อาการของการตั้งครรภ์ เมื่อ ๑. ประจำ ๒. มี ๓. มี | |
๔. ถ่าย ๕. คลำ ๖. เด็ก การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ มีหลายวิธี อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้หลายวิธี ประกอบกัน ได้แก่ ๑. การซักประวัติได้ว่าขาดประจำเดือนและมี อาการต่างๆ ของการตั้งครรภ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ๒. การตรวจหน้าท้อง คลำได้ส่วนต่างๆ ของเด็ก และฟังได้ยินเสียงหัวใจเด็ก ๓. การตรวจภายใน พบการเปลี่ยนแปลง ของผนังช่องคลอดและปากมดลูก และพบว่าขนาดของมดลูกโตขึ้น ๔. การตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดหรือในปัสสาวะ ระดับของฮอร์โมนนี้จะสูงขึ้นเมื่อมีการตั้งครรภ์ และจะสูงสุด เมื่ออายุครรภ์ประมาณ ๘-๑๐ สัปดาห์ ๕. การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultra- sound) สามารถวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ ๕-๖ สัปดาห์ การคะเนวันคลอด โดยปกติ ทารกจะคลอดเมื่ออายุครรภ์ครบกำหนด คือ ๔๐ สัปดาห์ หรือ ๒๘๐ วัน นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย ดังนั้น ในหญิงที่มีประจำเดือนมาตรงและสม่ำเสมอทุก ๒๘ วัน เราจะสามารถ คะเนวันคลอดได้ โดยนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายไป ๒๘๐ วัน ซึ่งในทางปฏิบัติเรานิยมนับ ย้อนหลังไป ๓ เดือน แล้วบวกอีก ๗ วัน ก็จะคะเนวันที่และเดือนที่จะคลอดได้ ในกรณีที่จำวันที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ เราอาจคะเนวันคลอดได้จากวันแรกที่แม่เริ่มรู้สึกว่าเด็กดิ้น โดยทั่วไป แม่จะเริ่มรู้สึกว่า เด็กดิ้น เมื่ออายุครรภ์ ได้ ๒๐ สัปดาห์ ในครรภ์แรก และ ๑๘ สัปดาห์ในครรภ์หลัง ดังนั้น เราสามารถคะเนวันคลอด โดยนับจากวัน แรกที่เริ่มรู้สึกว่าเด็กดิ้นไปอีก ๒๐ สัปดาห์ ในครรภ์แรก และ ๒๒ สัปดาห์ในครรภ์หลัง วิธีนี้มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้มากกว่าวิธีแรก เพราะอาศัยความรู้สึกของแม่เป็นหลัก นอกจากนี้ แพทย์สามารถคะเนวันคลอดได้จาก การประมาณอายุครรภ์ขณะตรวจ โดยดูจากขนาดของมดลูก รวมทั้งการวัดขนาดของศีรษะและลำตัวของเด็ก ในครรภ์ โดยอาศัยเครื่องมือตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง | |
ขั้นตอนการปฏิสนธิ : ไข่ที่แบ่งตัวแล้ว | |
การฝากครรภ์ การฝากครรภ์ถือเป็นเวชศาสตร์ป้องกันอย่าง หนึ่ง เพื่อการป้องกันรักษา และลดอันตรายจากโรคแทรกซ้อน อันอาจเกิดขึ้นได้กับมารดาและทารก ทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะก่อนคลอด ระยะคลอด และหลังคลอด เมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์ เพื่อรับคำแนะนำการปฏิบัติตัวของมารดาและการดูแลทารกจากแพทย์ หรือพยาบาลอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะนัดตรวจเป็นระยะๆ ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะแพทย์สามารถตรวจพบ และเปรียบเทียบได้ว่า ครรภ์นั้นผิดปกติหรือไม่ เด็กเจริญเติบโตตามปกติหรืออยู่ในท่าปกติหรือเปล่า อีกทั้งเพื่อป้องกัน และรักษาโรคแทรกซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระยะต่างๆ ของการตั้งครรภ์ |