ประเภทของเพลงกล่อมเด็ก
เพลงกล่อมเด็กของไทยแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
๑) เพลงกล่อมเด็กของราษฎร์ หรือเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน
๒) เพลงกล่อมเด็กของหลวง หรือเพลงกล่อมเด็กราชสำนัก
การแบ่งเพลงกล่อมเด็กดังกล่าวนี้ ถือเป็นการแบ่งโดยอาศัยพื้นที่ สถานที่ และกลุ่มคนซึ่งร้องเพลงกล่อมเด็ก คือ เพลงกล่อมเด็กของชาวบ้าน แต่งขึ้นร้องกันอยู่ในบ้านเรือนของตน เพื่อให้เด็กที่เป็นลูกหลานฟัง เป็นเพลงที่แพร่หลาย ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ส่วนเพลงกล่อมเด็กของหลวง แต่งขึ้น เพื่อให้พระพี่เลี้ยงนางนมหรือข้าหลวงใช้ขับกล่อมถวาย พระราชโอรส พระราชธิดา เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น และจากหลักฐานที่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสันนิษฐานได้ว่า เพลงกล่อมเด็กของหลวงน่าจะเกิดขึ้นภายหลังเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน
๑. เพลงกล่อมเด็กของราษฎร์ หรือเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน
เพลงกล่อมเด็กของราษฎร์ หรือเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน ถือเป็นส่วนหนึ่งของเพลงพื้นบ้าน เนื้อหา ทำนอง และคำร้อง จึงมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละท้องถิ่น คือ สภาพแวดล้อม สังคม ความเชื่อ ประเพณี รวมทั้งภาษาถิ่น ดังนั้น การเรียกชื่อเพลงกล่อมเด็กจึงแตกต่างกัน ดังนี้
ภาคกลาง เรียกว่า เพลงกล่อมเด็ก หรือ เพลงกล่อมลูก
ภาคเหนือ เรียกว่า เพลงอื่อ เพลงอื่อลูก เพลงอื่อ จา จา เพลงสิกก้องก๋อ เพลงสิกจุ่งจา
ภาคอีสาน เรียกว่า เพลงก่อมลูก เพลงนอนสาหล่า เพลงนอนสาเยอ เพลงนอนสาเด้อ
ภาคใต้ เรียกว่า เพลงร้องเรือ เพลงช้าเรือ เพลงชาเรือ เพลงชาน้อง เพลงช้าน้อง หรือเพลงน้องนอน
๑) ลักษณะและเนื้อหาของเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน
เพลงกล่อมเด็กเกิดขึ้นจากชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เริ่มต้นขึ้นในครอบครัว โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง ที่เลี้ยงดูเด็กเป็นผู้คิดคำร้องใช้เห่กล่อมลูกหลานของตนภายในบ้านก่อน ต่อมาเมื่อบทเพลงใดมีความไพเราะติดหูผู้ได้ยินได้ฟัง ก็จดจำและนำไปร้องต่อในชุมชนจนแพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้น และใช้ร้องกล่อมเด็กสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น ทั้งนี้ แม้ว่าเนื้อเพลงกล่อมเด็กของแต่ละท้องถิ่นอาจใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษา และเนื้อหาสาระที่แตกต่างกันไป ตามสำเนียงภาษาถิ่น สภาพสังคม และค่านิยมความเชื่อ หากแต่เพลงกล่อมเด็กก็มีลักษณะและเนื้อหาทั่วไปที่คล้ายคลึงกัน สรุปได้ดังนี้
ก. ฉันทลักษณ์ไม่ตายตัว เช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้านของไทยทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นบทเพลงสั้นๆ ที่มีสัมผัสคล้องจองกัน ความยาวของบทเพลงไม่แน่นอน มีเพลงสั้นๆ ที่คำร้องเริ่มตั้งแต่ ๔-๕ วรรค จนถึงเพลงที่ยาวเกิน ๑๐ วรรค ขึ้นไป จำนวนคำในแต่ละวรรคก็ไม่ได้กำหนดตายตัวเช่นกัน คือเริ่มตั้งแต่วรรคละ ๔-๖ คำ อาจมีบางวรรคที่ยาวกว่า ๖ คำ ตัวอย่างเช่น


ข. ใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาที่เรียบง่าย และตรงไปตรงมา เนื่องจากเป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นบทกล่อมเด็ก บทปลอบเด็ก และบทเด็กเล่น เด็กที่ฟังก็มีตั้งแต่เด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้จนถึงเด็กที่หัดพูด บทร้องที่ผู้ใหญ่แต่งขึ้นจึงพยายามใช้คำง่ายๆ ที่เกี่ยวกับกิริยาอาการในชีวิตประจำวัน ชื่อต้นไม้ ชื่อสัตว์ ผูกเป็นประโยคสั้นๆ เมื่อเด็กได้ฟังบ่อยๆ ก็จดจำได้ง่าย และหัดพูดหรือร้องตามได้ เช่น "ถ้าตั้งไข่ล้ม จะต้มไข่กิน ไข่พลัดตกดิน ใครอย่ากินไข่เน้อ" "โยกเยกเอย น้ำท่วมถึงเมฆ กระต่ายลอยคอ อ้ายหมาหางงอ กอดคอโยกเยก" "หมาหางกิด ไต่คันนาด้อมด้อม หมาหางก้อม ไต่คันนาดิดดิด" "...กล้วยเครือใด ดีดีหวานหวาน พ่อแม่เจ้าแอ่วซื้อ หื้อเจ้าลูกหลาน..." "อื่อ จา จา หลับสองตาอย่าไห้..." "...หลับเหียเทอะนา ไก่น้อยจักมาสับตา..." "...แม่ไปไฮ่สิปิ้งไก่มาหา แม่ไปนาสิปิ้งปามาป้อน..."
ค. ท่วงทำนองที่จดจำได้ง่าย และผสมกับการร้องเอื้อนเสียงยาว วัตถุประสงค์หลักของเพลงกล่อมเด็ก คือ ต้องการให้เด็กนอนหลับ และใช้ร้องกันทั่วไปทุกบ้านทุกครอบครัว ดังนั้น ทำนองของเพลงจึงไม่ซับซ้อน จำได้ง่ายๆ ร้องได้ทุกคน โดยผู้ร้องจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มเย็น มักเริ่มต้นเพลงหรือลงท้ายวรรคด้วยการเอื้อนเสียงยาว และจบเพลงด้วยเสียงฮึมยาวๆ ในคอ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนจบ เพื่อให้เด็กเกิดความเคลิบเคลิ้มผล็อยหลับไปในที่สุด
ง. เนื้อหาแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่มีต่อลูกหลาน ถ่ายทอดความห่วงใย บอกกล่าวถึงสิ่งดีๆ ที่ตั้งใจทำให้เด็ก ใช้ถ้อยคำปลอบประโลมชักชวนให้เด็กนอนหลับ ตักเตือนไม่ให้ร้องไห้โยเยรบกวนผู้ใหญ่ คำที่ใช้เรียกขานเด็ก ก็เป็นคำที่แสดงถึงความรัก ความเอ็นดู ความน่าทะนุถนอม อ่อนโยน และน่าฟัง หรือเป็นคำที่มีความหมายถึงสิ่งดีงาม มีคุณค่า เช่น ขวัญข้าว ขวัญอ่อน เจ้าเนื้อละมุน เจ้าเนื้ออุ่น เจ้าเนื้อเย็น เจ้าทองดี เจ้าบุญประเสริฐ แก้วแก่นไท้ ทองคำลูกแม่ เจ้าดวงอุทัยของแม่ ดังตัวอย่างบทเพลงกล่อมเด็กภาคต่างๆ
ในบางครั้งเมื่อไกวเปลเห่กล่อมด้วยเพลงที่อ่อนโยนปลอบประโลมชักชวนให้นอนหลับ แต่เด็กไม่ยอมหลับ ทั้งยังร้องไห้โยเย เป็นเวลานาน ผู้ใหญ่ก็อาจร้องเพลงที่ขู่ให้เด็กกลัว ดังตัวอย่างบทเพลง
จ. เนื้อหากล่าวถึงธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม เนื้อร้องในเพลงกล่อมเด็กของไทยนอกจากมุ่งเน้น ปลอบให้เด็กหลับ และถ่ายทอดความรักความผูกพันที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็ก ยังได้นำเรื่องราวจากธรรมชาติ เช่น สัตว์ พืช ฝนตก ฟ้าร้อง แดดออก และสิ่งแวดล้อมที่มีในท้องถิ่นมาแต่งขึ้นเพื่อร้องกล่อมเด็กด้วย ดังตัวอย่าง
ฉ. เนื้อหาเล่าเรื่องราวจากนิทาน ตำนาน และวรรณคดี เพลงกล่อมเด็กได้พัฒนามาจากบทเพลงสั้นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กโดยตรง หรือเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาเป็นบทเพลงที่ยาวขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจาก ผู้ร้องมีประสบการณ์ในการร้องเพลงพื้นบ้านประเภทอื่น และมีความรู้จากการอ่านหนังสือหรือการฟัง จึงนำเนื้อเรื่องจากนิทาน ตำนาน หรือวรรณคดีมาใช้แต่งเพลงร้องกล่อมเด็ก พร้อมกับร้องเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้ตนเองและผู้ฟังคนอื่นๆ ด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้




ช. เนื้อหาเป็นคติเตือนใจ สะท้อนสังคม ล้อเลียนและเสียดสีพฤติกรรมของคนในสังคม เพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านทุกภาค บางเพลงมีเนื้อร้องที่สอดแทรกการอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี มีศีลธรรม และสอนให้ประพฤติปฏิบัติตนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้หลายเพลง ก็สะท้อนความเป็นไปในสังคม คือ บอกเล่าถึงคนที่ประพฤติไม่ดี และอาจถึงขั้นเสียดสีหรือติเตียนการกระทำที่ไม่ดีด้วย ในความเป็นจริงแล้วเด็กเล็กที่นอนแบเบาะ หรือนอนอยู่ในเปลคงยังไม่เข้าใจเนื้อร้องที่ได้ฟัง แต่ผู้ร้องคงตั้งใจอบรมให้เด็กโต ที่อยู่ในบ้าน ได้ยินได้ฟัง และร้องเพื่อสื่อสารให้คนอื่นๆ ในชุมชนได้รับรู้ด้วย
ตัวอย่างเพลงชาน้องของภาคใต้ ที่กล่าวถึงผู้หญิงที่ประพฤติตัวไม่ดี และสอนเรื่องการใช้ชีวิต เมื่อแต่งงานแล้ว
ตัวอย่างจากเพลงกล่อมเด็กของภาคอีสาน ที่กล่าวถึงความขยันขันแข็งของผู้หญิง และกล่าวประชดประชันความหยิบโหย่ง

๒) ลักษณะเฉพาะเพลงกล่อมเด็กชาวบ้านภาคต่างๆ
เพลงกล่อมเด็กของไทย แม้จะมีลักษณะและเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันดังกล่าวมาแล้ว หากบทเพลงที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ก็มีความแตกต่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของภาคนั้นๆ ถ้อยคำและสำนวนภาษาแสดงถึงสำเนียงท้องถิ่น บทร้องและเนื้อหา สะท้อนวิถีชีวิตและสภาพสังคม ส่วนท่วงทำนองแสดงถึงนิสัยใจคอของชาวบ้าน ผู้แต่ง และผู้ร้องเพลงกล่อมเด็กได้อย่างชัดเจน ดังจะกล่าวถึงเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านแต่ละภาค ดังนี้
เด็กนอนหลับสนิท เมื่อฟังเพลงเห่กล่อม แม้จะยังไม่เข้าใจเนื้อร้องของเพลง
ก. เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง บทเพลงกล่อมเด็กภาคกลางส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆ ใช้ถ้อยคำเรียบง่ายและคล้องจองกัน มุ่งเน้นการเห่กล่อมให้เด็กนอนหลับ ปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้ บอกกล่าวถึงความรัก ความห่วงใย แสดงความเอ็นดู โดยใช้คำเรียกขานเด็ก ที่แตกต่างหลากหลายไป เช่น
นอกจากใช้คำเรียกขานดังบทเพลงข้างต้นแล้ว เพลงกล่อมเด็กภาคกลางหลายบท ยังใช้ชื่อนกชนิดต่างๆ เป็นคำเรียกขานแทนเด็กด้วย เช่น นกกระจิบ นกกระจาบ นกสีชมพู นกเขา นกเขาเถื่อน นกเอี้ยง ดังตัวอย่างเช่น
เพลงกล่อมเด็กภาคกลางไม่ได้เป็นเพียงบทร้องสั้นๆ ที่มีเนื้อหาเห่กล่อมเด็กเท่านั้น แต่ยังนำเรื่องราวจากธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้น มาแต่งขึ้นเป็นเพลงใช้ร้องกล่อมเด็ก เพลงที่นิยมร้องแพร่หลายอยู่เกือบทุกจังหวัด ในภาคกลาง และยังมีผู้กล่าวถึงเสมอเมื่อเอ่ยถึงเพลงกล่อมเด็ก คือ เพลง "กาเหว่า" ซึ่งเล่าถึงธรรมชาติของนกกาเหว่า ที่แอบไปไข่ทิ้งไว้ให้แม่กาฟักและเลี้ยงดูลูกแทน ส่วนเพลงอื่นๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในสังคม เช่น เพลง "การะเกด" เพลง "วัดโบสถ์" เพลง "ขนมแฉ่งม้า"


ข. เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ หรือเพลงกล่อมเด็กล้านนา เรียกว่า เพลงอื่อ จา จา (บางตำราว่า อื่อ ชา ชา) ตามเสียงที่เอื้อนออกมาตอนขึ้นต้นเพลง ด้วยการเปล่งเสียงหึ่งออกทางจมูกเพื่อให้เกิดความนุ่มนวล ชวนให้เด็กหลับไปได้ง่าย เนื้อเพลงมีลักษณะคำประพันธ์ไม่ตายตัว และจำนวนคำสัมผัสไม่เคร่งครัดเช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้านอื่นๆ การร้องใช้ทำนองร่ำ (ออกเสียงว่า "ฮ่ำ") โดยเอื้อนเสียงทอดยาวที่พยางค์สุดท้ายของวรรค และเปล่งเสียงขึ้นลงตามระดับสูงต่ำ ของเสียงวรรณยุกต์ เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือมีร้องกันแพร่หลายมากในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน เนื้อหาของเพลงมุ่งชักจูงให้เด็กนอนหลับ ใช้ถ้อยคำที่มีทั้งการปลอบประโลม ขู่ให้กลัว และติดสินบนให้ของกิน หรือสิ่งต่างๆ แก่เด็ก เพลงกล่อมเด็กทุกบทจะร้องขึ้นต้นด้วยการออกเสียง "อื่อ จา จา" หรือ "อื่อ อื่อ จา จา"

นอกจากเพลงกล่อมให้เด็กนอนตามที่กล่าวมาข้างต้น ชาวบ้านในภาคเหนือยังมีเพลงร้องเล่น ได้แก่ เพลงสิกก้องก๋อ และ เพลงสิกจุ่งจา* ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้ใหญ่ใช้ร้องเล่นกับเด็กเพื่อสร้างความเพลิดเพลิน ทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนานและสบายใจ เมื่อเล่นเสร็จแล้วพาไปกล่อมนอนก็จะหลับได้ง่าย เพลงร้องเล่นทั้ง ๒ เพลงนี้ มุ่งเน้นความสนุกสนาน คำร้องใช้คำสั้นๆ ให้คล้องจองกัน เนื้อหาเป็นการล้อเล่น ชวนหัวเราะมากกว่าจะสะท้อนเรื่องราวที่เป็นจริง เพลงสิกก้องก๋อ เป็นเพลงที่ใช้ร้องเล่นกับเด็กโดยเฉพาะเด็กทารก โดยมากพ่อจะนอนหงายงอขาพับ แล้วอุ้มลูกวางบนหลังเท้าให้กอดเข่าพ่อไว้ ขณะที่ร้องเพลงสิกก้องก๋อแต่ละวรรค พ่อจะยกขาขึ้นลงตามจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ จนถึงวรรคสุดท้าย ทั้งพ่อและลูก จะล้มลงไปนอนด้วยกัน
*ชื่อเพลง สิกก้องก๋อ สิกจุ๋งจา บางตำราใช้ว่า สิกก้องกอ สิกชุ่งชา ส่วนคำว่า "ไป" บางตำราอาจะใช้ "ไพ" ตามรูปอักษรธรรมล้านนา
เพลงสิกจุ่งจา หรือเพลงเล่นชิงช้า เป็นเพลงที่ร้องเมื่อไกวชิงช้าให้เด็กเล่น หรือเด็กที่โตแล้วร้องเล่นไปพร้อมกับโล้ชิงช้า
นอกจากนี้มีเพลงที่เด็กร้องเล่นอื่นๆ เพื่อความสนุกสนานยามว่าง ซึ่งมักเป็นบทเพลงสั้นๆ และใช้ร้องวนไปวนมากี่รอบก็ได้ เช่น เพลงฝนตกสุยสุย เพลงเกี่ยวหญ้าไซหญ้าปล้อง เพลงหมาหางกิด

ค. เพลงกล่อมเด็กภาคอีสาน หรือเพลงก่อมลูก** หรือเรียกตามคำขึ้นต้นเพลงว่า เพลงนอนสาเยอ เพลงนอนสาเด้อ ภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นดินแดนที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก และมีกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมและภาษาถิ่น แตกต่างกัน แบ่งเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว ใช้ภาษาถิ่นอีสาน กลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราช ใช้ภาษาถิ่นอีสาน แต่มีคำศัพท์และสำเนียงต่างจากกลุ่มแรก และกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย (กูย) ใช้ภาษาเขมร และภาษาส่วย (กูย) ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะเพลงกล่อมเด็กของกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว และกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชเท่านั้น
** เพลงก่อมลูก-เพลงกล่อมลูก ออกเสียงตามภาษาถิ่นอีสาน ไม่มีเสียงควบกล้ำ "กล่อม" เป็น "ก่อม"

เนื้อร้องในเพลงกล่อมเด็ก มักสะท้อนถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
เช่น การทำนา ทำไร่ ปลูกต้นหม่อนไว้เลี้ยงตัวไหม สานกระด้ง
เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานมักมีท่วงทำนองเรียบง่าย ใช้กลุ่มเสียงซ้ำๆ และแม้จะร้องด้วยจังหวะช้า แต่ก็แฝงน้ำเสียงที่สนุกสนาน จริงใจเป็นธรรมชาติ คล้ายกับเสียงของ "แคน" เครื่องดนตรีประจำถิ่นอีสาน เนื้อหาของเพลงถ่ายทอดความรัก ความห่วงใย โดยมีจุดมุ่งหมายหลัก คือ กล่อมให้เด็กนอนหลับ หรือปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้ โดยมักนำสภาพแวดล้อมและธรรมชาติต่างๆ มาสอดแทรกไว้ในคำร้องที่แต่งขึ้น ส่วนเนื้อหาที่สะท้อนภาพสังคมมักกล่าวถึงอาชีพ การทำมาหากิน เครื่องมือเครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำนา ทำไร่ เลี้ยงม้อน (ตัวหนอนไหม) ปลูกต้นหม่อนไว้เลี้ยงตัวไหม เข็นฝ้าย ทอผ้า นอนอู่ (เปล) วิธีสานกระด้ง
ตัวอย่างเพลงกล่อมลูกโคราชที่บันทึกความรู้ของท้องถิ่น เช่น ตำรายาพื้นบ้านใช้รักษาโรคเด็ก และวิธีสานกระด้ง

ง. เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ เรียกว่า เพลงร้องเรือ เพลงช้าเรือ เพลงชาเรือ เพลงช้าน้อง เพลงชาน้อง สันนิษฐานว่า มาจากทำนองร้องที่เป็นไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ เหมือนเรือที่แล่นไปเอื่อยๆ อีกประการหนึ่ง เปลที่เด็กนอนมีรูปร่างเหมือนเรือ คือ ใช้ผ้าผืนยาวหรือผ้าขาวม้าผูกชายไว้ทั้ง ๒ ข้าง และโยงไว้คนละข้าง เมื่อคลี่ตรงกลางนำเด็กลงนอน เวลาไกวก็มีอาการไหว เหมือนลำเรือ ส่วนคำว่า "ชา" น่าจะตัดมาจากคำว่า "บูชา" หมายถึง การสดุดี กล่อมขวัญ ยกย่อง เช่น ชาขวัญข้าว เป็นการสดุดีแม่โพสพ ชาเรือ เป็นการสดุดีแม่ย่านางเรือ ชาน้อง เป็นการขับกล่อมน้อง
ลักษณะคำประพันธ์เป็นกลอนชาวบ้าน โดยทั่วไป ๑ บทมี ๘ วรรค ในแต่ละวรรคมี ๔-๑๐ คำ ตามแต่เนื้อความและบางเพลง อาจมีความยาวถึง ๓๐ วรรคก็ได้ เพลงร้องเรือ หรือชาน้อง ส่วนมากร้องเกริ่นนำด้วยคำว่า "ฮา เอ้อ" และจบท้ายวรรคแรก ด้วยคำว่า "เหอ" เสียงยาวๆ เนื้อหาสาระเป็นการขับกล่อมให้เด็กนอนหลับเร็วๆ และหลับสนิท ด้วยความอบอุ่นทั้งกายและใจ เช่นเดียวกับเพลงกล่อมเด็กภาคอื่นๆ และเมื่อเด็กยังไม่ยอมนอน หรือยังร้องไห้โยเย ก็ร้องบทที่ขู่ให้เด็กกลัวด้วย ดังตัวอย่าง

เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ที่มีเนื้อร้องกล่อมให้เด็กนอนโดยตรงมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักแต่งบทร้องให้เป็นคำสอน การประพฤติปฏิบัติตน ปลูกฝังคุณธรรม และสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมด้วย หลายเพลงบอกเล่าถึงคนที่ประพฤติไม่ดี บางเพลงก็ติเตียนผู้ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม และบางเพลงถึงขั้นเสียดสีประชดประชันบุคคลเหล่านั้นด้วย ในความเป็นจริง เด็กเล็กที่นอนแบเบาะ หรือนอนอยู่ในเปลคงยังไม่เข้าใจความหมายของเนื้อร้อง แต่ผู้ร้องคงจะมีเจตนาแฝงที่จะอบรมให้เด็กโต ที่เป็นลูกหลานหรือบริวารในบ้านได้ยินได้ฟัง และร้อง เพื่อสื่อสารให้คนอื่นๆ ในชุมชนได้รับรู้ด้วย แม้ว่าผู้แต่งได้กล่าวไว้ เป็นเชิงออกตัวว่า ร้องเพลงกล่อมหลานไม่เกี่ยวข้องกับใคร ดังเพลงร้องเรือบทหนึ่งว่า
ตัวอย่างเพลงชาน้องที่บอกเล่าถึงการกระทำที่ไม่ดีไม่งามของผู้หญิง
ตัวอย่างเพลงชาน้องที่ติเตียนพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์กับผู้หญิง

ในบรรดาเพลงกล่อมเด็กของไทยมีบทร้องที่รู้จักกันแพร่หลาย และพบว่าใช้ร้องอยู่หลายจังหวัด บางบทเพลงเป็นเพลงชื่อเดียวกัน แต่มีเนื้อร้องแตกต่างกันตามสำเนียง ถ้อยคำภาษาถิ่น ชื่อเรียกสัตว์ พืช สิ่งของ รวมทั้งสภาพแวดล้อมและความเชื่อ ของชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านภาคกลางและภาคอีสาน เช่น เพลง "จันทร์เจ้า" เพลง "นกขมิ้น" และเพลง "นกเอี้ยง"



๒. เพลงกล่อมเด็กของหลวง หรือเพลงกล่อมเด็กราชสำนัก
ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขปกครองบ้านเมืองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนมาถึง สมัยรัตนโกสินทร์ คนไทยยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบันสูงสุดของชาติ และมีคติความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์เป็น "สมมติเทพ" คือ เทวดาจุติลงมาจากสวรรค์เพื่อปกครองปวงราษฎรให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ จึงมีคำเรียกว่า "เจ้าฟ้า" หรือ "เจ้าแผ่นดิน" หรือ "พระเจ้าแผ่นดิน" ในวัฒนธรรมไทยมีการใช้ภาษาและถ้อยคำ ที่กำหนดเป็นแบบแผน เรียกว่า "ราชาศัพท์" เพื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์รวมทั้งพระราชวงศ์ นอกจากนี้ การจัดงานพิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์โดยตรง หรืองานที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเพื่อประโยชน์ ของชาติและประชาชน เราเรียกงานเหล่านี้ว่า "พระราชพิธี"
พระราชพิธีหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเพลงกล่อมเด็ก คือ "พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่" เป็นพิธีทำขวัญ เมื่อพระราชโอรส หรือพระราชธิดา มีพระชนมายุครบ ๑ เดือน เพลงกล่อมเด็กของหลวงที่ใช้ในพระราชพิธีนี้เรียกว่า "บทเห่กล่อมพระบรรทม" และหมายรวมถึง บทเพลงที่แต่งขึ้น ให้ข้าหลวงที่เป็นพระพี่เลี้ยงนางนมร้องเห่กล่อมพระราชโอรส พระราชธิดาที่ยังทรงพระเยาว์ ขณะไกวพระอู่ (เปล) ให้บรรทม การเห่กล่อมนี้ เมื่อยังไม่บรรทมหลับ พระพี่เลี้ยงอาจนำบทเพลงไทยที่เหมาะสม มาร้องต่อบทเห่กล่อมด้วยก็ได้ เช่น เพลงลมพัดชายเขา เพลงนกจาก ซึ่งเป็นเพลงอัตราสองชั้น มาขับกล่อมจนกว่าจะบรรทมหลับ
บทเห่กล่อมพระบรรทมเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยใด ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัด แต่บทที่ได้รวบรวมและจดบันทึกไว้ ซึ่งมีสำนวนเก่าสุด คือ สมัยรัชกาลที่ ๒ ตามที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงสันนิษฐานไว้ ในคำนำหนังสือบทเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ว่า
บทเห่กล่อมพระบรรทม สมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นสำนวนที่เก่าแก่ที่สุด
"...บทข้างต้นๆ สังเกตว่าเป็นสำนวนสุนทรภู่แต่งเมื่อในรัชกาลที่ ๒ แต่จะแต่งถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอเป็นสามัญทั่วไป หรือจะแต่งสำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอเฉพาะพระองค์ใดในครั้งนั้น ข้อนี้สงสัยอยู่ แลได้ทราบว่า เมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้น มีเจ้านายหลายพระองค์ คือ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ แลกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์ เป็นต้น ก็ได้ทรงแต่งขึ้นอีกบ้าง จึงไม่กล้ายืนยันแน่ว่า บทเห่กล่อมที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ บทไหนบ้างที่เป็นของผู้อื่นแต่งนอกจากสุนทรภู่
บทเห่กล่อมเหล่านี้ เห่กล่อมเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์ตลอดลงมาจนรัชกาลที่ ๔ ข้าหลวงท่องจำกันต่อๆ มา ไม่ปรากฏว่า ใครเคยจดรวบรวมลงไว้ จนมาได้เห็นฉบับที่หอพระสมุดฯ ได้มา ฉบับนี้เป็นลายมืออาลักษณ์เขียนเส้นหรดาล เมื่อในรัชกาลที่ ๔ มีบทเห่กล่อมบรรทม เรื่อง ๑ เรื่องจับระบำ เรื่อง ๑ เรื่องพระอภัยมณี เรื่อง ๑ เรื่องกากี เรื่อง ๑ มีเนื้อความปรากฏข้างท้ายว่า เจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งรับสั่งให้ผู้ที่ท่องจำไว้ได้บอกให้จดถวาย มิใช่คัดจากหนังสือที่มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น บทเห่จึงไม่ครบบริบูรณ์ทุกบทที่แต่งกันไว้แต่ก่อน..."

พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่มีมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระราชโอรส ๒ พระองค์สุดท้ายประสูติ คือ พระองค์เจ้าชายอุรุพงศ์รัชสมโภช และสมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์* ต่อมารัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงพระครรภ์ ทรงมั่นพระทัยว่า จะเป็นพระราชโอรส จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเห่กล่อมพระบรรทมเพื่อเตรียมไว้สำหรับพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ แต่เมื่อพระราชธิดา คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี** ประสูติได้ ๑ วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต จึงไม่ได้มีการจัดพระราชพิธีดังกล่าว และบทเห่กล่อมพระบรรทม ที่พระราชนิพนธ์ไว้ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้
* พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ประสูติเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖
** สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ในรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์ แต่มีพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่พระราชโอรสและพระราชธิดา ๓ พระองค์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงไม่มีพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่

สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
พระราชโอรสและพระราชธิดา ๓ พระองค์ที่มีการจัดพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ ได้แก่
๑. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร)
๒. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี)
๓. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี)
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระราชทานพระเจ้าหลานเธอทั้ง ๔ พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระธิดา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พระธิดา ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และนาวาอากาศเอก วีระยุทธ ดิษยะศริน และเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ อย่างไรก็ดี พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ในรัชกาลปัจจุบัน ไม่ปรากฏ การเห่กล่อมพระบรรทมในหมายกำหนดการพระราชพิธี คงมีแต่การถวายบทมนตร์เห่กล่อมโดยพราหมณ์เท่านั้น
การประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
ลักษณะและเนื้อหาของบทเห่กล่อมพระบรรทม
บทเห่กล่อมพระบรรทมเป็นเพลงกล่อมเด็กของหลวง ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธี และเห่กล่อมพระราชโอรสหรือพระราชธิดา ให้บรรทมหลับ ผู้แต่งคือ กวีแห่งราชสำนัก ซึ่งมีทั้งพระราชวงศ์และข้าราชการ ได้คัดเลือกถ้อยคำที่ไพเราะและสละสลวย มาเรียงร้อยเป็นบทกวีตามแบบแผนของลักษณะคำประพันธ์ หรือฉันทลักษณ์ เพื่อให้มีความพิเศษสมกับฐานันดรศักดิ์ และพระอิสริยยศ ดังนั้น บทเห่กล่อมพระบรรทมจึงมีลักษณะและเนื้อหาที่แตกต่างไปจากเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้าน ดังนี้
๑. แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยใช้ลักษณะคำประพันธ์ ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกลอนสุภาพ ส่วนใหญ่ กวีมักแต่งโดยยึดรูปแบบฉันทลักษณ์ค่อนข้างเคร่งครัด แต่มีบ้างที่จำนวนคำในแต่ละวรรคอาจน้อยกว่าหรือมากกว่าแบบแผนก็ได้ ดังตัวอย่าง



๒. เป็นบทร้องที่แต่งขึ้นเฉพาะ เพื่อการเห่กล่อม ขับร้องถวายพระราชโอรส พระราชธิดาของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ผู้แต่งจึงเลือกใช้ถ้อยคำที่สละสลวย ไพเราะเป็นภาษากวี ใช้คำศัพท์หลากหลายแทนคำที่มีความหมายเดียวกัน เพื่อให้มีคำสัมผัสคล้องจองกัน เช่น
พระจันทร์ - ดวงเดือน บุหลัน พระจันทรา พระจันทร ศศิธร
นก - วิหค สกุณา สกุณชาติ สกุณี ปักษี ปักษา
ดอกไม้ - ผกา มาลา มาลี สุมาลี สุมาลัย บุปผา
นอกจากนี้ คำร้องที่กล่าวถึงพระราชโอรสและพระราชธิดา ผู้แต่งใช้คำเรียกขานที่แสดงความจงรักภักดี ยกย่องให้เกียรติ และใช้คำราชาศัพท์เมื่อกล่าวถึงด้วย ดังตัวอย่าง

๓. ทำนองที่ใช้เห่กล่อม ผู้ร้องบทเห่กล่อมพระบรรทมคือ พระพี่เลี้ยงนางนม หรือข้าหลวงซึ่งเป็นนักร้อง โดยมีวงมโหรีบรรเลงประกอบ ส่วนทำนองที่ใช้เห่กล่อมในพระราชพิธี พระยาภูมีเสวินได้พยายามสอบถามจากพระพี่เลี้ยง สมัยรัชกาลที่ ๕ และข้าหลวงผู้เคยปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการเห่กล่อมแล้ว สันนิษฐานว่า ทำนองที่ใช้เห่กล่อมพระบรรทมนั้น เป็นทำนองสรภัญญะใหญ่ คือ ยืดทำนองจากสรภัญญะธรรมดาไปอีกเท่าตัว (ทำนองสรภัญญะธรรมดา เป็นทำนองที่สวดบูชาคุณพระรัตนตรัย ซึ่งขึ้นต้นว่า "องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ...") ส่วนการเห่กล่อมปกติ เมื่อประทับอยู่ในพระตำหนัก พระพี่เลี้ยงนางนม หรือนักร้องคงใช้ทำนองเพลงไทยอัตรา ๒ ชั้น เช่น เพลงนกจาก เพลงลมพัดชายเขา เพลงดอกไม้ไทร เพลงหกบท ฯลฯ มาร้องบทเห่กล่อมต่างๆ ต่อเนื่องไปจนกว่าจะบรรทมหลับ ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรจุทำนอง "เพลงปลาทอง" สำหรับบทเห่กล่อมพระบรรทม ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ล่วงหน้าก่อนที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี จะมีพระประสูติกาลพระราชธิดา คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
๔. จุดประสงค์ของบทเห่กล่อมพระบรรทม ในเนื้อหามุ่งเน้นให้พระราชโอรสและพระราชธิดาบรรทมหลับไปด้วยความสุขใจ เช่นเดียวกับเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านทั่วไป จะแตกต่างกันตรงที่ผู้ร้องกล่อมไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ แต่เป็นพระพี่เลี้ยงนางนม หรือข้าหลวง ซึ่งถ่ายทอดความรู้สึกในฐานะผู้มีความจงรักภักดี เรียกขานด้วยถ้อยคำที่ยกย่องเทิดทูน ชมโฉม ปลอบประโลมให้บรรทม ขอร้องไม่ให้ทรงเล่นหรือทรงกันแสง (ร้องไห้) (ดูบทเห่ตัวอย่างในข้อ ๑ และ ๒) และมักต่อด้วยบทร้องที่พรรณนาถึงธรรมชาติ เช่น ชมพระจันทร์ ชมดาว ชมนก ชมดอกไม้ ดังตัวอย่างจากบางตอนของบทเห่
๕. เนื้อหาของบทเห่กล่อมพระบรรทม นำมาจากบางตอนของวรรณคดีเรื่องต่างๆ ได้แก่ พระอภัยมณี อิเหนา โคบุตร กากี อนิรุทธ์ และเรื่องจับระบำ ซึ่งเล่าถึงเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ร่ายรำเล่นในฤดูฝน และรามสูรไล่ชิงดวงแก้วจากนางเมขลา
บทเห่กล่อมจากวรรณคดีไม่เพียงแต่มีความไพเราะของถ้อยคำที่เรียงร้อยให้คล้องจองกัน หากแต่บทร้องยังมีความยาวกว่าบทเห่กล่อมธรรมดา ช่วยให้ร้องเห่กล่อมได้เป็นเวลานาน จนกว่าพระราชโอรสหรือพระราชธิดา จะบรรทมหลับสนิทไป