ดาวศุกร์ (Venus)
ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด มีขนาดใกล้เคียงกับโลกมาก จนได้ชื่อว่าเป็น น้องสาวฝาแฝด กับโลก มองเห็นเป็นดวงสีขาว สว่างสุกใสที่สุดในท้องฟ้า ชาวโรมันถือว่า ดาวศุกร์เป็นสัญลักษณ์ ของเทพธิดาแห่งความรักและความงาม
ดาวศุกร์เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ จึงเปลี่ยนตำแหน่งในท้องฟ้าทุกวัน Tunc Tezel รอให้ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ประมาณ ๗ องศา และถ่ายภาพดาวศุกร์ห่างทุกๆ ๕ วัน ต่อเนื่องนาน ๓๘ คืน หลังจากนั้น ดาวศุกร์จะหายลับไปช่วงหนึ่ง และไปปรากฏให้เห็นตอนเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น (ภาพอนุเคราะห์โดย Tunc Tezel ประเทศตุรกี)
ดาวศุกร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย ๑๐๘ ล้านกิโลเมตร ปรากฏให้เห็นได้ทาง ๒ ฟากฟ้า เช่นเดียวกับดาวพุธ เมื่อเห็นดาวศุกร์อยู่ในท้องฟ้าด้านตะวันออกตอนเช้ามืด ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น คนไทยแต่ก่อนจึงเรียกว่า ดาวรุ่ง หรือ ดาวประกายพรึก แต่เมื่อดาวศุกร์อยู่ในท้องฟ้าด้านตะวันตก ตอนพลบค่ำ ตกลับฟ้าตามหลังดวงอาทิตย์ ผู้คนเข้าใจว่า เป็นดาวคนละดวง จึงเรียกว่า ดาวประจำเมือง ปรากฏการณ์นี้จะเข้าใจง่ายขึ้น ถ้านึกถึงวงโคจรโลก และดาวศุกร์ในอวกาศ เนื่องจากดาวศุกร์โคจรอยู่วงในที่ใกล้ดวงอาทิตย์ มากกว่าโลก เมื่อมองจากโลกเทียบกับดวงอาทิตย์ บางครั้ง เราจึงเห็นดาวศุกร์ โคจรไปอยู่ทางด้านตะวันออก และบางครั้งก็อยู่ทางด้านตะวันตกของดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองจากโลก เราจึงมองเห็นดาวศุกร์ได้ ๒ ฟากฟ้า ระยะสูงสุดในท้องฟ้า ขณะดวงอาทิตย์ อยู่ที่ขอบฟ้าเป็น ๔๗ องศา
ดาวศุกร์แตกต่างจากดาวเคราะห์อื่นๆ หลายดวง เพราะหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก สวนทางกับดาวเคราะห์อื่น ในระบบสุริยะ ผู้สังเกตที่อยู่บนดาวศุกร์ จึงเห็นดวงอาทิตย์ และดวงดาว เคลื่อนขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันตกไปตกลับทางขอบฟ้า ด้านตะวันออก นอกจากนั้น ดาวศุกร์ยังหมุนรอบตัวเองช้ามาก คือ ๑ วันของดาวศุกร์นานเท่ากับ ๒๔๓ วันของโลก ขณะที่ดาวศุกร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ๑ รอบหรือ ๑ ปีของดาวศุกร์ ยาวนานเป็น ๒๒๕ วันของโลก ช่วงเวลาของดาวศุกร์ ๑ วัน จึงยาวกว่าช่วงเวลา ๑ ปี อยู่ ๑๘ วัน
เมื่อส่องกล้องโทรทรรศน์ดูดาวศุกร์ จะเห็นเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ในวันข้างขึ้นข้างแรม แต่มีขนาดเสี้ยว และความสว่างแตกต่างกัน แล้วแต่ตำแหน่งของดาวศุกร์ ขณะโคจรรอบดวงอาทิตย์เมื่อมองจากโลก เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ กาลิเลอี, กาลิเลโอ (Galilei, Galileo) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ผู้สังเกตเห็นเป็นคนแรกใน พ.ศ. ๒๑๕๓ ใช้ยืนยันความคิด เรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ

ภาพเรดาร์แสดงพื้นผิวดาวศุกร์จากยานแมกเจลแลน (ภาพอนุเคราะห์โดย NASA/JPL)
ในช่วง พ.ศ.๒๕๐๕ - ๒๕๓๗ มีการส่งยานอวกาศหลายลำไปสำรวจดาวศุกร์ แต่มนุษย์ก็ยังมีความรู้เกี่ยวกับดาวศุกร์น้อยมาก เนื่องจาก ดาวศุกร์มีเมฆหนาทึบปกคลุม จนมองไม่เห็นพื้นผิว แม้แต่ยานอวกาศเวเนรา (Venera) ของสหภาพโซเวียต ที่ลงแตะบนพื้นผิวดาวศุกร์เพียงชั่วครู่ก่อนสูญสลายไป ก็ส่งภาพถ่ายมืดสลัวไม่ชัดเจน แต่เป็นครั้งแรกที่เปิดเผยว่า พื้นผิวบริเวณที่ยานลงจอด เต็มไปด้วยก้อนหิน และลาวา ที่แข็งตัว จนเมื่อยานแมกเจลแลน (Magellan) ของสหรัฐอเมริกา โคจรสำรวจรอบดาวศุกร์ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๗ ยานได้เก็บข้อมูลด้วยระบบเรดาร์สามารถส่องทะลุชั้นเมฆหนาทึบ เปิดเผยถึงลักษณะภูมิประเทศของดาวศุกร์ ด้วยภาพถ่าย ที่แตกต่างจากภาพในช่วงคลื่นแสง ที่ตาคนมองเห็นได้ตามปกติ
ต่อมา เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ยานวีนัสเอกซ์เพรส (Venus Express) เดินทางจากโลกไปโคจรสำรวจรอบดาวศุกร์ เริ่มส่งภาพถ่ายในช่วงรังสีอัลตราไวโอเลตมายังโลก ตั้งแต่กลาง พ.ศ. ๒๕๕๐ พบว่า บรรยากาศของดาวศุกร์มีการเคลื่อนไหว และแถบเมฆเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เมฆสว่างประกอบด้วยอนุภาคกรดกำมะถัน แต่องค์ประกอบของเมฆ ส่วนที่มืดยังไม่เป็นที่เข้าใจกัน
ดาวศุกร์เป็นดินแดนแห่งซากภูเขาไฟ มีเถ้าและลาวาไหลทับถมอยู่ทั่วไป ภูเขาไฟขนาดต่างๆ กัน กระจายอยู่ทั่วดวง แต่ไม่เรียงตัวต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ แสดงว่า โครงสร้างใต้เปลือกดวง ไม่มีการเคลื่อนตัว อย่างเช่น แผ่นเปลือกโลก พื้นผิวในแนวศูนย์สูตรเป็นพื้นที่สูง มีผืนทวีปใหญ่ ๒ แห่ง ขนาดราวทวีปแอฟริกา และทวีปออสเตรเลียบนโลก โดยมีแนวเขายาวเชื่อมต่อกัน นอกนั้นเป็นพื้นที่ต่ำกว่า
ดาวศุกร์มีหลุมอุกกาบาตกระจายทั่วดวงจำนวนนับพันแห่ง พบมากในบริเวณพื้นที่ต่ำ หลุมอุกกาบาตหลายแห่งถูกลาวาไหลท่วมท้น พื้นผิวมีร่องเป็นทางยาว คล้ายกับถูกกัดเซาะยาวเหยียดหลายพันกิโลเมตร ลักษณะคล้ายแม่น้ำ หรือที่ราบลุ่มน้ำท่วมขัง และดินดอนปากแม่น้ำบนโลก แต่ดาวศุกร์ร้อนเกินกว่าที่จะมีน้ำเหลวอยู่ได้ และมีกระแสลมอ่อน ซากการกร่อนจึงไม่ได้เกิดจากกระแสน้ำและกระแสลม แต่เกิดจากหินหนืด และกระแสธารลาวามากมายที่ปะทุออกมาจากภูเขาไฟ บนดาวศุกร์

ภาพถ่ายดาวศุกร์จากยานมาริเนอร์ ๑๐ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ (ภาพอนุเคราะห์โดยสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศ สหรัฐอเมริกา)
ถึงแม้ว่ากำเนิดของดาวศุกร์กับโลกจะคล้ายคลึงกันก็ตาม โดยต่างก็มาจากกลุ่มก้อนก๊าซ ต้นกำเนิดระบบสุริยะพร้อมๆ กัน มีบรรยากาศตอนแรกเริ่มที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และกำมะถัน ปะทุออกมาจากภูเขาไฟ ที่ระเบิดเหมือนๆ กัน ถูกเศษดาวเคราะห์จำพวกดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง เป็นตัวนำน้ำและน้ำแข็งจากเขตชั้นนอกของระบบสุริยะ พุ่งชนอยู่เสมอเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายพันล้านปี ดาวเคราะห์ทั้งคู่ ต่างมีวิวัฒนาการ ที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน นอกจากขนาดที่ใกล้เคียงกันแล้ว ดาวศุกร์ไม่มีสิ่งใดคล้ายโลกอีกเลย บรรยากาศของดาวศุกร์ ยังคงเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีฝุ่นกำมะถัน จากการระเบิดของภูเขาไฟคละคลุ้ง รวมตัวกับไอน้ำ เกิดเป็นเมฆสีเหลือง ห่อหุ้มหนาทึบ และกลายเป็นฝนกรดกำมะถัน ทำให้บรรยากาศของดาวศุกร์เต็มไปด้วยก๊าซพิษ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกำเนิด ของสิ่งมีชีวิต
สภาวะเรือนกระจกบนดาวศุกร์
เมื่อพลังงานจากดวงอาทิตย์ผ่านบรรยากาศของดาวเคราะห์ลงไปกระทบพื้นผิว รังสีความร้อนบางส่วนจะสะท้อนกลับผ่านบรรยากาศ แผ่ออกสู่อวกาศได้ โดยมีก๊าซในบรรยากาศ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน ทำหน้าที่คล้ายผนังกระจกของเรือนเพาะชำ สะท้อนรังสีความร้อนบางส่วนกลับลงสู่พื้นผิว ซึ่งช่วยให้ดาวเคราะห์มีความอบอุ่น ไม่หนาวเย็นเกินไป เรียกก๊าซจำพวกนี้ว่า ก๊าซเรือนกระจก
เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกในดาวศุกร์ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ สารประกอบของกำมะถัน และไอน้ำในชั้นเมฆ มีปริมาณสูง และหนาทึบมาก จึงดูดจับรังสีความร้อนเก็บกักไว้ และปิดกั้น ไม่ให้รังสีความร้อนหลุดหนีออกสู่อวกาศได้ ทำให้อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศและบนพื้นผิวสูงมาก ดาวศุกร์สะสมความร้อนจนมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงประมาณ ๔๘๐ องศาเซลเซียส ภายใต้ความกดอากาศสูงประมาณ ๙๐ เท่า ของความกดอากาศบนพื้นผิวโลก ปัจจุบัน ดาวศุกร์มีสภาพร้อนระอุคล้ายเตาหลอมเหล็ก เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์ชั้นในด้วยกัน และเป็นดาวเคราะห์ตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นผล ของสภาวะเรือนกระจกอย่างชัดเจน