เล่มที่ 5
พืชหัว
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
มันเทศ

            มันเทศเป็นพืชที่เป็นเถาเลื้อยราบไปบนพื้น ดิน มีรากสะสมอาหารขยายใหญ่เรียกว่าหัว หัวมัน เทศมีคุณประโยชน์มาก เพราะใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เราใช้มันเทศปรุงอาหารได้ทั้ง คาวหวาน อาหารคาวได้แก่ แกงเลียง แกงคั่ว แกงกะหรี่ และแกงมัสมั่น เป็นต้น อาหารหวาน ได้แก่ มันเทศต้มน้ำตาล มันเทศแกงบวด มันเทศ ทอด มันเทศเชื่อม มันเทศกวน มันเทศฉาบ มันเทศรังนก และมันเทศเผา เป็นต้น หัวมันเทศ มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง จึงใช้รับประทานแทนข้าวได้ นอกจากเป็นอาหารของมนุษย์แล้ว มันเทศ ยังใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์ได้อีกด้วย เช่น เป็น อาหารหมู อาหารวัว และอาหารแพะ เป็นต้น มันเทศใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ทั้งหัว เถา และใบ ทั้ง ยังเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมได้หลายอย่าง เช่น ใช้ทำแป้ง ทำอัลกอฮอล์ ทำเหล้า และทำน้ำส้ม

มันเทศเป็นพืชที่เป็นเถาเลื้อย

            มันเทศเป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญอันดับที่ ๕ ของโลกรองจากข้าวสาลี ข้าวเจ้า ข้าวโพด และมันฝรั่ง ในประเทศไทยเราแม้จะปลูกมันเทศกันทั่วๆ ไป แต่ไม่ใคร่เป็นล่ำเป็นสันเท่าใดนัก เพราะเรามีข้าวเจ้าเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว

            มันเทศนับว่าเป็นพืชที่เหมาะกับดินฟ้าอากาศของประเทศไทยอย่างยิ่ง เพราะสามารถเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตของหัวค่อนข้างสูง มันเทศ ปลูกได้ปีละ ๒ ครั้ง คือ ในฤดูฝนตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนมิถุนายน และอีกครั้งหนึ่งหลังฤดูฝน คือ ในราวเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน การปลูกมันเทศก็เริ่มจากการเตรียมดินไถและพรวน ๒-๓ ครั้ง เสร็จแล้วยกร่องห่างกันประมาณ ๑ เมตร ความสูงของร่องประมาณ ๕๐ เซนติเมตร แล้วตัดเถามันเทศยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ฝังลงไปบน สันร่อง ห่างกันประมาณ ๕๐ เซนติเมตร จากนั้นก็พรวนดิน และกำจัดวัชพืช ถ้าไม่ได้ปลูกในฤดูฝน ก็ต้องคอยรดน้ำ มันเทศจะทอดยอดงอกงาม เมื่อคอยต่อไป ๙๐-๑๕๐ วัน หัวมันเทศก็จะแก่และขุดได้

มันเทศเป็นพืชที่เป็นเถาเลื้อย 

            ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผลิตมันเทศได้รวมกัน ๑๓๓ ล้านตัน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนผลิตได้มากที่สุด คือ ผลิตได้ ๑๑๑ ล้านตัน บราซิล ๒.๓ ล้านตัน อินโดนีเซีย ๒.๑ ล้านตัน ญี่ปุ่น ๒ ล้านตัน สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๖ ล้านตัน สำหรับประเทศไทยในปีเดียวกันผลิตมันเทศเพียง ๒ แสน ๘ หมื่นตันเท่านั้น

            ประเทศไทยเรา มันเทศสามารถขึ้นงอกงามได้ทั่วทุกภาค ภาคกลางผลิตมันเทศได้มากที่สุด ภาคเหนือได้น้อยที่สุด ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ประมาณ ๑ ตันเศษ จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่ปลูก และผลผลิตสูงสุดในประเทศ รายละเอียด เกี่ยวกับเนื้อที่ปลูก ผลผลิต ผลผลิตต่อไร่เป็นราย ภาค และรายจังหวัด ดังแสดงในตารางต่อไปนี้


ตารางแสดงเนื้อที่ปลูก และผลผลิตมันเทศรายภาค ปี พ.ศ. ๒๕๑๕

ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร

ตารางแสดงเนื้อที่ปลูก ผลผลิต และผลผลิตเฉลี่ยของมันเทศใน ๑๐ จังหวัด ที่ปลูกมากที่สุดในปี พ.ศ. ๒๕๑๕
ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร

ประวัติความเป็นมาของมันเทศ

            มันเทศมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณเขตร้อนของทวีปอเมริกา แต่มันเทศที่ปลูกกันอยู่ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่า มีวิวัฒนาการ มาจากพืชป่าชนิดใด อย่างไรก็ดีมนุษย์ก็รู้จักปลูกมันเทศมานานนับพันปีแล้ว ในสมัยโบราณนั้นมันเทศ เป็นอาหารหลักของมนุษย์สองเขต คือ พวกอินเดียน ในอเมริกากลาง และบริเวณเทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู พวกอินเดียนทั้งสองแหล่งนี้ปลูกข้าวโพด เพื่อใช้เป็นอาหารหลัก และในขณะเดียวกันก็ปลูกมันเทศด้วย อีกเขตหนึ่ง คือ ชนเผ่าโพลิเนเชียนที่ อาศัยอยู่บนหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และตอนเหนือของเกาะนิวซีแลนด์ เชื่อกันว่า มันเทศที่ชาวโพลิเนเชียนปลูกกันในสมัยก่อนนั้น นำมาจากทวีปอเมริกาในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ หลังจากชาวยุโรปค้นพบทวีปอเมริกา นักสำรวจชาวสเปน ได้นำมันเทศไปสู่ประเทศสเปน จากประเทศสเปน ก็แพร่ต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป

            ทางด้านเอเชีย ต้นมันเทศก็ถูกนำมายังอินเดีย ฟิลิปินส์ จีน และญี่ปุ่น โดยนักสำรวจ สเปน และโปรตุเกส สำหรับประเทศไทยไม่มีหลักฐานบันทึกว่า ได้มีการนำมันเทศเข้ามาปลูกในสมัยใด แต่เข้าใจกันว่า มีผู้นำมันเทศมาแพร่หลาย ในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะมีเรือสำเภาไปมา ค้าขายระหว่างประเทศจีน พวกจีนคงจะได้นำติดมือมา ตามนิสัยที่ไปอยู่ที่ไหน ก็หาพันธุ์พืชไปปลูกบริโภค ในปัจจุบันมันเทศปลูกกันทั่วไปในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่แหล่งปลูกเป็นจังหวัดในทางภาคกลาง จังหวัดที่ปลูกมาก ได้แก่ นครศรีธรรมราช พระนครศรีอยุธยา สงขลา นครปฐม เพชรบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ ตรัง เลย และปทุมธานี

การจำแนกมันเทศทางพฤกษศาสตร์

มันเทศถูกลำดับทางพฤกษศาสตร์ดังนี้

            วงศ์ (Family) Convolvulaceae
            สกุล (Genus) Ipomoea
            ชนิด (Species) batatas

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

            มันเทศมีชื่อภาษาจีนว่า "ฮวงกั้ว" ชาวพื้นเมืองในอเมริกาใต้ เรียกมันเทศว่า บาตาตาส์ ชาวยุโรปได้เอาสำเนียงชาวพื้นเมืองไปใช้ และเพี้ยนไปเป็น โพเตโต (potato) เนื่องจากมันมี ๒ ชนิด ด้วยกัน คือ ชนิดหวาน และไม่หวาน ชนิดหวาน เรียกว่า สวีทโพเตโต (sweet potato) คือ มันเทศ นั่นเอง ส่วนชนิดไม่หวานเรียกว่า ไอริชโพเตโต (Irish potato) เราเรียกว่า มันฝรั่ง มันเทศมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อิโพเมีย บาตาตาร์ (Ipomoea batatas) และอยู่ในวงศ์คอนโวลวูลาเซีย (Convolvulaceae) พืชที่อยู่วงศ์นี้ จะพบมากในแถบเส้นศูนย์สูตร และภายใต้แถบศูนย์สูตร มีลำต้นเป็นเถา หรือเป็นพุ่ม ตั้งตรง และมีจำนวนน้อย ที่เป็นประเภทไม้ยืนต้น พืชพวกนี้อาจเจริญในที่แห้งแล้ง ในน้ำ และอาจเป็นพวกตัวเบียน (parasite) โดยทั่วไปแล้วเมื่อใบหรือลำต้นเป็นแผล พืชในวงศ์นี้จะให้น้ำยางสีขาว

            สกุลที่สำคัญที่สุดของวงศ์คอนโวลวูลาเซียคือ อิโพเมีย ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๔๐๐ ชนิด แต่มีมันเทศเป็นพืชปลูกเพียงชนิดเดียว ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยทั่วไปแล้ว สกุลอิโพเมีย เป็นพืชที่มีเถาพันคดเคี้ยวไปมา หรือเลื้อยราบไปบนพื้นดิน และมีจำนวนน้อยที่เป็นพุ่มตั้งตรง

            ราก มันเทศมีระบบรากแบบรากฝอย ซึ่งเกิดจากข้อของลำต้นที่ใช้ปลูก หรือเกิดจากลำต้น ที่ทอดไปตามพื้นดิน รากมันเทศจะเป็นที่สะสม อาหารและใช้รับประทานได้

            ใบ เป็นแบบใบเดี่ยว เกิดสลับกันบนข้อของลำต้น มีขนาดและรูปร่างต่างกัน ความแตกต่างของใบนั้นมิใช่เกิดจากพันธุ์เท่านั้น แม้แต่ในต้นเดียวกันก็อาจมีรูปร่างแตกต่างกันได้ บางใบมีขอบใบเรียบ บางใบมีใบเป็นแฉก และบางใบมีรูปร่างคล้ายหัวใจ เป็นต้น ใบมีขนเล็กน้อย และมักจะมีสีม่วงอยู่ตามเส้นใบ ก้านใบอาจจะยาวหรือสั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์นั้นๆ

            ดอก มันเทศที่ปลูกในเขตอบอุ่นมักไม่ออกดอก ส่วนการปลูกในเขตร้อนจะออกดอก แต่มักไม่ติดเมล็ด ดอกเกิดตามมุมของใบ มีก้านช่อดอก (peduncle) แข็งแรง ซึ่งมักจะยาวกว่าก้านใบ ดอกมีกลีบเลี้ยง (sepal) ๕ กลีบ ซึ่งโดยปกติ จะแยกเป็นอิสระซึ่งกันและกัน หรืออาจเชื่อมติดกันที่โคน กลีบดอก (petal) มี ๕ กลีบ กลีบดอกเหล่านั้นจะเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย (corolla tube) มีลักษณะคล้ายดอกผักบุ้ง กลีบดอกมีสีชมพูปนม่วง มีเกสรตัวผู้ (stamen) ๕ อัน และแยกเป็นอิสระซึ่งกันและกัน ก้านชูอับเกสรตัวผู้เรียกว่า ก้านอับเกสร มีความยาวไม่เท่ากัน และเชื่อมติดอยู่กับฐาน ของกลีบดอก รังไข่ มี ๒ ส่วน บางดอกอาจจะมี ๔ ส่วน แต่ละส่วนจะมีไข่ ๑ หรือ ๒ ที่รับละอองเกสรตัวผู้ (stigma) มี ๒ แฉกอยู่ที่ก้าน (style) เชื่อมติดกับรังไข่

ลักษณะของดอกมันเทศ

            ผล มีเปลือกแข็งหุ้ม มีลักษณะเป็นแคปซูล (capsule) ภายในเปลือกแข็งมีเมล็ดเล็กสีดำค่อนข้างแบน ด้านหนึ่งของเมล็ดเรียบ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเหลี่ยม ทางด้านเรียบจะเห็นรอยที่เมล็ดติดกับผนังรังไข่เรียกว่า ไฮลัม (hilum) และมีรูเล็กๆ เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle) เปลือกของเมล็ดค่อนข้างหนา และน้ำซึมผ่านได้ยาก

ลักษณะของหัวมันเทศ ซึ่งได้จากการสะสมอาหารในราก

            หัว มันเทศลงหัวในระดับความลึกไม่เกิน ๙ นิ้ว หัวมันเทศเกิดจากการขยายตัวของราก ซึ่งเนื้อเยื่อภายในรากที่เรียกว่า พาเรนไคมา (parenchyma) เป็นส่วนที่สะสมแป้ง รากที่ขยายตัวเป็นหัวขึ้นมา อาจเกิดจากรากของลำต้นที่ใช้ปลูก หรือจากรากที่เกิดจากข้อของลำต้นที่เลื้อยไปตามดินก็ได้ ดังนั้นมันเทศต้นหนึ่งๆ อาจมีหัวมากกว่า ๕๐ หัว ลักษณะหัวส่วนมากมีรูปร่างทรงกระบอก ด้านหัวท้ายเรียว ตรงกลางป่องออก สีผิวของหัวและสีของเนื้ออาจจะเป็นสีแดง เหลือง ขาว หรือสีนวล แตกต่างกันไปตามพันธุ์ ผิวอาจจะเรียบหรือขรุขระ และมักจะมีรากแขนงเกิดในร่องของหัว หัวมันเทศนอกจากจะให้อาหารจำพวกแป้งแล้ว ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามิน เอ (โดยเฉพาะหัวที่มีสีเหลือง) วิตามินบีและซีอีกด้วย

พันธุ์

พันธุ์มันเทศอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ พวก ตามอายุ

            ๑. พันธุ์เบา อายุประมาณ ๙๐ วันหลังจากปลูกจนถึงเก็บหัว เช่น พันธุ์กัวเตมาลา พม. ๐๒ นส. ๒๕ และโนนนาด เป็นต้น

            ๒. พันธุ์กลาง อายุประมาณ ๑๒๐ วัน หลังจากปลูกถึงเก็บหัว เช่น พันธุ์ห้วยสีทน ๑ ไทจุง หัวโตแดง โอกุต และหัวโตขาว เป็นต้น

            ๓. พันธุ์หนัก อายุประมาณ ๑๕๐ วัน หลังจากปลูกถึงเก็บหัว เช่น พันธุ์ เซนเทเนียล (Centenial), L 89, L 4-116, L3-64 และโรสเซนเทเนียล (Rose Centenial) เป็นต้น

นอกเหนือจากพันธุ์ต่างๆ ดังกล่าวแล้ว กรมวิชาการเกษตรก็ได้สั่งพันธุ์ต่างๆ จากต่างประเทศ มาทดลองอยู่เรื่อยๆ เพื่อจะได้ศึกษา และทดลองว่า จะมีพันธุ์ใดที่ให้ผลดี และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย จากผลการทดลองได้แนะนำพันธุ์ที่ควรใช้ปลูกในประเทศไทย ๒ พันธุ์ คือ

ลักษณะที่ดีของมันเทศพันธุ์โอกุต

๑. พันธุ์ไทจุง เป็นพันธุ์ที่นำมาจากไต้หวัน เถาไม่เลื้อยมากนัก ลำต้นมีลักษณะคล้ายเป็นพุ่ม ใบเป็นแฉก หัวมีรูปร่างคล้ายรูปไข่ เนื้อในมีสีเหลือง เมื่อต้มหรือนึ่งมีความเหนียวดีไม่เละ เมื่อมีอายุ ๔ เดือน ให้ผลผลิตประมาณ ๓-๔ ตันต่อไร่

๒. พันธุ์ห้วยสีทน ๑ เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการคัดเลือกพันธุ์ ซึ่งได้นำมาจากไต้หวัน พันธุ์นี้มีลักษณะดี คือ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ลักษณะเถาเลื้อยยาว ใบกว้างพอประมาณ ลงหัวเร็ว เนื้อในมีสีแดงอมเหลือง และน่ารับประทานมาก ถ้ารับประทานสดๆ จะมีรสหวาน และอร่อยดี เป็นที่ต้องการของตลาด ให้ผลผลิตประมาณ ๓-๔ ตันต่อไร่

ฤดูปลูก

มันเทศจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ซึ่งมีอากาศ ค่อนข้างร้อน และเป็นพืชที่มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี มันเทศต้องการน้ำฝนเพียงชั่วเวลาระยะแตกยอดและใบ เมื่อทอดยอด และแตกใบโตเต็มที่แล้ว ถึงฝนไม่ตกมันเทศก็ไม่เฉา และจะลงหัว ซึ่งมีขนาดโตดีกว่าฝนตกมากเสียอีก

แปลงปลูกมันเทศของกสิกรที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม

มันเทศสามารถปลูกได้ ๒ ครั้งต่อปี ใน ฤดูฝนการเตรียมดินจะต้องเริ่มหลังจากฝนตกครั้ง แรกในเดือนพฤษภาคม และปลูกโดยเร็วหลังจากเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาที่ปลูกกันส่วนมากในฤดูฝน คือ ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนมิถุนายน การปลูกในฤดูฝนนี้จะเก็บหัวได้ราวเดือนสิงหาคม การปลูกอีกครั้งหนึ่ง คือ หลังฤดูฝนราวเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน การปลูกในฤดูนี้ส่วนมากจะให้ผลผลิตสู้ในฤดูฝนไม่ได้ ในที่ซึ่งมีการชลประทานดีแล้ว จะปลูกมันเทศเมื่อไรก็ได้ เพราะว่ามันเทศเป็นพืชที่ไม่มีความไวต่อช่วงแสง


ลักษณะเถาที่ใช้ปลูก

การเลือกและการเตรียมที่

            มันเทศเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีอาหารพืชบริบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี และเป็นดินเบา ดินที่เหมาะแก่การปลูกมันเทศ คือดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนปนดินเหนียว

หลักการเลือกที่ปลูกมันเทศที่สำคัญ มีดังนี้

            ๑. ถ้าเป็นที่นาควรเลือกที่สูงๆ และระบายน้ำได้ดีในฤดูฝน เพราะการระบายน้ำเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่ถ้าปลูกในฤดูแล้งก็ไม่จำเป็นจะต้องเลือกที่สูงมากนัก เพราะไม่มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ

            ๒. ถ้าเป็นไปได้ ที่นั้นไม่ควรปลูกมันเทศมาก่อน เพราะว่าที่ซึ่งเคยปลูกมันเทศมาก่อนนั้น อาจมีเสี้ยนดิน ซึ่งเป็นแมลงชนิดหนึ่ง ดังนั้นถ้าปลูกมันเทศซ้ำอาจถูกเสี้ยนดินทำลายหัวเสียหายมาก และได้ผลไม่เต็มที่ ทางที่ดีควรปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อกำจัดแมลงชนิดนี้ ให้หมดไปเสียก่อนที่จะปลูกมันเทศต่อไป

            ๓. ในที่ดอน และที่ราบทั่วๆ ไปนั้น ส่วนใหญ่จะปลูกได้เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ส่วนที่ซึ่งอยู่ในเขตการชลประทานสามารถจะปลูกมันเทศได้ตลอดปี แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องระบายน้ำให้ดี

ก่อนปลูกมันเทศ ต้องเตรียมดิน คือ ไถและพรวน ๒-๓ ครั้ง เพื่อกำจัดวัชพืช และทำให้ดินมีสภาพร่วนซุย แล้วจึงปรับระดับเนื้อที่ปลูกให้เรียบสม่ำเสมอกัน เพื่อประโยชน์ในการส่งน้ำ และระบายน้ำ ถ้าหากที่ไม่เรียบสม่ำเสมอจะทำให้การส่งน้ำลำบาก และระบายน้ำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ที่ลุ่มก็จะมีน้ำท่วม ส่วนที่ดอนน้ำขึ้นไม่ถึงก็จะทำให้มันเทศเฉาตายได้ การเตรียมที่จึงมีความสำคัญมาก

            ที่ซึ่งเป็นดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดีนั้น เมื่อเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้ไถเปิดร่อง โดยให้ร่องนั้นอยู่ห่างกัน ๗๕ ถึง ๑๐๐ เซนติเมตร ส่วนในดินหนัก และการระบายน้ำไม่ดีจะต้องยกร่องขึ้นมา โดยให้สันร่องห่างกัน ๗๕ ถึง ๑๐๐ เซนติเมตรเช่นกัน ร่องที่ยกขึ้นมานั้นควรจะเป็นรูปสามเหลี่ยม และฐานของร่องกว้างประมาณ ๗๕-๑๐๐ เซนติเมตร ถ้าหากเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี ก็ปลูกในร่องที่เปิดไว้ ส่วนในดินหนักก็ปลูกบนสันร่องนั้นๆ

การยกร่องเตรียมแปลงปลูกมันเทศมี ๓ วิธีด้วยกัน คือ

            ๑. ใช้แรงคน ใช้จอบขุดดินข้างๆ แปลงให้ขึ้นมาอยู่บนสันร่องโดยให้ร่องสูงประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร และระยะร่องห่างกัน ๑ เมตร การที่ยกร่องสูงนั้น ก็เพื่อให้มันเทศลงหัวได้สะดวก ทั้งนี้เนื่องจากดินที่พูนขึ้นมานั้นร่วนซุยกว่าปกติ วิธีนี้ใช้ได้ผลดี แต่ล่าช้า และเปลืองค่าใช้จ่าย และแรงงานมาก

            ๒. ใช้แรงสัตว์ ใช้วัวหรือควายเทียมติดไถ แล้วไถเวียนซ้ายและขวาประมาณข้างละ ๓ รอบ ขี้ไถก็จะกลับเข้าหากันกลายเป็นร่องสูงประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร และให้สันร่องนั้นอยู่ห่างกัน ๑๐๐ เซนติเมตร

            ๓. ใช้แทรกเตอร์ติดเครื่องยกร่อง ปรับเครื่องยกร่องให้ได้สันร่องอยู่ห่างกัน ๑๐๐ เซนติเมตร การขัดก็ควรเล็งให้ตรงจะได้ร่องสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ตามต้องการ วิธีนี้ทุ่นแรงมาก และสามารถยกร่องได้วันละหลายสิบไร่

วิธีปลูก

            การเตรียมวัสดุปลูกนั้น แตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าจะใช้ส่วนใดปลูก

            การใช้ลำต้น หรือเถาปลูก ส่วนใหญ่ใช้ลำต้นที่แก่หลังจากเก็บหัวแล้วตัดเถาให้ยาวประมาณ ๔๐ เซนติเมตร การใช้เถานี้นิยมใช้ส่วนยอดมากกว่าส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะส่วนยอดนั้นเจริญเติบโต และออกรากรวดเร็ว และนอกจากนั้นยอดส่วนมาก จะไม่เป็นที่อาศัยของแมลงปีกแข็งที่ทำให้หัวมันเทศเป็นแมง

            การใช้หน่อจากหัวกระทำได้โดยคัดเลือกหัวมันเทศที่มีขนาดโต ปราศจากโรคและแมลง ล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำปูน เพื่อกันราไว้ประมาณ ๑ ชั่วโมง เอาหัวมันเทศนั้นลงเพาะแบบนอนในทราย พรมน้ำให้เปียกทิ้งไว้ ๖-๗ วัน จะมีหน่องอกขึ้นมาตามตาของหัว ใช้มีดคมๆ และสะอาดผ่าแบ่งหัวมันเทศออกเป็นซีกๆ แต่ละซีกให้มีหน่อติดอยู่ ๒-๓ หน่อ เพื่อกันเน่าให้เอาปูนแดงที่ใช้กินกับหมาก ทาที่รอยแผลนั้น หรือแช่ลงในน้ำยา บอร์โดซ์มิกซ์เจอร์ (bordeaux mixture) เพื่อป้องกันรา และกันเน่า แล้วเอาซีกมันเหล่านั้นลงปลูกในแปลงเพาะชำ จนออกรากและหน่อขึ้นงามดีแล้วจึงย้ายไปปลูกในไร่

            การเตรียมเถาชำซึ่งมีใบติด ๑ ใบ ในกรณีที่ขาดแคลนเถาสามารถจะใช้วิธีนี้ได้ดี โดยคัดเลือกเถาที่อวบสมบูรณ์ และปราศจากโรคและแมลง ใช้มีดคมตัดเถาออกเป็นท่อนๆ ท่อนหนึ่งมีใบติดเพียง ๑ ใบ แล้วนำไปชำในแปลงเพาะจนออกราก และแตกหน่อดี แล้วจึงย้ายไปปลูกในไร่

            การใช้เมล็ดปลูกเป็นการค้านั้น ไม่นิยม เพราะจะต้องใช้เวลานาน และเสียเวลาปลูกโดยใช่เหตุ การใช้เมล็ดปลูกนั้นจะกระทำก็ต่อเมื่อต้องการผลิตพันธุ์ใหม่ให้มีลักษณะ และคุณภาพดีกว่าพันธุ์เดิม

การปลูกด้วยเถาแบ่งออกได้ ๓ วิธี

            ๑. ปลูกทำมุมประมาณ ๔๕ องศากับพื้นดินฝังเถาลงไปในดิน และให้ส่วนปลายโผล่ออกมาเหนือพื้นดิน และทำมุมประมาณ ๔๕ องศา

            ๒. ปลูกแบบฝังให้หัวท้ายโผล่เหนือพื้นดิน ฝังเถาลงไปในดินให้ลึกประมาณ ๕ นิ้ว และให้หัวและท้ายของเถาโผล่ออกมาเหนือพื้นดิน

            ๓. ปลูกแบบม้วนขมวด วิธีนี้ปลูกโดยม้วนโคนของเถาเป็นแบบวงกลม แล้วฝังส่วนนั้นไว้ใต้ดิน ส่วนปลายเถาให้โผล่เหนือพื้นดิน

ทั้งสามวิธีนี้ให้ฝังเถาลงในร่องให้ห่างกันประมาณ ๕๐ เซนติเมตร

ผลการปลูกทั้งสามวิธี ในประเทศฟิลิปปินส์ เป็นดังนี้

            ๑. การปลูกแบบหัวท้ายโผล่เหนือพื้นดินให้น้ำหนักหัวสูงสุด และการปลูกแบบทำมุม ๔๕ องศา และม้วนขมวดให้น้ำหนักหัวเป็นที่สอง และที่สาม ตามลำดับ

            ๒. ต้นทุนในการปลูกแบบทำมุม ๔๕ องศา จะสูงกว่าการปลูกแบบหัวท้ายโผล่เหนือพื้นดิน และม้วนขมวด

            ๓. การปลูกแบบม้วนขมวด จะให้น้ำหนักของเถาและใบสูงสุด วิธีปลูกแบบนี้เหมาะสำหรับผลิตเถา และใบใช้เลี้ยงสัตว์

การปลูกโดยใช้หน่อจากหัวและเถาชำ ซึ่งมีใบติด ๑ ใบ คือ วางวัสดุปลูกเหล่านั้นลงในหลุมที่ได้เตรียมไว้โดยให้หน่อโผล่ออกมาเหนือพื้นดิน และปลูกให้ห่างกันประมาณ ๕๐ เซนติเมตร

การกำจัดวัชพืช

            การกำจัดวัชพืช จะต้องทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หญ้าที่กำจัดโดยวิธีถอนจะต้องนำไปทิ้งเสียที่อื่น เพื่อมิให้เจริญเติบโตในแปลงปลูกได้อีก ถ้าหากเนื้อที่ปลูกมีขนาดเล็ก หลังจากกำจัดวัชพืช แล้วควรใช้จอบพรวนดินแล้วพูนโคนด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้มันเทศลงหัวได้สะดวก ถ้าหากเนื้อที่มีขนาดใหญ่ ก็สามารถกระทำได้โดยใช้ไถผ่านระหว่างแถว หลังจากปลูกแล้ว ๑ เดือน จึงทำเช่นนี้ เพื่อมิให้รากได้รับความกระทบกระเทือน นอกจากนั้น ก็ไม่ควรพรวนดินขณะที่กำลังลงหัว เพราะจะทำให้รากได้รับความกระทบกระเทือน และลงหัวน้อย

การให้น้ำ

            ถ้าเป็นฤดูแล้ง การให้น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพระว่าถ้าหากขาดน้ำแล้วมันเทศจะเฉาและเหี่ยวตายไป การให้น้ำควรให้หลังปลูก ๑ ครั้ง และหลังจากนั้นให้ห่างกันประมาณ ๒๐ วันต่อครั้ง เมื่อมันเทศเจริญเติบโตดีแล้วควรให้น้ำ ๑ เดือนต่อครั้ง การจะให้น้ำเมื่อไรนั้นให้สังเกตดูความชุ่มชื้นของดินเป็นหลัก ถ้าหากดินยังหมาดอยู่ก็ยังไม่ต้องให้น้ำ ดังนั้น การให้น้ำจึงอาจยืดหยุ่นได้ คือ อาจจะช้า หรือเร็วกว่ากำหนดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสภาพแวดล้อม เช่น แดด กระแสลม ความร้อน เป็นต้น

ถ้าเป็นฤดูฝน ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ เพราะ ฝนตกอยู่เสมอ และมีความชุ่มชื่นเพียงพอ แต่ต้องระวังเรื่องการระบายน้ำ โดยขุดทางระบายน้ำให้ดี และอย่าให้น้ำท่วมและขังอยู่ได้ มิฉะนั้นมันเทศจะเน่าตายได้

การใส่ปุ๋ย

            การใส่ปุ๋ยคอก เช่น มูลวัว มูลควาย และมูลหมู ที่สลายตัวแล้วลงไปในแปลงหลังจากเตรียมดินเรียบร้อยแล้ว พรวนหรือคราดกลบ จะทำให้ดินร่วนซุย และเพิ่มธาตุอาหารให้มันเทศ ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์นั้นปัจจุบันนี้ยังไม่นิยมกระทำกัน การปลูกพืชตระกูลถั่ว หรือถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วลิสงลงไปในไร่ หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ไถเถาราก และใบถั่วเหล่านั้นลงในไร่ แล้วปลูกมันเทศ มันเทศจะลงหัวมาก และมีขนาดโต เพราะได้ปุ๋ยจาก เถา ราก และใบถั่วที่ผุเปื่อยอยู่ในดิน พืชตระกูลถั่วเหล่านี้จะเพิ่มปุ๋ย ไนโตรเจนให้แก่ดิน เพราะที่ปมของรากมีบัคเตรี ที่ช่วยจับไนโตรเจนจากอากาศมาไว้ในปมของราก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักใช้อัตราประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลกรัมต่อไร่

ถ้าหากจะใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ควรใช้ปุ๋ยสูตร ๑๐-๑๐-๒๐ หรือ ๑๓-๑๓-๒๑ อัตรา ๑๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์นี้อาจกระทำได้ ๒ วิธี ด้วยกัน คือ

            ๑. ถ้าหากปลูกเป็นการค้าในเนื้อที่มาก ควรหว่านปุ๋ยทั้งหมดให้สม่ำเสมอทั่วแปลง เสร็จแล้วไถกลบ และยกร่อง เพื่อใช้ปลูกมันเทศต่อไป การใส่ปุ๋ยแบบนี้เป็นการใส่ปุ๋ยครั้งเดียวก่อนปลูก

            ๒. ถ้าหากปลูกในเนื้อที่เล็กน้อย จะใช้วิธีใส่ปุ๋ยหลังปลูกก็ได้ คือ เมื่อมันเทศมีอายุ ๒๐-๓๐ วัน ใช้จอบขุดดินเป็นร่องเล็กข้างแถวปลูก แล้วโรยปุ๋ยลงในร่องให้สม่ำเสมอ โดยโรยบางๆ ไว้ก่อน ถ้าหากปุ๋ยเหลือจึงโรยทับอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใช้จอบกลบปุ๋ยทั้งหมดให้ทั่ว หลังจากใส่ปุ๋ยแล้วถ้าเป็นไปได้ควรให้น้ำด้วย เพื่อปุ๋ยจะได้ละลาย และเป็นประโยชน์แก่พืชต่อไป

การตลบเถา

            มันเทศหลังจากเจริญเติบโตดีแล้ว จะเลื้อยออกไปนอกแปลง ดังนั้นเมื่อมันเทศมีอายุประมาณ ๒ เดือนครึ่ง ควรตลบเถาที่เลื้อยออกนอกแปลงขึ้นไว้บนหลังแปลง การกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันมิให้รากเกิดตามข้อของลำต้นในส่วนปลายเถา ซึ่งจะเป็นการแย่งอาหารจากลำต้น และทำให้ได้จำนวนหัว และขนาดของหัวลดลงด้วย

ลักษณะหัวมันเทศที่เป็นโรคหัวเน่่า

โรคและแมลง

๑. โรคหัวเน่า

            เกิดจากเชื้อรา ดิโพลเดียทูเบอริโคลา (อีแอนด์อี) เทาบ์ (Diplodia tubericola (E. and E.) Teub) เชื้อราจะเข้าทางแผลที่หัว แผลนั้นจะเริ่มเปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนเป็นสีดำ ผิวของหัวจะย่น และเต็มไปด้วยเชื้อราสีดำ ทีแรกเนื้อหัวมันจะอ่อนนุ่ม และสูญเสียความชื้น แต่ภายหลังจากนั้นหัวมันจะแข็งกระด้าง

วิธีป้องกันและกำจัด

            ๑. อย่าให้หัวมันเป็นแผลเมื่อขุดหรือขนส่ง
            ๒. เก็บหัวมันไว้ในที่ซึ่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก
            ๓. หัวที่ถูกเชื้อโรคนี้ทำลายจะต้องเผาทิ้งเสีย
            ๔. พื้นโรงเก็บจะต้องฉีดด้วยน้ำยาเมอร์คิวริกคลอไรด์ เพื่อฆ่าสปอร์ที่ตกหล่นอยู่
            ๒. โรคใบจุด

เกิดจากเชื้อราเซอร์คอสปอราบาตาตี ซิมม์ (Cercospora batatae Zimm.) อาการเริ่มแรกใบจะเป็นจุดสีน้ำตาล ขนาดของจุดนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑/๒ -๑ เซนติเมตร ส่วนกลางของแผลจะมีสีน้ำตาลปนเหลือง จนถึงสีเทา แผลจะมีรูปร่างไม่แน่นอน แผลส่วนมากจะไม่ใหญ่ เพราะถูกเส้นใบกั้นไว้ ในกรณีร้ายแรง เชื้อโรคจะทำลายใบแก่เสียหาย และร่วงก่อนเวลาอันควร ทำให้ลำต้นอ่อนแอ และลงหัวน้อย

วิธีป้องกันและกำจัด

            ๑. รักษาความสะอาดแปลงปลูก และนำต้นที่เป็นโรคเผาไฟทิ้งเสีย
            ๒. ฉีดแปลงปลูกด้วยน้ำยาบอร์โดซ์

แมลงทำลายมันเทศที่สำคัญ ได้แก่

๑. ด้วงงวงมันเทศ

            มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ไซลาส ฟอร์มิแคเรียส แฟบร์ (Cylas formicarius Fabr.) แพร่ระบาดทั่วโลก และเป็นแมลงที่ร้ายกาจ โดยทำลายมันเทศทั้งในแปลงปลูก และโรงเก็บ ตัวหนอนจะเจาะหัวมันเทศเข้าไป ทำให้มันเป็นแมง เมื่อต้มหัวจะมีกลิ่นไม่ชวนรับประเทาน และเมื่อรับประทานจะมีรสขื่นและขม ตัวแก่จะวางไข่ที่ลำตันเหนือพื้นดิน หรือที่หัวที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน ตัวหนอนที่เกิดขึ้นจะกัดกินเนื้อของหัวมัน และเข้าดักแด้ในนั้น ชีพจักรของแมลงชนิดนี้จากการวางไข่ จนถึงตัวแก่กินเวลา ๓๕ วัน ตัวแก่เมื่อมีอายุ ๑ อาทิตย์ หลังจากออกดักแด้ก็จะวางไข่ต่อไปอีก

หัวมันเทศที่ถูกด้วงงวงทำลาย

การป้องกันและกำจัด

            ๑. ใช้แมลงทำลาย แมลงชนิดนี้ถูกทำลาย โดยแตน ๒ ชนิดด้วยกัน คือ ไมโครบราคอน ไซลาโซโวรัส โรห์เวอร์ (Microbracon cylasovorus Rohwer) และบาสซุส ไซลาโซโวรัส โรห์เวอร์ (Bassus cylasovorus Rohwer)
            ๒. ใช้พันธุ์ต้านทานปลูก
            ๓. ใช้ยา เฮบตาคลอร์ (Heptachlor) คลอร์เดน (Chlordane) และดีดีที ฉีดตามเถา และพื้นดินเพื่อกำจัดตัวแก่
            ๔. ใช้ ดีดีที ฉีดหัวมันก่อนเก็บ เพื่อป้องกันตัวแก่ทำลายและวางไข่

๒. แมลงเต่าทอง

            ทั้งตัวแก่และตัวอ่อนของแมลงเต่าทองสามชนิดด้วยกัน จะกัดกินใบมันเทศ ทำให้การปรุงอาหารของใบลดน้อยลง การวางไข่เป็นแบบฟองเดียวบนใบ และการเข้าดักแด้จะเกิดขึ้นบนใบเช่นเดียวกัน แมลงชนิดนี้ทำอันตรายต่อมันเทศไม่มากนัก

การป้องกันและกำจัด

            ๑. จับตัวหนอนในตอนเช้ามืด
            ๒. ใช้ยา แคลเซียม หรือ เล็ดอาร์เซเนท (lead arsenate) แบบผง ดีดีที ดีลดริน พาราไทออน (Parathion) และ เฮบตาคลอร์ (Heptachlor) อย่างใดอย่างหนึ่งพ่นและฉีดตามเถาและใบ

            ๓. เสี้ยนดิน

            แมลงชนิดนี้ทำอันตรายหัวมัน เทศอย่างร้ายแรง โดยกัดเปลือกหัว และเนื้อหัวเป็น อาหาร ทำให้มันเทศด้อยคุณภาพลงไปอย่างมาก

การป้องกันและกำจัด

            โดยใช้ยา อาลดริน (Aldrin) หรือดิลเดรกซ์ (Dieldrex) ๒-๓ ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ ๑๐ ลิตร ฉีดหลังปลูกแล้วประมาณ ๑ เดือน ครึ่ง จะช่วยป้องกัน และกำจัดแมลงชนิดนี้ได้เป็น อย่างดี

การเก็บหัวและรักษา

            เมื่อมันเทศมีอายุประมาณ ๙๐-๑๕๐ วันก็อาจเก็บหัวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปอายุเก็บหัวสำหรับพวกที่ปลูกในฤดูฝน จะยาวกว่าพวกที่ปลูกในฤดูแล้งประมาณ ๓๐-๔๐ วัน

การขุดหัวมันเทศโดยใช้จอบง่าม

            บางแห่งนิยมรับประทานยอดมันเทศเป็นผัก หรืออาจใช้เป็นอาหารสัตว์ การทดลองในประเทศฟิลิปปินส์แสดงให้รู้ว่า การเด็ดยอดนั้นจะทำให้หัวที่ได้ลดลงอย่างมาก นอกจากนั้นก็ยังพบว่า ราคาของหัวมันเทศรวมกับราคาของยอดในแปลงที่เด็ดออกนั้น ได้เงินน้อยกว่าราคาของหัวจากแปลงที่มิได้เด็ดยอดเลย

มันเทศที่ขุดแล้ว

            เครื่องมือที่ใช้ขุดหัวโดยทั่วไป และได้ผลดีก็ คือ จอบ เสียม และไถ การใช้จอบและเสียมนั้น จะต้องขุดทีละหลุม ส่วนการไถนั้นก็คือ ใช้ไถ ผ่านไประหว่างแถว เพื่อขุดหัวขึ้นมา วิธีการเช่นนี้ กระทำได้รวดเร็ว แต่ส่วนมากหัวจะหัก และเป็นแผล หัวมันที่หลงเหลืออยู่จะต้องใช้จอบหรือเสียมช่วยอีกครั้งหนึ่ง


การเก็บหัวมันเทศรวมเป็นกองหลังจากที่ขุดแล้ว

            ผลผลิตของหัว หรือน้ำหนักหัวที่ได้นั้นขึ้น อยู่กับพันธุ์ ดินที่ใช้ปลูก ฤดูปลูก และปัจจัยอื่นๆ เช่น การใส่ปุ๋ย และการให้น้ำ เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์หัวสีขาวจะมีน้ำหนักหัว ประมาณ ๒ ตันต่อไร่ในฤดูแล้ง แต่ในฤดูฝนจะมีน้ำหนักหัวประมาณ ๘ ตันต่อไร่ พันธุ์หัวสีแดงจะมี น้ำหนักหัวต่ำกว่านี้

            เราอาจเก็บมันเทศสดไว้ใช้ทำประโยชน์ได้ นานพอสมควร ถ้าเก็บไว้ในที่โปร่ง ไม่อับลม และในที่มีอากาศเย็น เช่น ในห้องใต้ถุนบ้าน ควรใช้หัวที่เป็นแผล และผิวชอกช้ำเสียก่อน

            หลักที่ควรถือปฏิบัติ เพื่อให้หัวมันเทศเก็บไว้ได้นานไม่เสื่อมเสียเร็ว มี ๔ ประการ คือ

            ๑. มันเทศที่จะเก็บไว้ได้นาน ต้องขุดเมื่อหัวมันแก่เต็มที่ถึงขนาด หัวอ่อนจะเน่าง่าย

            ๒. เวลาขุดต้องระมัดระวัง อย่าให้หัวมันช้ำ หรือมีบาดแผล ถ้ามีบาดแผลจะเป็นทางนำเชื้อโรค ทำให้หัวเน่าง่าย

            ๓. ก่อนจะนำเข้าเก็บในที่เก็บรักษา ต้องผึ่งหัวมันให้แห้งสนิท อย่าให้เปียกชื้น

            ๔. ในห้องที่เก็บหัวมันเทศต้องมีอากาศเย็นอยู่เสมอ อย่าให้ร้อนจัด หรือเย็นจัดจนเกินไป อุณหภูมิที่ใช้ประมาณ ๑๐-๑๕ องศาเซลเซียส อุณหภูมิเช่นนี้ช่วยเก็บหัวได้นานถึง ๓ ปี โดยหัวไม่งอก และแตกตาออกมา

            ถ้าไม่ต้องการเก็บหัวสด จะทำเป็นแบบตากแห้งก็ได้ ฝานหัวเป็นแว่นบางๆ ตากให้แห้งสนิท และนึ่งบริโภคเมื่อต้องการ

ลักษณะของหัวมันเทศที่แก่เต็มที่

ประโยชน์

            หัวมันเทศมีแป้ง โปรตีน ไขมัน และวิตามินต่างๆ ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงใช้เป็นอาหาร มนุษย์และสัตว์ได้เป็นอย่างดี

คุณค่าอาหารของหัวมันเทศ และยอดอ่อน เมื่อมีน้ำหนัก ๑๐๐ กรัม จะมีคุณค่าดังต่อไปนี้


            คุณค่าทางอาหาร ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างหัว และยอดอ่อนแล้ว จะเห็นได้ว่ายอดอ่อนนั้นมีคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าหัวเกือบทุกรายการ ยกเว้น ปริมาณแป้ง และแคลอรีของแรงงานที่ให้ ดังนั้น จึงใช้รับประทานเป็นผักหรือเลี้ยงสัตว์ได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ที่ได้จากหัวมันเทศ อาจจำแนกได้ดังนี้

            ๑. ใช้ทำเป็นของคาว เช่น แกงเลียง แกงคั่ว แกงกะหรี่ และแกงมัสมั่น เป็นต้น
            ๒. ใช้ทำเป็นของหวาน เช่น แกงบวดมัน ทอดรังนก ฉาบ เชื่อม กวน ต้มน้ำตาล และมันปิ้ง เป็นต้น
            ๓. ใช้ในอุตสาหกรรมการกลั่นสุรา
            ๔. ใช้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะสุกร ให้มันเทศอย่างเดียว หรือผสมกับอาหารอื่นก็ได้

            นอกจากหัวแล้ว ยอดมันเทศยังใช้รับประทานแทนผัก และใช้เลี้ยงสัตว์ได้เป็นอย่างดี บางแห่งปลูกมันเทศ เพื่อใช้เลี้ยงสุกรโดยเฉพาะ คือ เมื่อมันเทศทอดยอด และลงหัวดีแล้วก็ปล่อยสุกรลงไปกินยอด ใบ และขุดหัวกินเอง