เล่มที่ 9
วิธีการทางการแพทย์ในการควบคุมการเจริญพันธุ์
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

ห่วงคุมกำเนิด

            ห่วงคุมกำเนิด หรือห่วงอนามัย หมายถึง เครื่องมือที่ใส่ไว้ในมดลูก เพื่อคุมกำเนิด ชื่อในภาษาไทย แม้จะมีความหมายไม่ตรงนัก แต่ก็ได้ใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจกันดี
วงแหวนแกรเฟนเบิร์กแบบเก่า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
วงแหวนแกรเฟนเบิร์กแบบเก่า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
            มีผู้เริ่มใช้ห่วงคุมกำเนิดในยุโรปและอเมริกาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๙ ริชเตอร์ (Richard Richter, ค.ศ. ๑๙๐๙) ได้รายงานผลการคุมกำเนิด โดยใช้ เอ็น (silk worm gut) ทำเป็นขดใส่ไว้ในโพรงมดลูก
            ต่อมา แกรเฟนเบิร์ก (Ernst Grafenberg, ค.ศ. ๑๙๒๘) รายงานผลการใช้วงแหวนทำด้วยโลหะใส่ในโพรงมดลูก และมีผู้นำวงแหวนแกรเฟนเบิร์กไปใช้อยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่นานก็เสื่อมความนิยมไปเพราะมีผู้พบอาการแทรกซ้อน เกี่ยวกับการอักเสบในอุ้งเชิงกราน และการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยในระหว่างใส่ห่วง อย่างไรก็ดี ส่วนมากไม่มีสถิติอ้างอิงที่แน่นอน

วงแหวนแกรเฟนเบิร์กแบบใหม่ ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ มีขนาดเล็กกว่าแบบเก่าวงแหวนแกรเฟนเบิร์กแบบใหม่ ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ มีขนาดเล็กกว่าแบบเก่า

            หลายปีต่อมา โอพเพนไฮเมอร์ (W. Oppenheimer, ค.ศ. ๑๙๕๙) ได้รายงานผลดีของการคุมกำเนิดโดยใช้วงแหวน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับวงแหวนแกรเฟนเบิร์ก ในเวลาเดียวกัน อิชิฮามา (Atsumi Ishihama) ก็ได้รายงานผลดี ของการใช้ห่วงคุมกำเนิดชนิดวงแหวนโอตา (ota ring)
ห่วงคุมกำเนิดแบบใหม่ชนิดต่าง ๆ
ห่วงคุมกำเนิดแบบใหม่ชนิดต่าง ๆ
            สองรายงานหลังนี้มีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้มีผู้สนใจและประดิษฐ์ห่วงคุมกำเนิดแบบใหม่ๆ ขึ้นมาก วัสดุที่ใช้ทำห่วงคุมกำเนิดมากที่สุด คือ สารพวกโพลีเอทีลีน ไนลอน หรือเหล็กไม่เป็นสนิม

            ห่วงคุมกำเนิดที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันคือ ห่วงลิปปีส (lippes loop) ซึ่งประดิษฐ์โดยนายแพทย์แจ็ค ลิปปิส (Jack Lippes) ซึ่งได้รายงานผลดีไว้เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๕

ห่วงลิปฟีส

            ทำด้วยพลาสติก และอาบด้วยแบเรียม เพื่อให้มองเห็นจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ ห่วงนี้มีลักษณะเป็นรูปตัวเอส ๒ ตัวติดต่อกัน เอสตัวล่างมีขนาดเล็กกว่าตัวบน ทำให้ห่วงมีลักษณะเหมาะกับโพรงมดลูกพอดีปลายล่างของห่วงมีเอ็นไนลอนที่ผูกติดอยู่ เพื่อสะดวกในการตรวจว่าห่วงยังอยู่หรือไม่ และใช้สำหรับดึงเอาห่วงออกด้วย ห่วงนี้มีอยู่ ๔ ขนาด คือ ขนาด เอ บี ซี ดี (A, B, C และ D) ขนาด ดี เป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุด
ห่วงลิปพีสขนาดบี ซี ดี
ห่วงลิปพีสขนาดบี ซี ดี
            ห่วงลิปฟีสเมื่อใส่อยู่ในโพรงมดลูกแล้ว จะกลับคืนรูปเป็นอย่างเดิม และเอ็นไนลอนที่ผูกติดกับปลายล่างห่วงจะโผล่ออกมาทางปากมดลูก ให้มองเห็นได้ในช่องคลอด เอ็นไนลอนนี้มีไว้สำหรับเป็นเครื่องหมายแสดงว่า ห่วงยังไม่หลุดไป และเมื่อจะเอาห่วงออกก็ดึงเอ็นไนลอนนี้ ห่วงก็จะหลุดออกมา
ข้อแนะนำในการใช้ห่วงลิปฟีส

            ๑. ภายหลังใส่ห่วงใหม่ๆ อาจมีเลือดออกอยู่ ๒-๓ วัน แล้วจะหยุดไปเอง โดยไม่ต้องรักษา เมื่อเลือดหยุดดีแล้วก็จะอยู่ร่วมกับสามีได้ตามปกติ

            ๒. วันแรกๆ ภายหลังใส่ห่วง อาจมีปวดท้องน้อยได้บ้าง ซึ่งจะระงับได้ โดยยาแก้ปวดธรรมดา เช่น แอสไพริน

            ๓. ๒-๓ เดือนแรกหลังใส่ ประจำเดือนอาจมากและนานกว่าปกติ ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา เพราะต่อไปจะดีขึ้นเอง

            ๔. อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ ในระยะ ๒-๓ เดือนหลังใส่ และต่อไปก็จะค่อยๆ หายไปเอง

            ๕. ห่วงที่ใส่ไว้อาจจะหลุดได้ในบางราย ซึ่งมักจะหลุดใน ๒-๓ เดือนแรก และหลุดพร้อมกับประจำเดือน ทุกครั้งที่มีประจำเดือน จึงควรตรวจดูว่ามีห่วงหลุดติดออกมาด้วยหรือไม่ หากหลุดควรงดอยู่ร่วมกัน หรือคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นไปก่อน และรีบมาหาแพทย์

            ๖. ถ้าต้องการตรวจดูว่า ห่วงอยู่หรือไม่ ควรล้างมือให้สะอาด แล้วสอดนิ้วชี้เข้าไปคลำดูเอ็นไนลอนที่ปากมดลูก ภายหลังที่ประจำเดือนแต่ละครั้งหมดแล้ว

            ๗. ห่วงลิปฟีสไม่มีการเสื่อมคุณภาพ จะใส่ไว้ในมดลูกนานเท่าไรก็ได้ ในรายที่ผู้ใส่ถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วประมาณ ๑ ปี ก็ควรเอาออกได้

            ๘. ควรมาตรวจภายในอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อดูว่า ห่วงยังอยู่เรียบร้อยดีหรือไม่ และเพื่อทำการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรกให้ด้วย
แผนภาพแสดงการใส่ห่วงลิปพีส
แผนภาพแสดงการใส่ห่วงลิปพีส
ประสิทธิภาพของห่วงลิปฟีส

            หญิงที่ใส่ห่วงอยู่ อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียงประมาณ ๒% ต่อปี ซึ่งนับว่าประสิทธิภาพของห่วงชนิดนี้ดีพอสมควร

            ห่วงคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่ก็มิได้ทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก

            ในรายที่ตั้งครรภ์โดยมีห่วงอยู่ในมดลูก อัตราการแท้งจะสูงขึ้นกว่าในการตั้งครรภ์ทั่วๆ ไปถ้ามิได้เอาห่วงออก แต่ส่วนใหญ่ก็จะตั้งครรภ์ได้จนครบกำหนดและคลอดได้ตามปกติ โดยห่วงจะหลุดออกมาพร้อมกับเด็กหรือรก ไม่เคยปรากฏมีความพิการในเด็กพวกนี้

การทำงานของห่วงคุมกำเนิด

            ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่นอนว่า จะป้องกันการตั้งครรภ์ ได้อย่างไร แต่ก็มีข้อสันนิษฐานกันไว้ดังนี้

            ๑. ห่วงคุมกำเนิด อาจทำให้ไข่ที่ผสมแล้วไม่ สามารถฝังตัวได้ (implantation failure) เพราะทำให้เกิดสภาพที่ไม่เหมาะสมขึ้น ที่เยื่อบุมดลูก หรือผนังมดลูก

            ๒. ห่วงคุมกำเนิดอาจทำให้ไข่ทั้งที่ถูกผสม และไม่ถูกผสม เดินทางผ่านท่อรังไข่ไปเร็วกว่าปกติ จนไข่ที่ผสมแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะฝังตัว เมื่อผ่านไปถึงโพรงมดลูก และไข่ที่ยังไม่ถูกผสมผ่านไปเร็วจนไม่มี โอกาสได้ผสมกับเชื้อของฝ่ายชาย (acceleration of tubal transport of ova)

            ๓. ห่วงคุมกำเนิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภายในโพรงมดลูก จนทำให้เชื้อของฝ่ายชายไม่สามารถ ผ่านไปผสมกับไข่ได้ หรือสูญอำนาจในการผสมพันธุ์ ไป (spermatoxic effects)

อาการข้างเคียงในหญิงที่ใช้ห่วงคุมกำเนิด

อาการข้างเคียงที่พบบ่อย คือ

            ๑. อาการเลือดออกผิดปกติ

            ก. อาจมีเลือดออกอยู่ ๒-๓ วันหลังใส่ห่วง และจะหยุดไปเองโดยไม่ต้องให้การรักษา
            ข. อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย นอก เวลาประจำเดือน ซึ่งมักพบในระยะ ๒-๓ เดือนแรก
            ค. อาจมีประจำเดือนออกมากกว่าปกติ หรือนานกว่าปกติ พบมากในระยะ ๒-๓ เดือนแรก

            ๒. อาการปวดท้องน้อย พบได้ไม่บ่อยนัก และพบน้อยกว่าการมีเลือดออกผิดปกติ

            ก. การปวดท้องน้อยทันทีภายหลังใส่ห่วง เนื่องจากการบีบตัวของมดลูก บางรายอาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง แต่อาการนี้พบน้อยมาก มักพบในหญิงที่ ไม่มีบุตรมาเป็นเวลานาน และพวกที่มีจิตใจหวาดกลัวง่ายอยู่แล้ว

            ข. อาการปวดท้องน้อยในระยะ ๒-๓ เดือนแรกหลังใส่ อาการปวดมักมีเพียงเล็กน้อย

            ค. อาจมีอาการปวดประจำเดือนเพิ่มขึ้น ในระยะ ๒-๓ เดือนแรกหลังใส่

            ๓. อาการตกขาว หลังใส่อาจมีตกขาวออกมาก ขึ้น และส่วนมากจะค่อยๆ กลับเป็นปกติ หลังจาก ๓ เดือนไปแล้ว

            อาการที่กล่าวมาแล้วนี้ เกิดเนื่องจากมดลูกยัง ไม่เคยชินกับห่วง ภายหลังที่มดลูกปรับตัวเองให้เข้ากับ ห่วงได้ดีแล้วอาการต่างๆ ก็หายไป เปรียบเทียบได้กับผู้ที่ใส่คอนแทกต์เลนส์ (contact lens) ซึ่งจะมีอาการ ระคายเคืองในระยะแรก เมื่อเคยชินแล้ว อาการต่างๆ ก็จะหายไป

การเจริญพันธุ์ภายหลังเอาห่วงออก

            หญิงที่เอาห่วงออกจะตั้งครรภ์ได้ตามปกติ และ ไม่มีการเปลี่ยนปลงภาวะการเจริญพันธุ์ จากรายงาน ของสภาประชากร (นิวยอร์ก) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ พบว่าร้อยละ ๔๕ ของหญิงตั้งครรภ์ ภายในเดือน ๖ เดือน และ ร้อยละ ๙๐ ตั้งครรภ์ภายใน ๑ ปี หลังจากเอาห่วงออก

            ส่วนผลจากการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ร้อยละ ๙๓ ตั้งครรภ์ภายใน ๑ ปีหลังจากเอาห่วงออก

เวลาที่เหมาะสมในการใส่ห่วงคุมกำเนิด

            ๑. ในรายที่มีประจำเดือนตามปกติ เพื่อให้แน่ ใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์ในขณะใส่ห่วง ควรไปพบแพทย์ ภายใน ๗ วันแรก ของรอบเดือน หรือถ้าไม่สามารถ พบแพทย์ได้ก็ควรจะงดการอยู่ร่วมกัน หรือคุมกำเนิด โดยวิธีอื่นก่อนจนกว่าจะไปพบแพทย์ได้

            ๒. การใส่ภายหลังคลอดหรือแท้ง ควรใส่ห่วง คุมกำเนิดเมื่อคลอดหรือแท้งแล้วเป็นเวลา ๘ สัปดาห์ เพราะมดลูกคืนสู่ภาวะปกติเรียบร้อยแล้ว ถ้าใส่ก่อน ระยะนี้ ผนังของมดลูกยังนุ่มอยู่จะมีโอกาสทะลุได้ง่าย แต่ก็มีผู้ใส่ห่วงให้แก่หญิงหลังคลอดภายใน ๔๘ ชั่วโมง เพราะเกรงว่า เมื่อกลับบ้านไปแล้วคนไข้อาจไม่มีเวลามาใส่ห่วงอีก หรืออาจตั้งครรภ์เสียก่อนมาใส่ห่วง

ข้อห้ามของการใส่ห่วงคุมกำเนิด

            ๑. การอักเสบในอุ้งเชิงกราน เป็นข้อห้ามที่ สำคัญที่สุด เพราะถ้ามีอาการอักเสบอยู่ การใส่ห่วงจะทำให้การอักเสบทวีความรุนแรงขึ้นได้มาก

            ๒. รายที่ไม่แน่ใจว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่

            ๓. รายที่มีประวัติของการมีเลือดออกผิดปกติ จากภายในมดลูก โดยยังไม่ได้รับการวินิจฉัยและให้การรักษา

            ๔. รายที่มีเนื้องอกของกล้ามเนื้อมดลูก

            ๕. รายที่มดลูกมีรูปร่างผิดปกติ เช่น มีผนัง กั้นแบ่งโพรงมดลูกเป็น ๒ ห้อง

ยาเม็ดคุมกำเนิด

            มีผู้รายงานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ว่า ฮอร์โมนของหญิงทั้งสองชนิด คือ เอสโทรเจน (estrogen) และโพรเจสโทเจน (progestogen) มีฤทธิ์ห้ามการสุกของไข่ได้ วงการแพทย์ได้เริ่มเอาฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้มาใช้เป็นยาคุมกำเนิดเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๘ การทดลองใช้ยานี้ในหญิงจำนวนมาก ได้เริ่มครั้งแรกที่เปอร์โตริโก ใน พ.ศ. ๒๔๙๙ และต่อมาการใช้ยานี้ ได้แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยได้เริ่มนำยาเม็ดคุมกำเนิดเข้ามาใช้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ และยังคงเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมกันมากจนถึงปัจจุบัน
ด้านหน้าของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๘ เม็ด
ด้านหน้าของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๘ เม็ด
            ยาเม็ดคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ทุกเม็ดมีทั้งฮอร์โมนเอสโทรเจน และโพรเจสโทเจนอยู่รวมกันชุดหนึ่งมีตัวยา ๒๐-๒๑ เม็ด ใช้สำหรับระยะเวลาประมาณ ๑ เดือน
ด้านหลังของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๘ เม็ด
ด้านหลังของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๘ เม็ด
วิธีกินยาเม็ดคุมกำเนิด

            ๑. วิธีเดิม หรือวิธีแรกที่นำมาใช้คือ การให้ผู้ใช้เริ่มต้นกินยาในวันที่ ๕ ของรอบประจำเดือน โดยกินครั้งละ ๑ เม็ด หลังอาหารเย็นทุกวัน จนหมดยา ๑ ชุด (๒๐-๒๑ เม็ด) แล้วจึงหยุดรอให้มีประจำเดือน ซึ่งส่วนมากจะมาประมาณ ๒-๔ วัน หรืออย่างช้าไม่เกิน ๗ วัน หลังหยุดยา และเริ่มต้นชุดใหม่ในวันที่ ๕ ของรอบประจำเดือนอีกเช่นเคย
ด้านหน้าของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๑ เม็ด
ด้านหน้าของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๑ เม็ด
            ๒. กินตามวันในปฏิทิน คือ การเริ่มต้นกินยาในวันเดียวกันทุกเดือน เช่น เริ่มต้นชุดใหม่ทุกวันที่ ๑ ของทุกๆ เดือน โดยไม่คำนึงถึงวันมีประจำเดือน วิธีนี้จะสะดวกเมื่อตั้งต้นหลังคลอด ขณะที่ยังไม่มีประจำเดือน แต่ถ้าเริ่มในช่วงที่มีประจำเดือนอยู่แล้ว อาจเริ่มต้นชุดแรกวันที่ ๕ ของรอบประจำเดือน เช่นเดียวกับวิธีแรก และให้จำไว้ว่า เป็นวันที่เท่าใดของเดือนตามปฏิทิน เมื่อหมดยาชุดนี้แล้ว จึงเริ่มยาชุดต่อๆ ไปในวันที่เดียวกันทุกๆ เดือน
            ๓. วิธี ๒๑/๗ วิธีนี้เมื่อเริ่มยาชุดแรกให้คนไข้ตั้งต้นกินยาวันที่ ๕ ของรอบประจำเดือนเช่นเดียวกับวิธีแรก แต่เมื่อหมดยาชุดแรกซึ่งมี ๒๑ เม็ดให้เว้นไป ๗ วัน แล้วจึงเริ่มยาชุดต่อไปโดยไม่ต้องคำนึงถึงวันมีประจำเดือน ซึ่งจะมีในระหว่างที่หยุดยา ๗ วันนั้นเอง
ด้านหลังของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๑ เม็ด
ด้านหลังของแผงยาคุมกำเนิดชนิด ๒๑ เม็ด
            ๔. วิธีกินยาติดต่อกันไป เนื่องจากผู้ใช้ยาอาจมีการหลงลืม หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเริ่มต้นยาชุดใหม่ จึงทำให้ง่ายเข้า โดยใช้หลักเดียวกับแบบ ๒๑/๗ แต่เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ลืมตั้งต้นยาชุดใหม่ หรือต้องคอยคิดอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๗ วัน ว่าจะถึงวันที่เริ่มกินยาชุดใหม่หรือยัง


            ในระหว่างที่หยุดยา ๗ วัน จึงให้กินยาเม็ดซึ่งไม่มีตัวยาคุมกำเนิดคั่นเสีย ๗ เม็ด วิธีนี้ยาชุดหนึ่งจะมี ๒๘ เม็ด โดย ๒๑ เม็ดแรกเป็นยาจริง ส่วน ๗ เม็ดหลังเป็นเม็ดเปล่าไม่มีตัวยา ซึ่งอาจเป็นเม็ดแป้ง น้ำตาล หรือวิตามิน ฯลฯ คนที่กินยาวิธีนี้จึงเท่ากับกินยาติดต่อกันไป โดยไม่หยุดเลย

การทำงานของยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ป้องกันการตั้งครรภ์ได้โดย

            ๑. ห้ามการสุกของไข่ ตามปกติหญิงในวัยเจริญ พันธุ์จะมีไข่สุกเดือนละครั้ง เมื่อไม่มีการสุกของ ไข่จึงไม่มีการตั้งครรภ์
            ๒. ทำให้เยื่อบุมดลูกบาง และไม่เหมาะกับ การฝังตัวของไข่
            ๓. ทำให้มูกที่ปากมดลูกมีน้อยและเหนียว กว่าปกติ จนเชื้ออสุจิไม่สามารถว่ายผ่านไปได้

ผลของยาเม็ดคุมกำเนิดต่อประจำเดือน

            ๑. ประจำเดือนมักจะลดลง ทั้งจำนวนและ ระยะเวลาที่มี
            ๒. จะมีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ถ้ากินยาถูก ต้อง เพราะประจำเดือนจะมาหลังจากหมดยาแต่ละชุด แล้วประมาณ ๒-๔ วัน
            ๓. คนไข้บางรายอาจไม่มีประจำเดือนมาหลังหยุดยาบางเดือน ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าควรมีภายในไม่เกิน ๘ วันหลังจากหยุดยา รายเช่นนี้ควรจะเริ่มต้นกินยาชุด ใหม่ได้ทันทีในวันที่ ๘ หากยังไม่มีประจำเดือน
            ๔. มีคนไข้ส่วนน้อย และมีเพียงบางเดือน เช่นกัน อาจจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกเวลา ประจำเดือน ซึ่งพบมากในยาบางชนิด แต่ไม่มีอันตราย ใดๆ และหากผู้ใช้คงกินยาต่อไปโดยสม่ำเสมอ เลือด ก็มักจะหยุดไปเอง
            ๕. อาการปวดประจำเดือน จะลดน้อยลงใน ระหว่างกินยาคุมกำเนิด ซึ่งอาจนำเอายานี้ไปรักษา อาการปวดประจำเดือนได้

อาการข้างเคียงขณะกินยา

            ๑. คลื่นไส้ เป็นอาการที่พบบ่อย ประมาณ ร้อยละ ๒๐ ของหญิงจะมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อยเมื่อเริ่ม กินยาชุดแรก อาการนี้จะค่อยๆลดลง และหลัง ๓ เดือน ไปแล้วอาการนี้ก็จะหายไป

            ๒. ฝ้าที่หน้า ประมาณร้อยละ ๑๗ ของหญิงไทย เกิดมีฝ้าขึ้นที่หน้า หรือฝ้าที่มีอยู่เดิมเพิ่มขึ้นเช่นเดียว กับที่พบในหญิงมีครรภ์บางราย ทั้งนี้เพราะทั้งฮอร์โมน เอสโทรเจนและโพรเจสโทเจนเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ซึ่งสร้างสีของร่างกาย อาการนี้จะพบได้มาก ในหญิงที่ผิวคล้ำและต้องถูกแสงแดดมาก อย่างไรก็ดี ฝ้านี้ไม่มีอันตรายอย่างใด และจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อ เลิกกินยา

            ๓. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เชื่อกันว่าเกิดขึ้นเนื่อง จากฤทธิ์ในการเสริมสร้างของโพรเจสโทเจน ทำให้เกิดความอยากอาหาร และกินอาหารจุมากขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจเนื่องมาจากการคั่งของโซเดียมและน้ำ จากผลของเอสโทรเจน

            ๔. อาการเจ็บตึงที่เต้านม อาการนี้พบน้อย มากในหญิงไทย

            ๕. อาการปวดศีรษะ หญิงบางคนมีอาการปวด ศีรษะในระหว่างกินยา แต่เป็นการยากที่จะพิสูจน์ให้แน่นอนว่า เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดหรือไม่

            ๖. ความรู้สึกทางเพศ ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในหญิงที่กินยานี้ แม้จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศ อาจมีอิทธิพลต่อความต้องการทางเพศของสัตว์หลายชนิด แต่ในมนุษย์ อิทธิพลทาง ด้านจิตใจมีความสำคัญมากกว่า และการหมดกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ อาจทำให้ความรู้สึกทางเพศดีขึ้น

ผลของยาเม็ดคุมกำเนิดต่อการทำงานของตับ

            การทำงานของตับในหญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากจะมีการขับถ่ายช้าลงบ้าง เช่นเดียวกับที่พบในหญิงระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งไม่มีอันตรายใดๆ และจะกลับคืนสู่ภาวะปกติเมื่อเลิกใช้ยา

ผลของยาเม็ดคุมกำเนิดต่อการหลั่งน้ำนม

จากการศึกษาในหญิงไทยที่คุมกำเนิดพบว่า ยา เม็ดคุมกำเนิดมีผลทำให้น้ำนมแม่น้อยลง จึงไม่ควร ใช้ยานี้ในหญิงที่ให้ลูกกินนม

ผลของยาเม็ดคุมกำเนิดต่อโรคของเส้นเลือดดำ

            เอสโทรเจนในยาเม็ดคุมกำเนิด มีผลทำให้การ แข็งตัวของเลือดได้ง่ายขึ้น และอาจทำให้โรคของเส้น เลือดดำบางอย่างกำเริบขึ้น อย่างไรก็ตาม อันตรายจากโรคนี้ในขณะที่กินยาคุมกำเนิดจะต่างกับเมื่อไม่ได้กิน ยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อันตรายจากการตั้งครรภ์ และการคลอดมีมากกว่า อันตรายจากยาเม็ดคุมกำเนิด หลายเท่า

            สำหรับหญิงไทย โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดดำเหล่านี้ พบน้อยมาก อันตรายจากยาเม็ดคุมกำเนิดในเรื่องนี้ จึงไม่มีความสำคัญ สำหรับหญิงไทยทั่วๆไป

การเจริญพันธุ์และการสุกของไข่หลังจากหยุดยา

            โดยทั่วไปภายหลังการหยุดยาเม็ดยาคุมกำเนิด การเจริญพันธุ์ของผู้ใช้ยามิได้ลดลง และประจำเดือน ก็จะมาตามปกติ แต่ประจำเดือนเดือนแรกหลังจากหยุดยา อาจมาช้าไปเล็กน้อย

            หญิงบางคนหลังจากหยุดยา อาจมีประจำเดือน ขาดไปชั่วคราว แต่ส่วนมากมักจะมาตามปกติเองภาย หลัง ๖-๑๒ เดือน หรืออาจเร่งให้มาเป็นปกติได้ โดยให้ยาบางอย่าง

ควรกินยานี้ได้นานเท่าใด

            เรายังไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่า หญิงจะ กินยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันได้โดยปลอดภัยเป็นเวลานานที่สุดเท่าใด แต่รายงานการศึกษาในหญิงไทย ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๗-๘ ปี ไม่พบอันตราย ใดๆ อย่างไรก็ดี หญิงทุกคนไม่ว่าจะกินยาคุมกำเนิดหรือไม่ ควรได้รับการตรวจสุขภาพและตรวจหามะเร็งในระยะแรก อย่างน้อยปีละครั้งเช่นเดียวกัน

ข้อห้ามในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ในหญิงที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการใช้ยานี้ แต่มีข้อห้ามหรือข้อควรระมัดระวังในผู้ที่มีโรคต่อไปนี้

            ๑. โรคตับ เช่น ผู้ที่เคยมีอาการตัวเหลือง ตา เหลือง
            ๒. โรคเบาหวาน
            ๓. โรคหัวใจ
            ๔. โรคความดันโลหิตสูง
            ๕. โรคของเส้นเลือดดำ
            ๖. โรคแพ้บางอย่าง
            ๗. มะเร็งของเต้านม และอวัยวะสืบพันธุ์
            ๘. โรคของต่อมไทรอยด์บางชนิด

            เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด จึงควรได้รับการตรวจร่างกายและรับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน

ยาฉีดคุมกำเนิด

            ยาฉีดคุมกำเนิด เป็นยาฮอร์โมนประเภทเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิด แต่เนื่องจากหญิงบางคนไม่ชอบการกินยาทุกวัน หรืออาจมีการหลงลืมกินยาได้ ซึ่งจะทำให้ผลในการคุมกำเนิดเลวลง จึงได้มีการนำเอาฮอร์โมนโพรเจสโทเจนอย่างเดียว หรือร่วมกับเอสโทรเจนมาใช้เป็นยาฉีดคุมกำเนิด โดยฉีดครั้งหนึ่งมีฤทธิ์คุมไปได้เป็นเวลานาน
ยาฉีดคุมกำเนิดดีเอ็มพีเอ
ยาฉีดคุมกำเนิดดีเอ็มพีเอ
            ยาฉีดคุมกำเนิดที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันเป็นยาประเภทฉีดทุก ๓ เดือน หรือ ๑๒ สัปดาห์ และชนิดที่ใช้กันมากคือ เดโปเมดรอกซีโพรเจสเทอโรนอะซีเตต ชนิดออกฤทธิ์นาน (depo medroxy progesterone acetate) ซึ่งต่อไปจะใช้ชื่อย่อว่า ดีเอ็มดีเอ (DMPA) ดีเอ็มพีเอ

            เป็นยาที่ใช้ในทางแพทย์ เพื่อรักษาโรคเฉพาะหญิงบางอย่างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ และการรักษาโรคบางอย่างได้ใช้ยานี้ในขนาดสูงมาก แต่ก็ไม่พบอันตรายร้ายแรงใดๆ นอกจากการผิดปกติของประจำเดือน เนื่องจากการศึกษาพบว่า ยานี้มีฤทธิ์ป้องกันไข่สุกได้ จึงได้ทดลองนำยานี้มาใช้ในการคุมกำเนิด ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๐๗ จึงได้นำยานี้มาใช้เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฉีด ๓ เดือนครั้ง โดยฉีดเข้ากล้ามครั้งละ ๑๕๐ มิลลิกรัม

ยานี้ได้นำมาใช้เป็นยาฉีดคุมกำเนิดในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๘ และปรากฏว่า เป็นที่นิยมของหญิงไทยในบางท้องที่อย่างมาก

วิธีใช้

            เริ่มต้นฉีดเข็มแรก ภายใน ๕ วันแรกของรอบประจำเดือน และฉีดติดต่อกันไปทุกๆ ๑๒ สัปดาห์หรือ ๘๔ วัน ในหญิงหลังคลอดอาจเริ่มต้นฉีดยานี้ได้ภายหลังคลอดก่อนคนไข้จะกลับบ้าน

            การทำงานของดีเอ็มพีเอ

            ยาชนิดนี้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้โดยออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดดังกล่าวมาแล้วแต่มีประสิทธิภาพสูงมาก

            ผลของยาดีเอ็มพีเอต่อประจำเดือน

            ผู้ที่ใช้ยานี้จะมีระบบประจำเดือนผิดไปจากเดิม จนยากที่จะทำนายล่วงหน้าได้ แต่พอสรุปได้ว่า ในระยะแรกที่ใช้ยานี้ ผู้ใช้มักมีเลือดออกกะปริบกะปรอย และภายหลังใช้ยานี้ได้ประมาณ ๑ ปี ประจำเดือนมักจะขาดไป

            อย่างไรก็ดี อาการเหล่านี้เพียงก่อให้เกิดความ รำคาญขึ้นเท่านั้น ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้ และถ้ามีอาการเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือประจำเดือน ขาดหายไปเป็นเวลานาน แพทย์อาจให้ยาบางอย่าง เพื่อทำให้ประจำเดือนมา หรือเพื่อป้องกันมิให้มีเลือดออก กะปริบกะปรอยได้

            อาการข้างเคียงของดีเอ็มพีเอ

            อาการข้างเคียงอื่นๆ ของดีเอ็มพีเอพบน้อยมาก และยานี้จะไม่ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เหมือนที่พบในผู้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดบางราย

            อาการที่พบคล้ายคลึงกับอาการข้างเคียงของยา เม็ดคุมกำเนิด คือ การมีฝ้าขึ้นที่หน้า และการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

ผลของดีเอ็มพีเอต่อการหลั่งน้ำนม

ผลจากการศึกษาในหญิงที่ใช้ยานี้ขณะที่ให้นม ลูก ของโรงพยาบาลศิริราช ปรากฏว่า ยานี้ไม่ทำให้ น้ำนมลดลงเลย และกลับปรากฏว่า ทำให้น้ำนมมากขึ้น

การเจริญพันธุ์และการสุกของไข่หลังจากหยุดยา

ส่วนมากหลังจากการหยุดยาจะกลับมีไข่สุก หรือมีประจำเดือนตามปกติ ภายใน ๓-๑๒ เดือน โดยเฉลี่ย การกลับมีไข่สุก จะช้ากว่าภายหลังการหยุดใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ข้อห้ามในการใช้ดีเอ็มพีเอ

เนื่องจากยานี้เป็นยาพวกโพรเจสโทเจน จึงมี ข้อห้ามคล้ายคลึงกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ยาดีเอ็มพีเอเหมาะสำหรับหญิง ที่มีบุตรเพียงพอแล้ว หรือต้องการจะคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานานๆ แต่ไม่เหมาะ สำหรับผู้ที่ยังมีลูกน้อย และต้องการคุมกำเนิดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ

หมวกยางคุมกำเนิด

            วิธีคุมกำเนิดแบบนี้ เคยเป็นที่นิยมกันมากเมื่อประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากวิธีใหม่ๆ มีประสิทธิภาพดีกว่า และสะดวกในการใช้มากกว่าการคุมกำเนิดโดยหมวกยางใส่ในช่องคลอด หรือครอบปากมดลูกจึงเสื่อมความนิยมไป
            หมวกยางเหล่านี้มีหลายแบบและมีชื่อเรียกต่างๆ กัน แต่ที่ใช้มากสุดคือ ไดอะแฟรมหรือดัตช์แคป (diaphragm, dutch cap)หมวกยางคุมกำเนิด
หมวกยางคุมกำเนิด
ดัตช์แคป

            หมวกยางชนิดนี้ในอังกฤษนิยมเรียกว่า ดัตช์แคป แต่ในสหรัฐอเมริกานิยมเรียกว่า ไดอะแฟรม ทำด้วยยางเป็นรูปโดม แกนในของขอบหมวกยางมีสปริงโลหะโค้งเป็นวงกลมและมียางหุ้มโดยรอบ มีหลายขนาด คือขนาดตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลาง ๕๐ มิลลิเมตร และเพิ่มขึ้นทีละ ๒.๕ มิลลิเมตร จนถึง ๑๐๐ มิลลิเมตร ถ้าเก็บรักษาดีหมวกยางอันหนึ่งจะใช้ได้ประมาณ ๒ ปี

การทำงานของหมวกยางคุมกำเนิด


            หมวกยางคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์โดยปิดส่วนบนของช่องคลอดและปากมดลูกไว้ ไม่ให้ติดต่อกับอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายในขณะที่มีการอยู่ร่วมกัน จึงป้องกันไม่ให้อสุจิผ่านเข้าไปในมดลูก วิธีนี้จะได้ผลดีขึ้นหากใช้ร่วมกับครีมใส่ช่องคลอดสำหรับทำลายอสุจิ (spermicidal cream)

            ผลในการป้องกันจะมีทันทีภายหลังใส่ แต่จะเอาหมวกยางออกทันทีหลังการอยู่ร่วมกันไม่ได้ จะต้องใส่ไว้อย่างน้อย ๖-๘ ชั่วโมงหลังจากการอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ควรนานเกิน ๒๔ ชั่วโมง

หมวกยางคุมกำเนิดไม่เหมาะสมสำหรับรายต่อไปนี้

            ๑. ช่องคลอดหรือกะบังลมหย่อนมาก
            ๒. มดลูกเคลื่อนต่ำมาก
            ๓. ฝีเย็บฉีกขาดมาก
            ๔. ฝีเย็บได้รับการเย็บแต่งไว้แคบมาก
            ๕. หญิงที่เพิ่งแต่งงานช่องคลอดยังแคบ
            ๖. มดลูกคว่ำหน้าหรือคว่ำหลังมากผิดปกติ

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้หมวกยางคุมกำเนิด


            ๑. ก่อนใช้หมวกยาง ควรให้แพทย์ตรวจภายใน ก่อน เพื่อดูว่าควรใช้วิธีนี้หรือไม่ และเพื่อเลือกขนาด ของหมวกยางที่เหมาะสม เมื่อเลือกขนาดได้แล้ว แพทย์จะบอกวิธีใส่และเอาหมวกยางออกให้ด้วย

            ๒. ก่อนใส่ควรถ่ายปัสสาวะก่อน และถ้าใกล้ เวลาถ่ายอุจจาระควรถ่ายเสียก่อนด้วย

            ๓. การใส่หมวกยาง ควรใช้ร่วมกับครีมใส่ช่องคลอด เพื่อทำลายอสุจิ โดยทาทั้งสองด้านของหมวกยาง ขนาดของยา แล้วแต่ชนิดของยาที่ใช้

            ๔. ภายหลังใส่หมวกยางเรียบร้อยแล้ว จะมี ผลป้องกันได้ทันที การใส่นี้จะใส่ก่อนการอยู่ร่วมกัน ทันที หรือจะใส่ตอนเข้านอนก็ได้ และอาจใส่ไว้ได้ตลอดคืน

            ๕. การเอาหมวกยางออก ต้องรออย่างน้อย

            ๖ ชั่วโมงหลังจากการอยู่ร่วมกันครั้งสุดท้าย ๖. การเก็บรักษา เมื่อเอาหมวกยางออกแล้ว ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำ และสบู่ฟอกตัวธรรมดา เช็ดให้แห้ง ตรวจดูรอยขาดโดยส่องดูกับแสงสว่าง แล้วจึง โรยแป้ง เก็บไว้ในกล่อง