เครื่องประดับ
การใช้เครื่องประดับตกแต่งร่างกายของคนไทยในสมัยโบราณไม่มีมากนัก ถึงจะมีก็ไม่ใช่ของที่มีราคาสูง เพราะในสมัยโบราณมีกฎหมายข้อห้าม มิให้ข้าราชการ และราษฎรใช้เครื่องประดับที่มีราคาแพง เช่น มีกฎหมายโบราณ กำหนดไว้ว่า "จะแต่งบุตรและหลานก็ให้ใส่แต่จี้ เสมาภัควจั่นจำหลักประดับพลอยแดงเขียวเท่านี้ อย่าให้ประดับเพชรถมยาราชาวดี ลูกประหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทง และเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจัง ประจำยามสี่ทิศ แลแหวนถมราชาวดีประดับพลอย ห้ามมิให้ซื้อขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าข้าราชการผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎร์ ช่างทองกระทำให้ ด้วยอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน จะเอาตัวเป็นโทษจงหนัก" ซึ่งตรงกับที่กล่าวไว้ในจดหมายเหตุครั้ง รัชกาลที่ ๑ ที่ห้ามราษฎร ขุนนางมิให้ใช้จี้กุดั่น เกี้ยวกำไล เข็มขัดประจำยาม แหวนลงยา กำไล หลังเจียด กำไลเท้าทองลูกประหล่ำลงยา ดังได้ กล่าวมาแล้วในตอนต้น
อาจจะเป็นเพราะข้อห้ามดังกล่าว หรือความต้องการของคนจน ที่อยากจะมีเครื่องประดับให้ดูสวยงามกับเขาบ้าง จึงได้มีคนทำของราคาถูกขึ้นจำหน่าย เช่น มีกล่าวไว้ในหนังสือคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมว่า "ที่เชิงตะภานชีกุนตะวันตก พวกแขกนั่งร้านขายกำไลมือ กำไลเท้า ปิ่นปักผม แหวนหัวมะกล่ำ แหวนลูกแก้วลูกปัด เครื่องประดับประดาล้วนแต่เครื่องทองเหลือง ตะกั่วทั้งสิ้น"
ความนิยมใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยทองเหลืองยังติดต่อมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีถิ่นทำเครื่องประดับทองเหลืองอยู่บริเวณใกล้ๆ เสาชิงช้า จึงมีชื่อเรียกกันว่า "ทองเสาชิงช้า" ดังที่กล่าวไว้ในสุภาษิตสอนหญิง ตอนหนึ่งว่า
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
"ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน
ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาล แลละลานล้วนสุวรรณอันละออ
เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ
แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย
หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย
แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง
แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง
ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง จนทองเหลืองก็ไม่ละจะกละงาม"
การใช้เครื่องประดับตกแต่งร่างกายของคนไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ก็ ได้กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า "ชาวสยามสวมแหวนที่นิ้วท้ายๆ (คือ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย) ของมือทั้งสอง และสมัยนิยมอนุญาตให้สอดสวมได้มากวงเท่าที่จะมากได้ เขาอาจปลงใจซื้อแหวนเพชรก็ได้ในราคาถึงวงละตั้งครึ่งเอกิว (เอกิวหนึ่งมีค่าเท่ากับ ๓ ปอนด์) ... พวกผู้ชายไม่รู้จักใช้สร้อยประดับคอของตน หรือของภรรยาเลย แต่พวกผู้หญิงและเด็กๆ ทั้งสองเพศรู้จักการใช้ตุ้มหู ตามปกตินั้นตุ้มหูมีรูปร่างเหมือนอย่างลูกปัวร์ (poire - ลูกแพร์) ทำด้วยทองคำ เงิน หรือกะไหล่ทอง เด็กหนุ่มเด็กสาวลูกผู้ดีสวมกำไลข้อมือ แต่จะสวมอยู่ถึงอายุ ๖ หรือ ๗ ขวบ เท่านั้น แล้วยังสวมกำไลที่แขน และที่ขาอีกด้วย เป็นกำไลวง (ก้านแข็ง) ทำด้วยทองคำ หรือกะไหล่ทอง"
นอกจากเครื่องประดับต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ยังมีผู้นิยมนำเหรียญต่างๆ มาใช้เป็นเครื่องประดับแต่งตัวให้เด็กอีกด้วย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องมีพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศห้าม เมื่อ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเส็ง นพศก (ตามปฏิทินน่าจะเป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๔๐๐) มีความตอนหนึ่งว่า
"อนึ่ง ราษฎรชาวบ้านนอกมีเงินน้อย หาเงินยาก เมื่อหาได้เล็กน้อย ก็เอาเงินบาทบ้าง เงินสลึงบ้าง เงินเฟื้องบ้าง เจาะร้อยผูกคอ ผูกข้อมือบุตรหลาน ด้วยจะอวดกันว่า มีเงินอย่างนั้น เห็นงามอยู่หรือ แลบัดนี้คนในกรุงเป็นอันมาก ทั้งไพร่ ทั้งผู้ดีชื่นชมนิยมกันเอาทองเหรียญ เงินเหรียญ เจาะร้อยผูกคอบ้าง ผูกข้อมือบ้าง ทำเป็นสังวาลบ้าง แต่งตัวบุตรหลานด้วยสำคัญว่า เป็นของประหลาด จะอวดว่ากว้างขวาง มีของต่างประเทศนั้นเห็นว่างามอย่างไร เมื่อคิดดูเป็นน่าอายน่าอดสูแก่คนนอกประเทศ ซึ่งมีทองเหรียญ เงินทอง ดื่นถมมากมายใช้สอยซื้อขายเหมือนเงินบาท เงินสลึง เงินเฟื้อง แลเบี้ยที่ใช้สอยกันอยู่ในกรุงแลในเขตแดนพระราชอาณาจักรนี้ ไม่เป็นของวิเศษแปลกประหลาดเลย ... แต่นี้ไปขอเสียเถิด ชายหญิงในกรุงนอกกรุง ทั้งไพร่ผู้ดีบรรดาอยู่ในพระราชอาณาจักร อย่าได้เอาทองเหรียญ เงินเหรียญ มาเจาะร้อยทำเป็นเครื่องแต่งตัวบุตรหลานเลย ขอให้เลิกเสียเป็นอันขาดทีเดียว"
ตามที่กล่าวมานี้พอสรุปได้ว่า การตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องทองของมีค่าในสมัยโบราณ ไม่อาจจะแต่งเหมือนกันไปได้หมดทุกคน เจ้านาย ขุนนาง และราษฎร ต้องรู้กาลเทศะว่าควรแต่ง และไม่ควรแต่งอย่างไร จึงจะถูกต้องตามธรรมเนียมที่กำหนดไว้
เครื่องประดับ