ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ว่างจากการศึกสงคราม ทางการมีโอกาสทะนุบำรุงบ้านเมือง ช่างจึงมีบทบาทอยู่มาก ในด้านการสร้างพระราชฐาน และบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามหลวง โดยเหตุนี้พระช่างหลายรูป จึงได้มีผลงานเป็นที่รู้จัก อาทิเช่น พระอาจารย์นาค แห่งวัดทองเพลง กรุงเทพฯ เป็นช่างฝีมือดีในครั้งรัชกาลที่ ๑ ได้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดราชบูรณะ ภาพมารวิชัยที่ผนังวิหารด้านหน้าของพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และจิตรกรรมฝาผนังวิหารด้านใต้ ของพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร
พระอาจารย์แดง แห่งวัดหงส์รัตนาราม กรุงเทพฯ เกิดในรัชกาลที่ ๓ แต่มีผลงานช่าง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ผลงานสำคัญคือ ออกแบบกระเบื้องประดับผนังพระอุโบสถ และวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อีกองค์หนึ่งคือ ขรัวอินโข่ง พระช่าง ในรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นผู้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร นอกจากนี้ มีศิษย์ของขรัวอินโข่งชื่อ พระครูกสินสังวร เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ผู้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดทองนพคุณ เป็นต้น
นอกจากช่างศิลปะพื้นบ้าน พื้นเมือง และพระช่างแล้ว ยังมีช่างอีกประเภทหนึ่งอันเป็นที่รวมช่างฝีมือดีทั้งหลาย ได้แก่ "ช่างหลวง" ช่างหลวงคือ บรรดาช่างศิลป์ของไทยสาขาต่างๆ ที่มักเป็นคนมีฝีมือดี งานที่ทำส่วนมากเป็นสิ่งละเอียดสวยงามเป็นพิเศษ อย่างมากเรียกว่า "ประณีตศิลป์" เช่น การทำสิ่งของเครื่องใช้ด้วยเงินหรือทองคำ ทำลวดลายละเอียด เช่น เครื่องราชูปโภค เป็นต้น ช่างหลวงจึงร่วมสังกัดกันรับราชการสนองพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ จนมียศฐาบรรดาศักดิ์เช่นเดียวกันกับข้าราชบริพานอื่นๆ มีหลักฐานว่า มีช่างหลหวงมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เช่น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดฯ ให้ตราพระราชกำหนดบทพระอัยการ ซึ่งต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ปรากฎว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้โปรดฯ ให้มีการชำระกฎหมายนี้ใหม่และเรียกว่า "กฎหมายตรา 3 ดวง" ได้แก่ ตราคชสีห์ ตราราชสีห์ และตราบัวแก้ว และให้จัดระเบียบหมวดหมู่ช่างต่างๆ ไว้หลายกรม แต่ละกรมมีเจ้ากรมกำกับอย่างกรมทหาร ต่อมาเรียกว่า "กรมช่างสิบหมู่"
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์ประทานพระยาอนุมานราชธน ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ มีใจความตอนหนึ่งว่า "ช่างสิบหมู่เป็นชื่อกรม ที่รวมช่างไว้ได้ ๑๐ หมู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าช่างในบ้านเมืองมีแค่ ๑๐ อย่างเท่านั้น..." และเฉพาะในกฎหมายตรา ๓ ดวง มีชื่อช่างต่างๆ มากกว่า ๑๐ อย่าง เช่น ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างดอกไม้เพลิง ช่างปืน ช่างสนะ ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น และช่างรัก เป็นต้น
งานช่างได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ ในสมัย รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงโปรดฯ ให้ฟื้นฟูการช่าง และรวบรวมช่างหมู่ต่างๆ ขึ้นใหม่ ผู้ที่รับราชการในกรมช่างต่างๆ แม้จะมีฐานะเป็นทหาร แต่ทำงานอย่างพลเรือน ดังปรากฏ ในตำราว่าด้วย ตำแหน่งข้าราชการฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ระบุว่า มีพระยาเทวรังสรรค์ ศักดินา ๕๐๐ เป็นเจ้ากรมกับช่างอื่นๆ อีก ๑๓ ตำแหน่ง เช่น ช่างสลักขวา หลวงรจนาพิมล ศักดินา ๔๐๐ ช่างสลักซ้าย หลวงไพชยนต์ ศักดินา ๔๐๐ ช่างเขียนซ้าย หลวงพรหมประกาศิต ศักดินา ๔๐๐ ช่างเขียนขวา หลวงนิมิตรเวศกรรม ศักดินา ๔๐๐ ช่างแกะ หลวงวิจิตรรจนา ศักดินา ๓๐๐ ช่างหล่อ หลวงพิทักษ์อัคนี ศักดินา ๓๐๐ เป็นต้น การจัด ตำแหน่งข้าราชการกรมช่างดังกล่าว แม้จะมี โครงสร้างอย่างทหาร แต่หน้าที่การงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารดังที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิบาย ในการแก้ไขการปกครองแผ่นดิน มีข้อความ ตอนหนึ่งว่า "ส่วนซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายทหารแต่ทำ การฝ่ายพลเรือนนั้นคือ "กรมช่างสิบหมู่" ซึ่งแบ่งไว้ในฝ่ายทหารขึ้น ก็คงจะเป็นด้วยช่างเกิดในหมู่ทหาร เหมือนทหารอินยิเนีย แต่ภายหลังมา เมื่อทำการต่างๆ มากขึ้น จนถึงเป็นการละเอียด เช่น เขียน ปั้น แกะ สลัก ก็เลยติดอยู่ในฝ่ายทหาร แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดในราชการทหาร ไม่ขึ้นกรมพระกลาโหม แต่มีกองต่างหาก แม่กองนั้น มักจะเป็นเจ้านายโดยมาก..."
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่าชื่อช่างประเภทต่างๆ ในพระราชบัญญัติเรื่อง การไถ่ตัวไพร่หลวงที่เป็นทาส จ.ศ. ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) ถึง ๕๒ ประเภทด้วยกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดงานช่างเป็นกรมต่างๆ ไว้ถึง ๒๙ กรม และโปรดฯ ให้แยกเป็นกรมช่างฝ่ายพลเรือน และกรมช่างฝ่ายทหาร กรมช่างฝ่ายพลเรือน ประกอบด้วย กรมช่างต่างๆ เช่น กรมช่างหุงกระจก กรมช่างประดับกระจก กรมช่างหยก กรมช่างสนะไทย กรมช่างสนะจีน กรมช่างชาดสีสุก กรมช่างศิลา กรมช่างปั้น กรมช่างสลัก กรมช่างทอง ส่วนกรมช่างฝ่ายทหารนั้น มีกรมช่างทหารฝ่ายใน โดยมีช่างที่มีตำแหน่ง ที่ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ เช่น หลวงกลมัยนิมิตร (ช่างปั้น) ขุนภมรเลขนกิจ (ช่างกลึง) หลวงโลหกรณ์ (ช่างหล่อ) หลวงชำนาญโลหอาวุธ (ช่างหล่อ) ขุนพิสัยดีบุกการ (ช่างดีบุก) เป็นต้น | |||||||||||
ตุ๊กตาที่ประดับด้านบนของพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นศิลปะแบบตะวันตก | |||||||||||
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดระเบียบการบริหารราชการใหม่ กรมช่างต่างๆ ที่เคยขึ้นกับทหารอย่างแต่ก่อน ให้ย้ายมาตั้งเป็นกรมขึ้นกับฝ่ายพลเรือน โดยตั้งเป็นกรมช่างสิบหมู่ มีพระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (หม่อมเจ้าดิศ) เป็น อธิบดี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ งานช่างสิบหมู่ ไปรวมอยู่กับกรมมหรสพ ต่อมาเมื่อตั้งกรมศิลปากรขึ้น งานช่างสิบหมู่จึงไปอยู่กับกรมศิลปากร | |||||||||||
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ การก่อสร้างเป็นศิลปะแบบตะวันตก ผสมผสานกับของไทย | |||||||||||
(ดังกล่าวแล้ว) จะเห็นว่า ช่างหลวง มีมาแต่สมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น มีช่างประเภทต่างๆ ถึง ๓๐ ประเภททีเดียว ซึ่งบรรดาช่างหลวงเหล่านี้ ได้ฝากผลงานการช่างที่สำคัญไว้มากมาย | |||||||||||
ช่างไม้แกะสลัก | |||||||||||
การช่างต่างๆ ของไทยได้พัฒนามาตามสภาพเศรษฐกิจ และสังคม ดังจะเห็นได้จากการช่างสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ได้นับเอารูปแบบของศิลปะ และการช่างอย่างตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับการช่างไทย ความเปลี่ยนแปลงทางการช่าง ของไทยจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงรับเอาช่างต่างชาติจากยุโรปเข้ามาทำงาน ช่างต่างๆ มากขึ้น เช่น นำช่างจากยุโรปมาสร้าง พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระที่นั่งอื่นๆ ตามแบบศิลปะตะวันตกในสมัยนี้ งานช่างต่างๆ มักพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากแบบแผน ที่เป็นการช่างไทยแท้ๆ มาเป็นการผสมผสานกัน ระหว่างงานช่างไทยกับศิลปะแบบตะวันตก เช่น การสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทใน พระบรมมหาราชวังให้มีลักษณะศิลปะไทย และศิลปะตะวันตกผสมผสานกัน ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้ช่างไทยรับเอาศิลปวิทยาทางการช่างแบบตะวันตก เข้ามาผสมกับวิทยาการทางการช่างของไทย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นช่างสำคัญที่นำการช่างตะวันตก มาผสมผสานกับการช่างไทย เช่น ทรงนำการเขียนภาพแรเงามาใช้กับภาพเขียนแบบประเพณีนิยมของไทย เป็นต้น ความเปลี่ยนแปลงทางการช่างนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เมื่อไทยเรารับเอาวัฒนธรรม ตะวันตกเข้ามามาก การช่างต่างๆ ก็เปลี่ยน แปลงมาเป็นแบบสากลมากยิ่งขึ้น จนถึงกับมีการตั้งสถาบันสอนวิชาการช่างอย่างตะวันตกขึ้นอย่างทุกวันนี้ | |||||||||||
ช่างหัวโขน | ถึงกระนั้นการช่างไทยหลายประเภท ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องอนุรักษ์ไว้ เพราะเป็นการช่างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของไทย ปัจจุบัน การช่างไทยบางประเภท จึงยังคงมีอยู่ในงานช่างสิบหมู่ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร โดยกำหนด งานช่างต่างๆ ไว้ ๑๐ หมู่ดังนี้ ๑. ช่างเขียนภาพและลายไทย ๒. ช่างไม้แกะสลัก ๓. ช่างปิดทองประดับกระจก ประดับ กระเบื้อง ๔. ช่างมุก ๕. ช่างปูนและช่างปั้นลายปูนสด ๖. ช่างลายรดน้ำและเครื่องเงิน ๗. ช่างหัวโขน ๘. ช่างเคลือบโลหะ ๙. ช่างปั้นหล่อ ๑๐. ช่างเขียนแบบพุทธศิลป์สถาปัตย์ นอกจากช่างพื้นบ้าน พระช่าง และช่างหลวงดังกล่าวแล้ว ยังมีช่างอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า ช่างเชลยศักดิ์ เป็นช่างที่รับจ้างทำงาน ช่างทั่วไป เป็นช่างที่ชอบอิสระ ไม่ต้องการเป็นข้าราชการ แต่ต้องการใช้ฝีมือช่างและความ สามารถของตนเลี้ยงชีพอย่างอิสระ จึงมักปิดบัง ฝีมือของตน เพราะเกรงจะถูกเกณฑ์ไปเป็นช่างหลวง ช่างเชลยศักดิ์นั้น นอกจากจะปกปิดชื่อเสียงของตนแล้ว ยังมักหวงวิชาช่างของตนด้วย เพราะเกรงผู้อื่นจะนำวิชาความรู้นั้นไปหาเลี้ยงชีพแข่งกับตน ความคิดเช่นนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้วิชาการช่างของไทยไม่แพร่หลายเท่าที่ ควร ทำให้วิชาความรู้ทางการช่างบางประเภท จึงสูญหายไปพร้อมกับตัวช่าง | ||||||||||
อย่างไรก็ดีสภาพการช่างของไทยแต่ละยุค แต่ละสมัย จะขึ้นอยู่กับสภาพของบ้านเมือง หากยุคใดสมัยใดบ้านเมืองมีความมั่นคง มีความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากศึกสงคราม ช่างก็มีโอกาสแสดงฝีมือสร้างงานของตน แต่ถ้ายุคใดบ้านเมืองมีศึกสงคราม ประชาชนยากจน การช่างต่างๆ ก็จะซบเซาไม่ก้าวหน้า จึงเห็นได้ว่า ช่างและการช่างของไทยมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการของบ้านเมือง มาทุกยุคทุกสมัย |