การประยุกต์ใช้การโคลนนิ่ง
ปัจจุบันมีสัตว์หลายชนิดที่เกิดจากวิธีการโคลนนิ่ง ได้แก่ แกะ โค หนูถีบจักร สุกร แมว กระต่าย ม้า หนูขาว เฟอร์เร็ต กระบือ และอูฐ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจในการศึกษาเรื่องต่างๆ แตกแขนงออกไปมากขึ้น เช่น การดัดแปรพันธุกรรมของเซลล์ต้นแบบ ก่อนที่จะนำมาโคลนนิ่งการนำตัวอ่อนที่ผลิตได้จากการโคลนนิ่งมาผลิตเซลล์ต้นกำเนิด การโคลนนิ่ง เพื่อนำไปใช้ในการรักษาโรค ทางการแพทย์ การโคลนนิ่งเพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
๑ การโคลนนิ่งเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค
๑.๑ การโคลนนิ่งผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนเพื่อใช้รักษาโรค
เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน (embryonic stem cell) ได้จากตัวอ่อนระยะก่อนฝังตัว เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง สามารถแบ่งเซลล์ได้อย่างไม่จำกัด มีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ใดๆ ก็ได้ เมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม จากสภาวะแวดล้อม หรือจากสารอาหารที่ใช้เลี้ยงเซลล์ การผลิตตัวอ่อน เพื่อนำมาผลิตเซลล์ต้นกำเนิดนั้น สามารถทำได้ โดยการใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติ การทำปฏิสนธิในหลอดแก้ว หรือการโคลนนิ่ง แล้วนำตัวอ่อน ที่อยู่ในระยะบลาสโตซีสต์มาสกัดแยกเซลล์ไอซีเอ็ม (ICM: Inner Cell Mass) จากนั้น นำเซลล์ไอซีเอ็มที่ได้ มาเลี้ยงบนเซลล์พี่เลี้ยง ในน้ำยาที่เหมาะสมนาน ๕-๗ วัน หลังจากนั้นเซลล์ไอซีเอ็มจะเจริญเป็นเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน
กลุ่มเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนมนุษย์ (ตรงกลาง)
ตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติและการปฏิสนธิในหลอดแก้ว จะมีสารพันธุกรรม ของพ่อและแม่ปนกันอยู่ เมื่อนำตัวอ่อนที่ได้มาผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน เพื่อใช้รักษาคนไข้ อาจทำให้ร่างกายเกิดการต่อต้านเซลล์ที่ปลูกถ่าย แม้จะเป็นบุคคลใกล้ชิดทางพันธุกรรมก็ตาม การนำวิธีการโคลนนิ่งมาใช้ผลิตตัวอ่อน ระยะบลาสโตซีสต์ เพื่อนำตัวอ่อนที่ได้มาผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน จึงเป็นวิธีที่กำลังศึกษากันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถใช้เซลล์จากผู้ป่วย มาเป็นเซลล์ต้นแบบในการโคลนนิ่ง เพื่อผลิตเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนได้ ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนที่ได้ จะมีการแสดงออกของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกับผู้ป่วย ที่เป็นเจ้าของเซลล์ต้นแบบ ทำให้สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วย โดยไม่มีการต่อต้าน ของระบบภูมิคุ้มกัน เรียกวิธีนี้ว่า การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดที่มีระบบภูมิคุ้มกัน เหมือนคนไข้ (patient-specific stem cell therapy) ทั้งนี้ เซลล์ต้นกำเนิดจะต้องกระตุ้น ให้พัฒนาไปเป็นเซลล์เป้าหมายที่ต้องการ นำไปรักษาคนไข้ จึงจะสามารถใช้งานได้จริง เช่น กระตุ้นให้เป็นเซลล์บีตา (beta cell) ที่ผลิตอินซูลิน สำหรับนำไปปลูกถ่ายให้แก่คนไข้ เพื่อให้ผลิตอินซูลินออกมารักษาโรคเบาหวานในกรณีป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๑ หรือการผลิตเซลล์ประสาทที่สามารถผลิตสารสื่อประสาทโดปามีน เพื่อนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งมีการทดลองโคลนนิ่งเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนได้เป็นผลสำเร็จในลิงวอก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๐ และล่าสุดใน พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ประสบความสำเร็จในมนุษย์
๒. การโคลนนิ่งสัตว์ทดลองเพื่อใช้ในงานวิจัย
สัตว์ที่นิยมนำมาใช้ในการทดลองส่วนมากคือ สัตว์วงศ์หนู ซึ่งจากการทดลองครั้งหนึ่งๆ ต้องใช้สัตว์ทดลองเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ได้ความแม่นยำหลังคำนวณค่าทางสถิติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสัตว์แต่ละตัวที่ใช้ทดลอง มีลักษณะทางพันธุกรรม ไม่เหมือนกันทุกประการ จึงทำให้มีการตอบสนองต่อการทดลองไม่เท่ากัน การที่จะลดความแปรปรวนเหล่านี้ลงได้ จะต้องทำ โดยเพิ่มจำนวนสัตว์ทดลองให้มากขึ้น การผลิตสัตว์ทดลองที่มีความเหมือนกันทุกประการโดยวิธีการโคลนนิ่ง ทำให้ความแปรปรวน ของผลการทดลองมีน้อยลง และใช้สัตว์ทดลองน้อยลง แต่ก็ยังให้ผลการทดลองที่น่าเชื่อถือได้เหมือนเดิม นอกจากสัตว์วงศ์หนูแล้ว เฟอร์เร็ตยังเป็นสัตว์ที่น่าสนใจในการทำโคลนนิ่ง เพื่อนำลูกที่ได้มาทำการทดสอบต่างๆ ในการวิจัย เนื่องจากเฟอร์เร็ต เป็นสัตว์ที่นิยมใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับกลไกที่ทำให้เกิดโรคของไวรัส รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับการทำให้เกิดโรค โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ มีรายงานความสำเร็จในการทำโคลนนิ่งเฟอร์เร็ตใน พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างไรก็ตาม การโคลนนิ่งยังมีปัญหาเกี่ยวกับอัตราการแท้งสูง นอกจากนี้ยังมีการตายก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิดมาก จำเป็นต้องหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จึงจะทำให้สามารถผลิตลูกสัตว์โคลนนิ่งได้จำนวนมากพอต่อการนำไปใช้ในงานวิจัย
การโคลนนิ่งสัตว์ทดลอง เพื่อใช้ในการวิจัย
๓. การโคลนนิ่งเพื่อผลิตยารักษาโรค
การโคลนนิ่งเพื่อการผลิตยารักษาโรคต้องมีการดัดแปรพันธุกรรมของเซลล์ต้นแบบก่อน แล้วจึงนำเซลล์ต้นแบบเหล่านั้นมาโคลนนิ่ง การดัดแปรพันธุกรรม หมายถึง การนำเอายีนอื่นมาแทรกเข้าในจีโนมของเซลล์ต้นแบบ โดยยีนที่อยู่ในจีโนมของเซลล์ต้นแบบ จะสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ ยีนที่นำมาใส่เพิ่มนี้มีประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น เป็นยีนที่ควบคุมการผลิตเอนไซม์ ฮอร์โมน และโปรตีนต่างๆ ที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อมนุษย์ โดยเป็นโปรตีนที่ใช้ในการบำบัดรักษา (therapeutic protein) เช่น ยีนแอลฟา-๑-แอนไททริปซิน (alpha-1-antitrypsin) ใช้ในการรักษาโรคซิสติกไฟโบรซีส (Cystic Fibrosis: CF) และภาวะมีอากาศในเนื้อเยื่อ (emphysema) ยีนฮิวแมนแฟกเตอร์ ๘ (human factor VIII) และแฟกเตอร์ ๙ (factor IX) ใช้รักษาโรคฮีโมฟิเลีย (hemophilia) ดังนั้น การดัดแปรพันธุกรรมของเซลล์ต้นแบบก่อนนำมาโคลนนิ่ง จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเซลล์ต้นแบบที่ดัดแปรพันธุกรรมแล้วสามารถเลี้ยงให้เพิ่มจำนวนได้อย่างไม่จำกัดในสภาวะที่เหมาะสม เมื่อนำเซลล์ต้นแบบ ที่ดัดแปรพันธุกรรมแล้วไปโคลนนิ่ง ตัวอ่อนทุกตัวที่ผลิตได้จะเป็นตัวอ่อนดัดแปรพันธุกรรม และเมื่อนำตัวอ่อนถ่ายโอนให้ตัวรับ จะมีโอกาสได้สัตว์ดัดแปรพันธุกรรมเกิดมาจำนวนมาก การผลิตโคดัดแปรพันธุกรรมถูกนำมาใช้ประโยชน์กันอย่างแพร่หลาย ในการผลิตโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ หรือโปรตีนที่ใช้ในการรักษาโรคซึ่งมีมูลค่าสูง เพราะสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก โดยการให้โปรตีนเหล่านั้น หลั่งออกมากับน้ำนม และนำน้ำนมมาสกัดโปรตีนที่ต้องการ จากนั้นจึงทำให้บริสุทธิ์ ปัจจุบัน มีบริษัทหลายแห่งที่ทำวิจัย เพื่อผลิตโปรตีนทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรค โดยการผลิตสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม
๔. ผลิตอวัยวะสำรองสำหรับปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วย
นอกจากการดัดแปรพันธุกรรมของเซลล์ต้นแบบจะมีประโยชน์ในด้านการศึกษาวิจัย และผลิตโปรตีนทางการแพทย์ ที่ใช้ในการรักษาโรคแล้ว การนำเซลล์ต้นแบบที่ดัดแปรพันธุกรรมแล้วมาโคลนนิ่ง ยังมีประโยชน์ เพื่อศึกษาวิจัย ด้านการปลูกถ่ายเซลล์ เนื้อเยื่อ หรือระหว่างอวัยวะของสัตว์ชนิดหนึ่งไปยังสัตว์อีกชนิดหนึ่ง หรือเรียกว่า การปลูกถ่ายข้ามชนิดสัตว์ (xenotransplantation) ในสหรัฐอเมริกามีการปลูกถ่ายอวัยวะกันมากในแต่ละปี และยังมีผู้ป่วย ที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะเป็นจำนวนมาก การผลิตอวัยวะสำรอง เพื่อใช้ปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์มักศึกษาโดยใช้สุกรเป็นสัตว์ทดลอง หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นสุกร เนื่องจากสัตว์ในวงศ์ไพรเมต เช่น ลิงชนิดต่างๆ น่าจะมีลักษณะทางพันธุกรรม ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าสุกร แต่ปัจจุบันการโคลนนิ่งลิงโดยใช้เซลล์ร่างกายลิงเป็นเซลล์ต้นแบบยังไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อได้พิจารณาจากสัตว์หลายชนิดที่ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งแล้ว ก็พบว่าสุกรเป็นสัตว์ที่เหมาะสมมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากอวัยวะของสุกรมีขนาดใกล้เคียงกับอวัยวะของมนุษย์ การโคลนนิ่งสุกรจึงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ สุกรให้ลูกเป็นครอก ครอกละหลายตัว ดังนั้น ถ้าสามารถผลิตสุกรดัดแปรพันธุกรรมจากการโคลนนิ่ง แล้วนำสุกรที่ผลิตได้ ไปผสมพันธุ์ให้เพิ่มจำนวนมากๆ ก่อนที่จะนำอวัยวะนั้นมาปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง
ภาพเขียนแสดงการผลิตอวัยวะสำรองของสุกรสำหรับปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วย
การปลูกถ่ายอวัยวะสุกรให้แก่มนุษย์นั้นไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากตามธรรมชาติพบว่า เซลล์ของสุกรมียีน ที่ผลิตเอนไซม์ บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรส (beta 1, 3 galactocyl transferase) ซึ่งมีสารจำพวกกาแลกโทส (galactose) อยู่บนผิวเซลล์ เมื่อนำอวัยวะสุกรไปปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สามารถตรวจจับความแปลกปลอม ของเซลล์สุกรได้ ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์จึงเกิดการต่อต้านขึ้น แต่หากลบการแสดงออกของยีนที่ผลิตเอนไซม์บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสออกจากเซลล์สุกรก่อนที่จะนำมาโคลนนิ่ง จากนั้น จึงนำอวัยวะของสุกรมาปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จดีขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ไม่พบความแตกต่างบนผิวเซลล์สุกร ทั้งนี้ มีการผลิตสุกรโคลนนิ่งที่ไม่มียีนที่ผลิตเอนไซม์บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสเกิดมาแล้วหลายตัว
แม้ว่าจะสามารถผลิตสุกรที่ไม่มียีนที่ผลิต เอนไซม์บีตา ๑, ๓ กาแลกโตซิลทรานสเฟอเรสได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถนำอวัยวะ ของสุกรไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยได้ เนื่องจากยังมีความวิตกกังวลในเรื่องอวัยวะของสุกรที่อาจมีเชื้อโรคต่างๆ ที่ติดต่อถึงคนได้ จึงจำเป็นต้องผลิตสุกรที่มีความปลอดเชื้อโรคต่างๆ ก่อน จึงจะสามารถนำไปใช้ปลูกถ่ายให้แก่มนุษย์ได้จริง
๒. การโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนของสัตว์ป่า สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ หรือสัตว์สูญพันธุ์
โดยทั่วไปวิธีการโคลนนิ่งสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ได้แก่
๑. การโคลนนิ่งภายในชนิดเดียวกัน (Intraspecies cloning)
เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบและไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์ชนิดเดียวกันมาโคลนนิ่ง
๒. การโคลนนิ่งข้ามชนิดและข้ามสกุล (Interspecies and genus cloning)
เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบของสัตว์ชนิดหนึ่ง และใช้ไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์อีกสกุลหนึ่งมาโคลนนิ่ง
๓. การโคลนนิ่งข้ามสกุล (Intergeneric cloning)
เป็นวิธีการใช้เซลล์ต้นแบบของสัตว์สกุลหนึ่ง และใช้ไซโทพลาซึมผู้รับของสัตว์อีกสกุลหนึ่งมาโคลนนิ่ง
วิธีการโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์ใกล้สูญพันธุ์มักใช้เทคนิควิธีการโคลนนิ่งข้ามชนิด ซึ่งก็คือ การนำไข่หรือไซโทพลาซึมผู้รับ จากสัตว์คนละชนิดกันกับสัตว์เจ้าของเซลล์ต้นแบบมาใช้ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของตัวอ่อน เช่น การโคลนนิ่งกระทิง โดยใช้เซลล์ต้นแบบจากผิวหนังกระทิง (Bos gaurus) แต่ใช้ไซโทพลาซึมผู้รับจากไข่โค (Bos taurus และ Bos indicus) ในอดีตการเพิ่มจำนวนสัตว์ใกล้สูญพันธุ์นิยมใช้วิธีการปฏิสนธิในหลอดแก้วและการถ่ายโอนตัวอ่อน แต่ปัจจุบัน การโคลนนิ่งข้ามชนิด เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มจำนวนสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นมา มีการรวบรวมเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการโคลนนิ่งสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หลายๆ ชนิด เช่น การทดสอบ หาไซโทพลาซึมผู้รับที่เหมาะสมสำหรับการโคลนนิ่งสัตว์ต่างชนิดและต่างสกุล ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า มีไข่ จากสัตว์หลายชนิดที่นิยมนำมาศึกษา เพื่อใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ เช่น ไข่แมว ไข่กระต่าย ไข่โค แต่ไข่โคจะเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากให้อัตราการเจริญของตัวอ่อนได้ดีกว่าไข่จากสัตว์ชนิดอื่นๆ สามารถนำมาใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมต่างชนิดได้ หรือเรียกว่าเป็น ไซโทพลาซึมสากล (universal recipient cytoplasm) นอกจากนี้ มีการทดลองนำไข่กระบือมาใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับสำหรับโคลนนิ่งโคเช่นกัน พบว่า ไข่กระบือ สามารถนำมาใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ สำหรับโคได้ แต่อัตราการเจริญของตัวอ่อนต่ำกว่าการใช้ไข่โค นอกจากไข่ของสัตว์ชนิดต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีไข่ของสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ (family) เดียวกับสัตว์ต้นแบบ สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งไซโทพลาซึมผู้รับได้เป็นอย่างดี เช่น การทดลองโคลนนิ่งเสือเกาหลี ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของไข่โค ที่มีคุณสมบัติเป็นไซโทพลาซึมสากลกับไข่แมวที่เป็นสัตว์วงศ์เดียวกับเสือว่า ไข่ของสัตว์ชนิดใด ที่สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งไซโทพลาซึมผู้รับสำหรับเสือเกาหลีได้ดีที่สุด จากผลการทดลองสรุปได้ว่า ไข่แมว สามารถใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับสำหรับเสือเกาหลีได้ดีกว่าไข่โค
โนอาห์ กระทิงโคลนนิ่งตัวแรก ซึ่งเสียชีวิตหลังเกิดมาได้ ๒ วัน
การโคลนนิ่งข้ามชนิดสัตว์ในวงศ์โค
กระทิงเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดแรก ที่ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งข้ามชนิด จนได้
ลูกกระทิงเกิดมาใน พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยคณะนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกา ใช้ไข่โค เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ หลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนระยะบลาสโทซีสต์ให้แม่โคตัวรับ และได้ลูกกระทิงโคลนนิ่งข้ามชนิดเกิดมาเป็นรายแรกของโลก ๑ ตัว ตั้งชื่อให้ว่า โนอาห์ (Noah) แต่เสียชีวิตหลังเกิดมาได้ ๒ วัน เนื่องจากติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
ในประเทศไทยคณะนักวิจัยในห้องทดลองของดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ได้ทดลองโคลนนิ่งกระทิง โดยใช้เซลล์ไฟโบรบราสต์ผิวหนัง ของกระทิงเพศผู้เป็นเซลล์ต้นแบบ และใช้ไข่โคเป็นไซโทพลาซึมผู้รับเช่นกัน แล้วถ่ายโอนตัวอ่อนระยะบลาสโทซีสต์ให้โคตัวรับ จำนวน ๑๐ ตัว พบว่าตัวรับตั้งท้อง ๑ ตัว เมื่อครบกำหนดจึงผ่าตัดทำคลอดโคตัวรับ ได้ลูกกระทิงเกิดมา ๑ ตัว แรกเกิดมีสุขภาพดี แต่หลังเกิดมาได้ ๓ ชั่วโมง ลูกกระทิงมีอาการหายใจหอบและต่อมาเสียชีวิตหลังจากเกิดมาได้ ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งจากการผ่าดูอวัยวะภายในพบว่า ปอดมีการเจริญไม่สมบูรณ์ นอกจากการโคลนนิ่งกระทิงแล้ว ยังมีการโคลนนิ่ง ในสัตว์ใกล้สูญพันธุ์วงศ์โคชนิดอื่นอีก ได้แก่ บันเต็ง (Banteng, Bos javanicus) โดยคณะนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกา ใช้เซลล์ผิวหนังของบันเต็งเป็นเซลล์ต้นแบบ ใช้ไข่โคเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ หลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนให้โคตัวรับ ได้ลูกบันเต็งเกิดมา ๒ ตัว แต่มีชีวิตรอดเพียงตัวเดียว
การโคลนนิ่งข้ามชนิดสัตว์ในวงศ์แพะและแกะ
พ.ศ. ๒๕๔๒ นักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกา รายงานการโคลนนิ่งข้ามชนิดของสัตว์ในตระกูลแพะและแกะที่ใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เริ่มจากมีการนำเซลล์ของอาร์กาลี (Argali, Ovis ammon) ซึ่งเป็นแกะภูเขาไปทำเซลล์ต้นแบบ และใช้ไข่แกะบ้าน (Ovis aries) เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ พบว่า แกะตัวรับตั้งท้องหลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนแต่แท้งทั้งหมด ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ คณะนักวิทยาศาสตร์อิตาลี ได้รายงานการโคลนนิ่งมูฟลอน (Ovis aries orientalis) ซึ่งเป็นแกะป่าที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเก็บเซลล์คิวมูลัสมูฟลอนหลังเสียชีวิต เพื่อใช้ทำเซลล์ต้นแบบ ใช้ไข่แกะบ้านเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ หลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนให้แกะบ้าน แล้วได้มูฟลอนเกิดมา ๑ ตัว มีสุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ใน พ.ศ. ๒๕๕๒ คณะนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสรายงาน การโคลนนิ่งบูคาร์โด (Capra pyrenaica pyrenaica) ซึ่งเป็นแพะภูเขาในสเปนที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยใช้เซลล์ไฟโบรบราสต์ของบูคาร์โดเชื่อมกับไข่แพะบ้าน (Capra hircus) ที่กำจัดนิวเคลียสออกไปแล้ว โดยถ่ายโอนตัวอ่อน ๑๕๔ ใบให้แพะตัวรับ ๔๔ ตัว เมื่อตรวจท้องในวันที่ ๔๕ หลังจากการถ่ายโอนตัวอ่อน พบว่ามีแพะตัวรับ ๕ ตัวตั้งท้อง แต่มีแพะตัวรับเพียงตัวเดียวที่ท้องจนครบกำหนด และได้ลูกบูคาร์โดเกิดมา ๑ ตัว แต่เสียชีวิตหลังจากที่เกิดออกมาแล้ว
บูคาร์โด หรือแพะภูเขา
การโคลนนิ่งข้ามสกุลหมีแพนด้า
ปัจจุบันในประเทศจีนมีหมีแพนด้าน้อยกว่า ๑,๐๐๐ ตัว จึงถือว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ในอดีตได้มีการนำเทคนิคต่างๆ มาช่วยในการขยายพันธุ์ เช่น การผสมเทียม การทำปฏิสนธิในหลอดแก้ว การถ่ายโอนตัวอ่อน เทคนิคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ การผสมเทียม ได้มีการศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ เพราะสามารถผลิตลูกหมีแพนด้าได้อย่างต่อเนื่อง การทดลองช่วงแรก อัตราความสำเร็จยังต่ำมาก แต่ในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้นมา พบว่าอัตราการเกิดของหมีแพนด้าเพิ่มอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยใน พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่มีลูกหมีแพนด้าเกิดจากการผสมเทียมมากที่สุด ใน พ.ศ. ๒๕๕๗ สวนสัตว์ต่างๆ ทั่วประเทศจีน มีลูกหมีแพนด้าเกิดมาจำนวน ๙๐ ตัว แต่มีเพียง ๗๗ ตัวที่ยังมีชีวิตและมีสุขภาพแข็งแรงหลังเกิดมา อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนของหมีแพนด้าโดยการผสมเทียมก็ยังไม่ทันต่อจำนวนที่ลดลงทุกๆ ปี รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ในประเทศทำวิจัย ศึกษาระบบสืบพันธุ์ของหมีแพนด้า โดยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการอนุรักษ์หมีแพนด้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อโคลนนิ่งหมีแพนด้า โดยนักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน (Chinese Academy of Science: CAS) ได้รับทุนสนับสนุน ให้โคลนนิ่งหมีแพนด้า เริ่มการวิจัยโดยใช้เซลล์จากแหล่งต่างๆ ของหมีแพนด้า เช่น เซลล์จากเต้านม เซลล์เยื่อบุท่อนำไข่ เซลล์กล้ามเนื้อ มาเป็นเซลล์ต้นแบบสำหรับโคลนนิ่ง และใช้ไข่กระต่ายเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ จากการทดลองพบว่า เซลล์จากเต้านมเป็นแหล่งของเซลล์ต้นแบบที่ดีที่สุดในการนำมาโคลนนิ่งหมีแพนด้า นอกจากนี้ ยังได้มีการนำตัวอ่อนที่ได้มานั้น ถ่ายโอนให้แมวบ้านเป็นแม่ตัวรับเพื่อทดสอบการตั้งท้อง ปรากฏว่า ตัวอ่อนหมีแพนด้าที่ใช้ไข่กระต่ายเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ สามารถฝังตัวในมดลูกของแมวได้ แต่ไม่สามารถเจริญอยู่จนครบกำหนด ปัจจุบัน การโคลนนิ่งหมีแพนด้า ยังไม่มีรายงานที่ประสบความสำเร็จจนลูกหมีแพนด้าเกิดมา ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการหาสัตว์ที่จะนำมาใช้เป็นแม่ตัวรับด้วย เนื่องจากในปัจจุบันนี้ การโคลนนิ่งหมีแพนด้าได้นำไข่กระต่ายมาใช้เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ แล้วถ่ายโอนตัวอ่อนให้แมวบ้านเป็นแม่ตัวรับเพื่อตั้งท้อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทั้งกระต่ายและแมวมีความแตกต่างจากหมีแพนด้ามาก เช่น ขนาดของลูกแรกเกิด ระยะเวลาในการตั้งท้อง ดังนั้น การหาสัตว์ชนิดอื่นที่มีขนาดใกล้เคียงกับหมีแพนด้ามาเป็นแม่ตัวรับและตัวให้ไข่ น่าจะทำให้การโคลนนิ่งหมีแพนด้าประสบความสำเร็จมากกว่า ทั้งนี้ คณะนักวิจัยไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะโคลนนิ่งหมีแพนด้า เพื่อเป็นการทดแทนหมีแพนด้าที่เกิดโดยธรรมชาติ แต่ทดลอง เพื่อต้องการเพิ่มจำนวนของหมีแพนด้า ให้ทันต่อการลดลงอย่างต่อเนื่องเท่านั้น เพราะถ้าการโคลนนิ่งประสบความสำเร็จก็จะสามารถเพิ่มจำนวนของหมีแพนด้าให้มากขึ้น ในระยะเวลาอันรวดเร็วในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการวิจัยเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง ทั้งนี้ ใน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีการจัดตั้งธนาคารเซลล์ เพื่ออนุรักษ์เซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพันธุ์ของหมีแพนด้าควบคู่กันไปด้วย
หมีแพนด้าที่เกิดจากการผสมเทียม
การโคลนนิ่งข้ามชนิดสัตว์ในวงศ์ม้า
การนำสัตว์ต่างชนิดที่มีจำนวนโครโมโซมไม่เท่ากันมาผสมพันธุ์กัน ลูกที่เกิดจะมีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ม้ามีโครโมโซม ๖๔ แท่ง และลามีโครโมโซม ๖๒ แท่ง เมื่อผสมพันธุ์กันจะได้ลูกที่เรียกว่า ล่อ ซึ่งมีโครโมโซม ๖๓ แท่ง แต่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ การเพิ่มจำนวนล่อเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากล่อเป็นสัตว์ที่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้โดยวิธีธรรมชาติ ใน พ.ศ. ๒๕๔๖ นักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้รายงานการโคลนนิ่งล่อเพื่อเพิ่มจำนวน โดยใช้ไข่ม้าเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ และถ่ายโอนตัวอ่อนให้ม้าตัวรับ ซึ่งประสบผลสำเร็จ ได้ลูกล่อโคลนนิ่งเกิดมา ๓ ตัว การทดลองนี้ นับเป็นการทดลองโคลนนิ่งสัตว์ตระกูลม้าที่ประสบความสำเร็จเป็นรายแรกของโลก และเป็นความสำเร็จของการโคลนนิ่งสัตว์ ที่ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้โดยวิธีธรรมชาติ แต่การโคลนนิ่งล่อก็ยังมีอัตราการประสบความสำเร็จไม่สูงมาก เพราะยังมีอัตราการแท้งสูงเหมือนกับลูกสัตว์โคลนนิ่งชนิดอื่นๆ
การโคลนนิ่งข้ามชนิดและข้ามสกุลสัตว์ในวงศ์แมว
การโคลนนิ่งข้ามชนิดและข้ามสกุลเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในวงศ์แมว เป็นงานวิจัยที่มีการศึกษากันอย่างจริงจัง ในหลายประเทศ สำหรับในประเทศไทย คณะนักวิจัยของดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ได้ทำการทดลองโคลนนิ่งข้ามชนิดแมวดาว (Leopard cat, Felis bengalensis) โดยใช้เซลล์ผิวหนังแมวดาวเป็นเซลล์ต้นแบบและใช้ไข่แมวบ้าน (Felis catus) เป็นไซโทพลาซึมผู้รับ สามารถได้ตัวอ่อนเจริญถึงระยะบลาสโตซีสต์ และได้ทำการโคลนนิ่งข้ามสกุลแมวลายหินอ่อน (Marbled cat, Pardofelis marmorata) โดยใช้เซลล์ผิวหนังแมวลายหินอ่อนเป็นเซลล์ต้นแบบ และไข่แมวบ้านเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ ได้ตัวอ่อนเจริญถึง ระยะมอรูลาเท่านั้น ไม่สามารถผลิตตัวอ่อนระยะบลาสโตซีสต์ได้ ส่วนการนำเซลล์ผิวหนังแมวดาว เป็นเซลล์ต้นแบบได้ตัวอ่อนระยะบลาสโตซีสต์ และหลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิ่งแมวบ้านจำนวน ๒๔๗ ใบให้แมวตัวรับ ๑๒ ตัว พบว่าแมวตัวรับ ๒ ตัวตั้งท้อง ได้ลูก ๗ ตัว แต่เมื่อถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิ่งแมวลายหินอ่อนจำนวน ๔๖๑ ใบให้แมวบ้านตัวรับ ๑๒ ตัว พบว่าไม่มีตัวใดตั้งท้อง
แมวลายหินอ่อน
การทดลองที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ การโคลนนิ่งข้ามชนิดแมวป่าแอฟริกา (Felis libyca) ใน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริการายงานการโคลนนิ่งข้ามชนิดแมวป่าแอฟริกา โดยใช้ไข่แมวบ้านเป็นไซโทพลาซึมผู้รับ และถ่ายโอนตัวอ่อนให้แมวบ้าน ได้ลูกแมวป่าแอฟริกาที่เกิดจากการโคลนนิ่งหลายตัว ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๔๘ นักวิทยาศาสตร์คณะนี้ ได้รายงานว่า แมวป่าแอฟริกาที่เกิดจากการโคลนนิ่งมีอัตราการเจริญเติบโตเป็นปกติ สามารถสืบพันธุ์ และให้กำเนิดลูกแมวได้ เหมือนแมวที่เกิดจากการผสมพันธุ์ตามวิธีธรรมชาติ โดยแมวป่าแอฟริกาโคลนนิ่งเพศเมีย ๒ ตัว ชื่อว่า แมดจ์ (Madge) และแคที (Caty) ได้ผสมพันธุ์กับแมวป่าแอฟริกาโคลนนิ่งเพศผู้ชื่อว่า ดิตโต (Ditteaux) ทั้งแมดจ์และแคทีได้ตั้งท้องและให้กำเนิดลูกแมว โดยแมดจ์เกิดลูกแมว ๕ ตัว และแคทีเกิดลูกแมว ๓ ตัว จากรายงานนี้ยืนยันได้ว่า แมวที่เกิดจากการโคลนนิ่งข้ามชนิด สามารถสืบพันธุ์ได้
แมวป่าแอฟริกาที่เกิดจากการโคลนนิ่งข้ามชนิด
๓. การโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์พันธุกรรมดีเยี่ยม
ความพยายามในการที่จะเพิ่มจำนวนของสัตว์ที่มีพันธุกรรมดีเยี่ยม โดยเฉพาะโคที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญ ดังเช่นในประเทศญี่ปุ่น โคดำญี่ปุ่น (Japanese black cattle) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โคโกเบ ได้ชื่อว่าเป็นโคที่มีไขมันแทรกดีที่สุดในโลก การปรับปรุงพันธุ์มีมานานนับร้อยปี จนได้โคโกเบที่มีพันธุกรรมดีเยี่ยม โดยเฉพาะพ่อโคตัวที่ผ่านการทดสอบสายพันธุ์ เมื่อมีอายุมากจะไม่สามารถรีดเก็บน้ำเชื้อได้ และอาจเกิดอุบัติเหตุหรือป่วยตายเมื่อใดก็ได้ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ยังมีพันธุกรรม ของโคโกเบเหล่านี้ไว้ใช้งานในอนาคตแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม นักวิทยาศาสตร์จึงได้เก็บเซลล์ร่างกายของโคโกเบ นำมาเพาะเลี้ยง เพื่อทำธนาคารเซลล์แช่แข็งเก็บไว้ สำหรับนำไปโคลนนิ่งลูกโคโกเบออกมาใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จใน พ.ศ. ๒๕๔๑ ส่วนในวงการโคนมก็เช่นเดียวกัน มีการโคลนนิ่งลูกโคจากแม่โคที่ให้น้ำนมมากออกมาแล้วที่ประเทศนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ดี มีการพิสูจน์แล้วว่า โคเพศผู้ที่เกิดจากการโคลนนิ่งมีการผลิตตัวอสุจิที่ปกติ และเมื่อนำไปผสมเทียมกับโคเพศเมียแล้ว สามารถให้ลูกได้ตามปกติ ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำนมจากโคนมที่เกิดจากการโคลนนิ่งพบว่า ไม่แตกต่างจากโค ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ทั่วไป นอกจากโคแล้ว ม้าก็เป็นสัตว์เศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่มีผู้สนใจโคลนนิ่งและมีรายงานการเกิดมาแล้ว
ลูกโคโกเบจากการโคลนนิ่ง
ใน พ.ศ. ๒๕๕๗ บริษัทเอกชนที่เปิดบริการโคลนนิ่งโคและสุกร ดังนี้
- บริษัท Cyagra ในสหรัฐอเมริกา ผลิตโคโคลนนิ่งสายพันธุ์ต่างๆ แล้วกว่า ๑๐๐ ตัว บริษัทนี้ได้เปิดสาขาให้บริการโคลนนิ่งในประเทศบราซิลและอาร์เจนตินาด้วย
- บริษัท ViaGen ในสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งม้า โค และสุกร โดยเปิดบริการโคลนนิ่งและรับเก็บเซลล์แช่แข็งสัตว์ดังกล่าว อีกทั้งยังมีบริการ เก็บเซลล์แช่แข็ง ของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว
- บริษัท Advanced Cell Technology ในสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จ ในการโคลนนิ่ง ลูกโคและลูกกระทิง และเปิดรับบริการโคลนนิ่งสุกรและโค
- บริษัท L’Alliance Boviteq ในประเทศแคนาดา ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่ง โคพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชียนรายแรกของประเทศ โดยเป็นความร่วมมือ กับคณะสัตวแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมอนทรีออล และรับผลิตตัวอ่อนโค โดยการปฏิสนธิทั้งในร่างกายและหลอดแก้ว รวมถึงการชะล้างตัวอ่อนจากโคตัวให้ การแช่แข็งตัวอ่อน และการตรวจสอบเพศของตัวอ่อน
๔. การโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว เป็นสัตว์ที่มีความผูกพันและใกล้ชิดกับมนุษย์มาก ผู้ที่รักสัตว์จึงต้องการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงที่ตนเองรัก ขึ้นมาใหม่เมื่อสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวเดิมไป ซึ่งความต้องการนี้ได้เป็นจริงใน พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกา ได้รายงานความสำเร็จในการผลิตแมวโคลนนิ่งตัวแรกของโลก หลังจากนั้นคณะนักวิทยาศาสตร์เกาหลีใต้ได้รายงานความสำเร็จ การโคลนนิ่งแมวเช่นกัน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะนักวิจัยของดร.รังสรรค์ พาลพ่าย ก็ได้รายงานการเกิดแมวโคลนนิ่ง ในประเทศไทย
การโคลนนิ่งสุนัขมีรายงานก่อนหน้านี้ว่ามีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เช่น ความไม่เข้าใจ ในระบบสืบพันธุ์ของสุนัขดีพอ เพราะข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของสุนัขยังมีน้อยมาก เหตุผลอีกประการหนึ่งอาจเป็นเพราะ ผู้สนใจที่จะศึกษาระบบสืบพันธุ์ของสุนัขเป็นเพียงกลุ่มคนบางอาชีพ เช่น นักชีววิทยา สัตวแพทย์ ทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ของสุนัขไม่มากนัก นอกจากนี้ การเป็นสัดที่ไม่สม่ำเสมอของสุนัขทำให้การเก็บไข่ เพื่อนำมาโคลนนิ่งหรือถ่ายโอน
ตัวอ่อนโคลนนิ่งให้สุนัขตัวรับนั้นทำได้ยาก ทั้งนี้โดยปกติสุนัขที่ไม่ได้รับการกระตุ้นฮอร์โมนเพื่อเร่งการตกไข่จะเป็นสัดเพียงปีละ ๑-๒ ครั้ง หรือทุก ๖-๑๒ เดือน วงจรการตกไข่ของสุนัขแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ เพราะไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น โค กระบือ แพะ แกะ โดยทั่วไปจะสุกพร้อมปฏิสนธิที่รังไข่ และจะตกมาที่ท่อนำไข่ เพื่อรอการปฏิสนธิกับอสุจิ แต่สำหรับไข่ของสุนัข ที่ตกมาจากรังไข่ยังไม่พร้อมที่จะปฏิสนธิ จะต้องรออีกประมาณ ๒-๕ วันในท่อนำไข่ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ยากต่อการกำหนดวันเวลา สำหรับการเก็บไข่ออกมาทำการทดลอง จะต้องเจาะเลือดสุนัขทุกวันเพื่อตรวจหาฮอร์โมนที่บ่งชี้ว่าไข่กำลังจะสุก เพื่อกำหนดวันเวลาเก็บไข่จากท่อนำไข่ อีกเหตุผลที่ทำให้การโคลนนิ่งสุนัขประสบความสำเร็จได้ยากคือ ความขัดแย้งด้านจริยธรรม เพราะสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่มนุษย์นิยมเลี้ยงมากที่สุด ดังนั้น การโคลนนิ่งอาจทำให้สุนัขเกิดความผิดปกติได้ จึงมีผู้คัดค้านการโคลนนิ่งสุนัข เพราะไม่ต้องการเห็นสุนัขที่ผิดปกติเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถหาทางแก้ไข เช่น การคิดค้นสูตรน้ำยาสำหรับเลี้ยงไข่สุนัขให้สุกในหลอดแก้ว โดยไม่ต้องให้ไข่สุกเอง ภายในร่างกาย
สนูปปี้ สุนัขโคลนนิ่ง
ใน พ.ศ. ๒๕๔๘ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้ประกาศความสำเร็จเป็นรายแรกของโลก ในการโคลนนิ่งสุนัข โดยใช้เซลล์ร่างกายเป็นเซลล์ต้นแบบ คณะนักวิจัยตั้งชื่อสุนัขตัวนี้ว่า สนูปปี้ (Snuppy)
สนูปปี้กับสุนัขพันธุ์แอฟริกันฮาวนด์ที่เป็นผู้ให้เซลล์ต้นแบบ (ซ้าย) และแม่อุ้มท้องพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (ขวา
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทางคณะนักวิจัยได้ นำอสุจิของสนูปปี้ ไปทำการผสมเทียมกับสุนัขโคลนนิ่งเพศเมีย ๒ ตัว ได้ลูกสุนัขเกิดมา ๑๐ ตัว แต่เสียชีวิต ๑ ตัว (อายุประมาณ ๑ เดือน) อีก ๙ ตัว มีสุขภาพแข็งแรงดี
นักวิจัยคณะนี้ยังรายงานความสำเร็จการโคลนนิ่งสุนัขออกมาอีกหลายสายพันธุ์ เช่น ในปลาย พ.ศ. ๒๕๕๐ กรมศุลกากรของประเทศเกาหลีใต้และนักวิทยาศาสตร์คณะนี้ ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งสุนัขดมกลิ่น โดยใช้เซลล์ จากสุนัขดมกลิ่นสายพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อ ว่า เชส (Chase) ได้ลูกสุนัขทั้งหมด ๗ ตัว จากแม่ตัวรับ ๓ ตัว คณะผู้วิจัยตั้งชื่อสุนัขเหล่านี้ว่า ท็อปปี้ (Toppy) ซึ่งมาจาก Tomorrow’s puppy ภายหลังจากการทดสอบพฤติกรรม และตรวจสอบคุณภาพทางพันธุกรรม ลูกสุนัข ๖ ตัวผ่านการทดสอบ ลูกสุนัขโคลนนิ่งเหล่านี้จะถูกฝึกให้เป็นสุนัขดมกลิ่น เพื่อเข้าปฏิบัติงานตรวจหาสารเสพติดที่สนามบินนานาชาติและด่านพรมแดน โฆษกของกรมศุลกากรเกาหลีใต้ได้ระบุว่า ลูกสุนัข ที่เกิดโดยวิธีธรรมชาติมีเพียงร้อยละ ๓๐ ที่สามารถนำมาฝึกให้เป็นสุนัขดมกลิ่นได้ แต่ถ้าใช้วิธีการโคลนนิ่งจะมีลูกสุนัขถึงร้อยละ ๙๐ ที่สามารถฝึกให้เป็นสุนัขดมกลิ่น
ลูกสุนัขโคลนนิ่ง โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อไขมัน ของสุนัขพันธุ์บีเกิล
ใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศูนย์ฝึกอบรมสุนัขดมกลิ่น ประเทศญี่ปุ่นและคณะวิจัยของบริษัท RNL Bio ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้น โดยความร่วมมือ ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งสุนัขดมกลิ่นเพื่อตรวจหามะเร็งในมนุษย์ ได้ลูกสุนัขทั้งหมด ๔ ตัว โดยใช้เซลล์ต้นแบบจากสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ เพศเมียสีดำ อายุ ๖ ปีครึ่ง ชื่อว่า มารีน (Marine) ซึ่งมีความสามารถในการดมกลิ่นเซลล์มะเร็งจากปัสสาวะหรือลมหายใจ ลูกสุนัขโคลนนิ่งเหล่านี้ได้รับการฝึกเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ในประเทศเกาหลี ก่อนจะส่งไปฝึกเป็นสุนัขดมกลิ่นเซลล์มะเร็งที่ประเทศญี่ปุ่น ในปีเดียวกัน บริษัท RNL Bio ก็ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ในการโคลนนิ่งสุนัขพันธุ์พิตบูลล์เทอร์เรียร์ ชื่อว่า บูเกอร์ (Booger) ซึ่งตายด้วยโรคมะเร็งใน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยได้มีการเก็บเนื้อเยื่อใบหูไปเพาะเลี้ยงเก็บไว้ แล้วส่งไปยังบริษัท RNL Bio เพื่อทำการโคลนนิ่ง จนได้ลูกสุนัขโคลนนิ่งเกิดมา ๕ ตัวใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ถือว่าเป็นการโคลนนิ่งสุนัขเพื่อการค้าได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก
สุนัขพันธุ์บีเกิลของเกาหลีใต้ที่ได้จากการโคลนนิ่ง
ประโยชน์ของการโคลนนิ่งมีหลายด้านดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ การปศุสัตว์ การอนุรักษ์สัตว์ป่า หรือการเพิ่มจำนวนของสัตว์เลี้ยง แต่เทคโนโลยีการโคลนนิ่งอาจเป็นโทษ ถ้านำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น การโคลนนิ่งมนุษย์สำหรับใช้เป็นแหล่งอวัยวะทดแทน อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์หรือโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จะนำไปใช้งาน ดังนั้น ควรไตร่ตรองเลือกใช้เทคโนโลยีในทางที่เหมาะสม เพื่อเป็นประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติต่อไป