ้าแผลมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
การป้องกัน
ปัจจุบันโรคอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน วัคซีนอีสุกอีใสทำจากเชื้อไวรัสมีชีวิตที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันการเกิดโรคอีสุกอีใสได้ร้อยละ ๘๐-๙๐ ผู้ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อเป็นโรคจะมีอาการน้อย มีจำนวนตุ่มน้อย วัคซีนนี้ใช้ได้ในเด็กอายุ ๑ ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีด ๒ ครั้ง เมื่อเด็กอายุ ๑ ปี และช่วงอายุ ๔-๖ ปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนชนิดอื่นอยู่แล้ว สำหรับในผู้ใหญ่ควรฉีดวัคซีน ๒ ครั้ง ห่างกัน ๑ เดือน แนะนำให้ฉีดเฉพาะในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ในผู้ใหญ่ ก่อนการฉีดวัคซีนอาจตรวจเลือด เพื่อดูว่า มีภูมิคุ้มกันโรคนี้แล้วหรือยัง โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่ แต่ในเด็ก ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด
ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรค หากสัมผัสหรือเข้าใกล้ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสหรืองูสวัด สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ ด้วยการฉีดวัคซีน ภายใน ๓-๕ วันหลังการสัมผัสผู้เป็นโรค
๒. โรคหัด (Measles or Rubeola)
สาเหตุและการติดต่อ
โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัสมีเซิลส์ (measles) ซึ่งก่อโรคเฉพาะในมนุษย์ เชื้อไวรัสมีเซิลส์อยู่ในน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด สามารถแพร่ได้ง่าย ผู้ป่วยโรคหัด จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในช่วง ๑-๒ วันก่อนแสดงอาการ จนถึง ๔ วันหลังปรากฏอาการผื่นที่ผิวหนัง
ผู้ป่วยโรคหัดมักมีตาแดงช้ำ
อาการและการดำเนินโรค
ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค เมื่อได้รับเชื้อไวรัสนี้ประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ จะมีอาการไข้สูง ตาแดง อาจพบอาการกลัวแสงร่วมด้วย อาจมีอาการน้ำมูกไหล และไอ จากนั้น จะพบผื่นขึ้นในปาก บริเวณกระพุ้งแก้มที่เรียกว่า จุดค็อปลิก (Koplik’s spot) หลังมีไข้ประมาณ ๒-๔ วัน จะเริ่มปรากฏผื่นที่ผิวหนัง เป็นจุดสีแดง โดยเริ่มปรากฏจากบริเวณไรผม หน้าผาก และหลังหูก่อน แล้วจึงกระจายไปบริเวณคอ ลำตัว แล้วกระจายต่อไปยังแขนและขา โดยผื่นจะหนาแน่นที่บริเวณใบหน้าและคอ
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงสุดในช่วงวันที่ ๕-๖ ของการเป็นโรค ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับผื่นขึ้นมากสุดจนถึงขา หลังจากนั้นไข้จะลดลง เมื่อใกล้หาย ผื่นแดงจะเริ่มมีสีคล้ำ กลายเป็นรอยสีน้ำตาลอยู่เป็นสัปดาห์ และอาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น
ผื่นโรคหัดบริเวณคอ
ในระยะที่มีไข้ ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลีย รับประทานได้น้อย ถ้าเป็นเด็กเล็ก หรือเด็กที่ขาดสารอาหาร และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุต่างๆ จะมีอาการหนักมาก และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสหัดแพร่กระจายไปยังปอด สมอง และอวัยวะอื่นๆ รวมทั้ง อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจเสียชีวิตได้