ในบางประเทศพาหะธาลัสซีเมียเกือบทั้งหมดเป็นแบบเดียวกัน แต่ในประเทศไทยมีความหลากหลายมาก จากการสำรวจพาหะของธาลัสซีเมียในประเทศไทย สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ที่สำคัญ ๒ กลุ่ม คือพาหะของแอลฟา-ธาลัสซีเมีย และพาหะของบีตา-ธาลัสซีเมีย ซึ่งยังจำแนกย่อยเป็นหลายชนิด ดังนี้
๑. พาหะของกลุ่มแอลฟา-ธาลัสซีเมีย ที่สำคัญได้แก่
๒. พาหะของกลุ่มบีตา-ธาลัสซีเมีย ที่สำคัญได้แก่
ถ้าพ่อและแม่เป็นพาหะที่ไม่เหมือนกัน แต่อยู่ในพวกเดียวกัน โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคชนิดคอมพาวนด์เฮเทอโรไซโกต เท่ากับ ๑ ใน ๔ เป็นพาหะแบบแม่เท่ากับ ๑ ใน ๔
ข้อมูลข้างต้นนี้ เป็นภาพรวมอัตราเฉลี่ยของประเทศ หากสำรวจในแต่ละภาค จะได้ค่าแตกต่างกันออกไป เช่น ในภาคเหนือจะพบพาหะแอลฟา-ธาลัสซีเมียมาก ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบพาหะเฮโมโกลบินอีมาก เช่น ในจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดสกลนคร พบถึงร้อยละ ๕๐ - ๖๐ ของประชากร กล่าวได้ว่า โดยเฉลี่ย ชาวไทยเป็นพาหะของธาลัสซีเมียชนิดใดชนิดหนึ่ง ถึงร้อยละ ๓๐ - ๔๕ หรือประมาณ ๒๐ - ๒๔ ล้านคน เมื่อพาหะแต่งงานกันและเป็นพาหะ ที่เป็นพวกเดียวกัน ยีนมีปฏิสัมพันธ์กัน จึงอาจมีลูกเป็นโรคได้ ทำให้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรคธาลัสซีเมียมากถึงร้อยละ ๑ หรือประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ คน
ที่กล่าวว่า ผู้เป็นโรคต้องได้รับยีนผิดปกติจากทั้งบิดาและมารดา และยีนผิดปกติทั้งสองนั้น ต้องเป็นพวกเดียวกัน หมายถึงว่า จะต้องเป็นแอลฟา-ธาลัสซีเมียด้วยกัน หรือบีตา-ธาลัสซีเมียด้วยกัน เนื่องจากยีนธาลัสซีเมียมีอยู่หลายชนิด การได้รับยีนผิดปกติมาเข้าคู่กันจึงมีหลายชนิดด้วย และมีชื่อเรียกต่างๆ กัน ถ้ายีนที่เข้าคู่กันเป็นพวกเดียวกันและเหมือนกันด้วย เรียกว่า เป็นโฮโมไซกัส (homozygous) และถ้าเป็นพวกเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกันเรียกว่า คอมพาวนด์เฮเทอโรไซกัส (compound heterozygous) เนื่องจากการแสดงออกของยีนธาลัสซีเมียแตกต่างกันได้มาก จึงมีผลทำให้ผู้ที่มียีนผิดปกติสองยีน มีอาการรุนแรงแตกต่างกันมาก ตั้งแต่เป็นโรคอาการรุนแรงมากที่สุด จนถึงไม่มีอาการเลยดังต่อไปนี้ คือ
๑. ธาลัสซีเมียชนิดแอลฟา (แอลฟา- ธาลัสซีเมีย)
ชื่อยีนที่เข้าคู่กันและโรคหรือภาวะที่เกิดขึ้นมีดังนี้
ก. เป็นโรค ชนิดมีอาการ
๑. แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๑ เข้าคู่กับ แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๑ เรียกว่า โฮโมไซกัส แอลฟา-ธาลัสซีเมีย เป็นโรคเฮโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ ฟิทัลลิส (Hemoglobin Bart ’s Hydrops Fetalis) มีอาการรุนแรงที่สุด ทารกเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือตายคลอด
๒. แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๑ เข้าคู่กับ แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๒ เรียกว่า โรคเฮโมโกลบินเอช มีอาการรุนแรงน้อย
๓. แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๑ เข้าคู่กับ เฮโมโกลบินคอนสแตนต์สปริง เรียกว่า โรคเฮโมโกลบินเอชคอนสแตนต์สปริง มีอาการน้อยถึงปานกลาง
๔. เฮโมโกลบินคอนสแตนต์สปริง เข้าคู่กับ เฮโมโกลบินคอนสแตนต์สปริง เรียกว่า โรคโฮโมไซกัสเฮโมโกลบินคอนสแตนต์สปริง มีอาการน้อยมาก
ข. เป็นโรค ชนิดไม่มีอาการ
แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๒ เข้าคู่กับ แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๒ เรียกว่า โฮโมไซกัส แอลฟา-ธาลัสซีเมีย ๒ ไม่มีอาการทางคลินิก
๒. ธาลัสซีเมียชนิดบีตา (บีตา - ธาลัสซีเมีย)
ชื่อยีนที่เข้าคู่กันและโรคหรือภาวะ ที่เกิดขึ้นมีดังนี้
ก. เป็นโรค ชนิดมีอาการ
๑. บีตา-ธาลัสซีเมีย เข้าคู่กับ บีตา-ธาลัสซีเมีย เรียกว่า โรคโฮโมไซกัสบีตา-ธาลัสซีเมีย หรือ บีตา-ธาลัสซีเมียเมเจอร์ มีอาการรุนแรงมาก
๒. บีตา-ธาลัสซีเมีย เข้าคู่กับ เฮโม-โกลบินอี เรียกว่า โรคบีตา-ธาลัสซีเมีย เฮโมโกลบินอี มีอาการรุนแรงปานกลาง
ข. เป็นโรค ชนิดไม่มีอาการ
เฮโมโกลบินอี เข้าคู่กับเฮโมโกลบินอี เรียกว่า โฮโมไซกัสเฮโมโกลบินอีไม่มีอาการทางคลินิก
ถ้าพ่อหรือแม่ฝ่ายหนึ่งเป็นโรคชนิดโฮโมไซโกต หรือคอมพาวนด์เฮเทอโรไซโกต อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะของธาลัสซีเมียพวกเดียวกัน โอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ ๒ ใน ๔ และเป็นโรคเท่ากับ ๒ ใน ๔
ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะของแอลฟา-ธาลัสซีเมีย แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะของบีตา-ธาลัสซีเมีย มีโอกาสที่ลูกจะรับยีนผิดปกติ จากทั้งบิดา และมารดา คือ มีทั้งแอลฟา-ธาลัสซีเมีย และบีตา-ธาลัสซีเมียได้ในคนเดียว เป็นดับเบิล-เฮเทอโรไซโกต (Double heterozygote) คือ มียีนผิดปกติที่ไม่ใช่พวกเดียวกันอย่างละยีน ยีน ๒ พวกนี้จะไม่มาเข้าคู่กัน เพราะอยู่ต่างโครโมโซมกัน จึงไม่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีเมีย แต่ลูกคนนี้จะถ่ายทอดภาวะแอลฟา-ธาลัสซีเมีย และ/หรือบีตา-ธาลัสซีเมีย ไปยังลูกๆ ของตนต่อไปได้
โอกาสหรืออาจจะเรียกว่าอัตราเสี่ยงที่จะได้ลูกเป็นโรค เป็นพาหะ หรือเป็นปกติในแต่ละคู่สามีภรรยา จะเท่ากันทุกครั้งของ การตั้งครรภ์