สาเหตุของปัญหายาเสพติด ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุอยู่หลายประการ ซึ่งเกี่ยวโยงประกอบ กัน อาจแยกพิจารณาได้เป็น ๓ ด้านคือ ตัวยา บุคคล และการใช้ยา ตลอดจนสภาพแวดล้อม รวมทั้งสังคม ตัวยา สารที่ปรากฏในธรรมชาติก็ดี หรือที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นก็ดี บางอย่างจะมีคุณสมบัติ ที่ทำให้ผู้ที่ใช้แล้ว ไม่ประสงค์ไปใช้อีก และบางอย่างก็ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเฉยๆ ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ แต่ก็มีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ ทำให้ผู้ใช้ชอบกลับไปใช้อีก หรือใช้บ่อยๆ จนติดได้ ตัวยาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในปัญหายาเสพติด ๑. ประเภทของยาเสพติด ในบรรดาสารหรือยาที่ทำให้ปัญหาการติดยา นั้น องค์การอนามัยโลกได้จัดแยกไว้เป็น ๙ ประเภท คือ ๑.๑ แอลกอฮอล์ (alcohol) ซึ่งเป็นส่วนผสม สำคัญในเครื่องดื่มบางชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ๑.๒ แอมเฟตามีน (amphetamine) เป็นสาร สังเคราะห์ รวมทั้งสารที่มีโครงสร้าง และฤทธิ์แบบเดียวกัน ๑.๓ บาร์บิทูเรต (barbiturate) และยานอนหลับต่างๆ ๑.๔ กัญชา รวมทั้งผลผลิตจากต้นกัญชาใน รูปแบบต่างๆ ๑.๕ โคเคน (cocaine) และใบโคคา (coca) ๑.๖ ยาหลอนประสาท มีอยู่หลายชนิด เช่น แอลเอสดี (LSD) ๑.๗ แคต (khat) เป็นพืชที่ใช้เป็นยาเสพติด อยู่ในทวีปแอฟริกา ๑.๘ ฝิ่น และอนุพันธ์ของฝิ่น รวมทั้งสาร สังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ๑.๙ น้ำมันระเหย ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันผสมสี อะซีโทน (acetone) และยาสลบบางชนิด ในรายการขององค์การอนามัยโลกไม่มีพืช กระท่อม ซึ่งเป็นพืชเสพติดตามกฎหมายไทยด้วย ๒. ฤทธิ์ของวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่มีผลทำให้ผู้ใช้ติดยาได้นั้น มีผลต่อจิตใจในแบบต่างๆ ได้ ๕ แบบ คือ ๒.๑ การบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งอาจเป็นจากโรคทางกาย โรคทางจิต หรือการปวดเมื่อยตามตัวจากการทำงานหนัก ยาหลายอย่างที่มีฝิ่นหรืออนุพันธ์ของฝิ่นเป็นส่วนประกอบมีฤทธิ์แบบนี้ ๒.๒ การลดความตึงเครียด ความกระวนกระวายใจ ความหงุดหงิด ความตื่นเต้น ตลอดจนการนอนไม่หลับ ยาที่กดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น แอลกอฮอล์ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยานอนหลับ และยากล่อมประสาท ออกฤทธิ์แบบนี้ ๒.๓ การกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อลดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย การง่วงเหงาหาวนอน การอ่อนเพลีย การซึมเศร้า และขาดพละกำลัง สารที่ออกฤทธิ์แบบนี้ ได้แก่ กาเฟอีน (cafeine, สารที่มีในกาแฟ และชา) แอมเฟตามีน โคเคน และใบกระท่อม ๒.๔ การมึนเมา ซึ่งหมายถึง ภาวะที่การรับความรู้สึกจากสิ่งแวดล้อม และความนึกคิดผันแปรไป ไม่ชัดเจนหรือดีเท่าปกติ ความทุกข์ทรมาน หรือความวิตกกังวลค่อยมึนชาไป หรือลืมไปได้ ความกดดัน ความยับยั้งชั่งใจ หรือความอัดอั้นก็คลายออกไปได้ อาจเกิดความรู้สึกครึ้มใจ และหมดกังวลมาแทน อาจมีอาการทางกายเกิดร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ เสียการทรงตัว และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย สารที่ออกฤทธิ์แบบนี้ ได้แก่ แอลกอฮอล์ บาร์บิทูเรต กัญชา น้ำมันระเหยต่างๆ เป็นต้น ๒.๕ ประสาทหลอน ซึ่งหมายถึง ภาวะที่การรับความรู้สึกต่างๆ ผิดแปรไปจากปกติ สิ่งที่เห็นได้ยิน สัมผัส หรือรู้สึกด้วยวิธีใดก็ตาม จะรับรู้ผิดไปจากปกติ และแปลผลผิดจากปกติด้วย อาจมีความรู้สึกเกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งนั้นจริงๆ ก็ได้ ผู้ที่ใช้ยาอาจมีอาการมึนเมา สนุกสนาน ครึกครื้น หรืออาจถึงคลุ้มคลั่งก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ใช้ยารู้สึกว่า ไม่ได้อยู่ในโลกของความจริง แต่อยู่ในโลกของความฝัน จึงเป็นทางหนีจากความทุกข์ทรมาน และความกดดันต่างๆ ได้เช่นเดียวกับการมึนเมา กัญชา และสารสังเคราะห์ เช่น แอลเอสดี มีฤทธิ์แบบนี้ ยาเสพติดแต่ละชนิด อาจมีฤทธิ์หลายแบบ ปนกัน หรือมีฤทธิ์แตกต่างกัน แล้วแต่ขนาดของยาและวิธีใช้ ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ขนาดน้อยอาจมีฤทธิ์กระตุ้น เมื่อขนาดมากขึ้นก็มีฤทธิ์ทำให้มึนเมา และใน ขนาดมากเต็มที่อาจกดระบบประสาท จนไม่รู้สึกตัวไป เลยก็ได้ ฝิ่นที่ผสมเป็นยาหรือละลายน้ำกินทางปาก มี ฤทธิ์ในการแก้ท้องเดินและแก้ไอได้ดี และมีฤทธิ์ในการบรรเทาความเจ็บปวดได้ปานกลาง แต่ถ้าสูบ ซึ่งหมาย ถึงการเผาให้เป็นควัน แล้วสูดหายใจเอาควันเข้าไป จะมีผลเร็ว ระงับความเจ็บปวดได้มาก และลดความตึงเครียด ตลอดจนเกิดความรู้สึกสบายใจได้โดยเร็ว เฮโรอีนมีฤทธิ์คล้ายคลึงกับฝิ่นเวลาสูบ แต่ถ้าฉีดเข้าหลอดเลือด ยิ่งได้ผลเร็วขึ้นอีก มีความมึนเมาเกิดขึ้นในทันที ๓. กลไกของการเสพติด การเสพติดประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ ๓.๑ การที่ร่างกายขึ้นกับยา หรือการติดยาทางกาย เมื่อได้รับยาเสพติดเข้าไปในร่างกายแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ในร่างกายส่วนต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในสมอง เพื่อให้เกิดสมดุลใหม่ที่มียาอยู่ด้วยเป็นประจำ หากยานั้นขาดหายไป หรือลดปริมาณลง ก็จะเกิดการเสียสมดุลในร่างกาย ทำให้มีอาการผิดปกติขึ้น ที่เรียกว่า อาการถอนยา ยาประเภทฝิ่น มอร์ฟีน และเฮโรอีน มี สภาพที่ร่างกายขึ้นกับยาค่อนข้างรุนแรง เพราะในสมองมีสารหลายอย่าง ที่มีฤทธิ์แบบเดียวกันกับมอร์ฟีน เรียกว่า เอนเคฟาลิน (encephalin) และเอนดอร์ฟิน (endorphin) คล้ายกับว่า มีมอร์ฟีนอยู่ในสมองตามธรรมชาติแล้ว เมื่อร่างกายได้รับมอร์ฟีนเข้าไป ซึ่งจะได้จากการกิน หรือสูบฝิ่น หรือการฉีดมอร์ฟีน หรือเฮโรอีนก็ตาม จะทำให้สมดุล ของเอนเคฟาลิน และเอนดอร์ฟินในสมองเปลี่ยนไป เป็นสภาพที่ต้องได้รับมอร์ฟีน จากภายนอก เข้าไปตลอดเวลา เมื่อมอร์ฟีนจากภายนอกขาดไป จากการไม่ได้สูบฝิ่น หรือฉีดมอร์ฟีน หรือเฮโรอีน ก็จะเกิดกลุ่มอาการถอนยาที่ เรียกว่า ลงแดง กลุ่มอาการนี้ ได้แก่ อาการปวดตามตัว กระวนกระวาย ขนลุก น้ำมูกน้ำตาไหล หาว นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อกระตุก และเป็นตะคริว และท้องเดิน ในบางรายที่เป็นมากอาจดิ้นทุรนทุราย ลักษณะอาการนี้ เกิดขึ้นจากระบบประสาทอัตโนมัติถูกกระตุ้นอย่างแรง กลุ่มอาการมีส่วนคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดรุนแรง อาการดังกล่าวนี้ จะเป็นมากอยู่เพียง ๓-๕ วัน แล้วค่อยๆ สงบลงไปเองในเวลา ๑-๒ สัปดาห์ แต่ยังอาจมีอาการเพลียนอนไม่หลับ และหงุดหงิดไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน สำหรับยานอนหลับ เช่น บาร์บิทูเรต และเมทาควาโลน (methaqualone) ก็มีอาการถอนยาที่อาจรุนแรงได้ เพราะยานี้มีฤทธิ์ในการกดระบบประสาทกลาง เมื่อใช้ไปนานๆ แล้วหยุดทันที ทำให้การกดหายไปทันที ก็มีอาการแบบเดียวกับระบบประสาทกลางถูกกระตุ้น คือ มีอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ อาจมีอาการชัก ไข้สูง และไม่รู้สึกตัวไป เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ | |
การสูบฝิ่นในโรงยา ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว | คนที่ติดเหล้า หากไม่ได้รับเหล้าเข้าไปก็มีอาการถอนยา คือ มือสั่น เดินโซเซ กระวนกระวาย และถ้าเป็นมากอาจคลุ้มคลั่งได้ |
๓.๒ การที่จิตใจขึ้นกับยาหรือการติดยาทางจิต ผู้ที่เคยประสบกับฤทธิ์ของยาแล้วติดใจ หรือพอใจ จะได้ฤทธิของยานั้นอีก ซึ่งอาจเป็นความรู้สึกสบายใจ หรือสนุกสนาน หรือความรู้สึกเมา ลืมความทุกข์โศก และหลุดพ้นจากโลกของความเป็นจริง ไปสู่โลกของความฝัน ในบางรายอาจมีจิตใจขึ้นกับยา เนื่องจากกลัวอาการถอนยา หรือกลัวความจริงที่จะพบในโลกที่ไม่ใช้ยา ยาเสพติดทุกชนิดจะมีการที่จิตใจขึ้นกับยา ดังกล่าวมานี้ สภาพการติดยาเป็นบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากการใช้ยาจนติด ผู้ติดยาจะรู้สึกมีแรงผลักดัน หรืออำนาจบางอย่างบังคับให้ไปใช้ยาโดยตนเอง ไม่สามารถระงับยับยั้งไว้ได้ เปรียบได้กับผู้ติดสิ่งอื่นๆ เช่น เหล้า บุหรี่ การพนัน ไพ่ หรือม้าแข่ง เป็นต้น เมื่อถึงกำหนดแล้ว ก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข บางคนก็กระทำไปโดยตนเอง คล้ายกับไม่รู้สึกตัว การกระทำนั้น ก็อาจมีแรงผลักดันให้กระทำไปในรูปที่ผิดปกติเหลือวิสัย ที่คนปกติจะกระทำ เช่น การพนัน ยอมเสียทุกอย่าง โดยไม่ยั้งคิด ผู้ติดยาเสพติดที่รุนแรง อาจกระทำในสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรม หรือผิดกฎหมายก็ได้ เพื่อสนองความอยากของตน กระบวนการติดยานี้ บางคนเชื่อว่า เป็นกระบวนการสร้างบุคลิกภาพขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์และสัตว์ ในสถานการณ์อย่างหนึ่ง ต้องกระทำอย่างหนึ่ง จึงจะได้รับรางวัล หากได้รับรางวัลจนเคยชิน ก็จะเกิดแรงกระตุ้นให้กระทำสิ่งนั้นๆ เพื่อรับรางวัลอยู่เสมอ อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ใช้ยาเสพติด อาศัยฤทธิ์ของยาในการหนีจากปัญหาที่ต้องเผชิญ และเป็นวิธีการที่ง่ายกว่าการแก้ปัญหาแบบอื่น หากกระทำหลายๆ ครั้ง บุคลิกภาพก็เปลี่ยนไป เมื่อเกิดปัญหาก็มีแนวโน้มที่จะหาทางออกด้วยการใช้ยาเสพติด ในการบำบัดรักษาผู้ที่ติดยาเสพติด เมื่อแก้ไขสภาพที่ร่างกายขึ้นกับยาได้แล้ว สภาพที่จิตใจขึ้นกับยายังคงอยู่ไปอีกนาน ทำให้ผู้นั้น กลับไปใช้ยาอีก บางคนอาจมีสภาพจิตใจขึ้นกับยาไปตลอดชีวิตก็ได้ การที่จิตใจขึ้นกับยา จึงเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก และต้องใช้เวลานาน การรักษาระยะนี้อาจเรียกว่า การฟื้นฟูสภาพจิต แต่ความจริงแล้ว อาจจำเป็นต้องสร้างสภาพจิต หรือบุคลิกภาพขึ้นใหม่ทั้งหมด เพราะเยาวชนที่ติดยา ไม่เคยมีสภาพจิตปกติ ที่เคยสร้างไว้เลยก็ได้ ๓.๓ การด้านยา หมายถึง การที่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดของยาขึ้น ภายหลังจากใช้ยาไปหลายครั้ง จึงจะได้ผลจากฤทธิ์ของยาอย่างเดิม ผู้ที่ติดยาเสพติด เมื่อใช้ยาไปเรื่อยๆ ในขนาด เดิม ผลของยาจะลดลงไม่รู้สึกแรงเท่าเดิม จึงจำเป็นต้องเพิ่มขนาดของยาขึ้นเรื่อยๆ บางคนอาจใช้ยาขนาดมาก กว่า ๑๐ เท่าของขนาดปกติก็ได้ ซึ่งถ้าใช้เป็นครั้งแรก เมื่อยังไม่ด้านยา อาจเกิดเป็นพิษถึงกับไม่รู้สึกตัวไปก็ได้ |
ผู้ที่ใช้ยาเสพติดจากตลาดมืดผิดกฎหมาย ย่อมไม่ทราบว่ายาที่ได้นั้นบริสุทธิ์ หรือแรงเพียงใดและ ความด้านยาของตนเองมากน้อยเพียงใด หากขาดยาไป ระยะหนึ่ง ความด้านยาอาจลดลงไป แล้วถ้าบังเอิญไป ได้รับยาที่มีความเข้มข้นสูง ก็อาจได้รับยาเกินขนาดเข้า ไปและเป็นอันตรายได้ นับว่า เป็นอันตรายที่สำคัญประการหนึ่ง สำหรับผู้ติดยาเสพติด โดยเฉพาะเฮโรอีน ที่ต้องแอบซื้อขาย | หมู่บ้านชาวไทยภูเขาที่บ้านคุ้ม บนดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ |
การด้านยา ยังเป็นสาเหตุให้ผู้ที่ติดยาต้อง ใช้ยาขนาดมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการซื้อยาก็ย่อมสูงขึ้น เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น และผู้ติดยากจนลง เรื่อย จนในที่สุดอาจเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา บุคคลและการใช้ยา หากพิจารณาในแง่บุคคลที่สัมพันธ์กับยาเสพติดแล้วจะเห็นว่า ในสภาพแวดล้อมที่มียาอยู่ หรือหายาได้ง่ายนั้น จะมีบุคคลที่มีประสบการณ์การใช้ยาแตกต่างกันได้มาก พอจะจำแนกได้ดังนี้ ๑. ผู้ที่ไม่ใช้เลย บุคคลเหล่านี้สามารถรักษาตนเองได้ ไม่สนใจที่จะไปลองหรือใช้ยา เปรียบได้กับผู้ที่ได้รับเชื้อโรคแล้ว ไม่เป็นโรค นับได้ว่า เป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดี ๒. ผู้ลองใช้ยา บุคคลเหล่านี้ชอบลอง แต่ใช้ไปครั้งเดียว หรือไม่กี่ครั้งแล้วก็เลิกได้ ๓. ผู้ใช้ยาเป็นครั้งคราว บุคคลเหล่านี้ชอบใช้ยา และมีโอกาส หรือสภาพแวดล้อมชักจูงให้ไปใช้ยาเป็นระยะๆ แต่เว้นระยะห่างจนยังไม่เกิดสภาพติดยา มักจะเป็นการใช้ยา เพื่อเข้าในสังคม หรือหมู่เพื่อนฝูง ที่ชอบใช้ด้วยกัน ๔. ผู้ใช้ยาเป็นประจำหรือผู้ที่ติดยา บุคคลเหล่านี้ใช้ยาเป็นประจำ จนมีสภาพของการติดยา คือ มีอาการร่างกาย หรือจิตใจ ขึ้นกับยาและอาการด้านยา บุคคลประเภทนี้ มีบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มที่จะติดยาได้ง่าย หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ขาดภูมิคุ้มกันต่ออาการติดยา ในหมู่บ้านชาวไทยภูเขา ซึ่งมีการปลูกและซื้อขายฝิ่นนั้น มีผู้ที่ติดฝิ่นอยู่ระหว่างร้อยละ ๖ ถึงร้อยละ ๓๘ โดยมีสาเหตุการใช้ แบ่งได้เป็น ๓ ประการ ประการแรกเป็นการใช้ฝิ่นเป็นยารักษาโรคทางกาย เช่น เพื่อระงับอาการเจ็บปวด อาการไข้ อาการท้องเดิน และอาการไอ สำหรับโรคที่เป็นในระยะเวลาสั้น ก็ใช้ฝิ่น เพียงครั้งเดียว หรือไม่กี่ครั้ง แล้วก็หยุด เพราะโรคหายไปแล้ว แต่โรคที่เป็นเรื้อรัง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร วัณโรคของปอด โรคไตเรื้อรัง และบาดเจ็บต่างๆ อาการ เป็นอยู่นาน และต้องสูบฝิ่น เพื่อรักษาหลายครั้ง จนมีผลให้ติดยา และเลิกไม่ได้เป็นเวลาอีก ๒๐-๓๐ ปีต่อมาก็มี ประการที่ ๒ เป็นการใช้ฝิ่น เพื่อให้ได้ฤทธิ์ด้านจิตประสาท ในการกดประสาทกลาง ทำให้เกิดความมึนเมา และระงับความกดดัน หรือความทุกข์ทรมานด้านจิตใจ นับเป็นการหนีจากปัญหาต่างๆ ที่ประสบ ซึ่งอาจเป็นปัญหาส่วนบุคคล เช่น การสูญเสียบุตร ภรรยา ผู้เป็นที่รักไป หรือการสูญเสียพืชผล สัตว์เลี้ยง เป็นต้น หรือเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจจากความยากจน และความหมดหวังในชีวิต ส่วนประการที่ ๓ เป็นการใช้ฝิ่น เพื่อความรื่นเริง ทั้งที่เป็นการเข้ากลุ่มหรือสังคม และการสูบคนเดียว การใช้ฝิ่นนี้ในประเทศอินเดียมีรายงานว่า ชาวบ้านใช้ละลายน้ำให้เด็กเล็กๆ กิน เพื่อให้นอนและไม่กวนระหว่างพ่อแม่ทำงาน | |
บริเวณชุมชนแออัด | |
ในการที่แพทย์ใช้ยาที่เข้าฝิ่น หรือยามอร์ฟีน ในการรักษาโรคนั้น หากใช้เป็นระยะสั้นในผู้ป่วยที่มี อาการเฉียบพลัน แล้วหยุดยาในเวลาไม่นาน ก็ไม่เกิดผลเสีย ให้ติดยาขึ้น แต่ถ้าใช้ซ้ำๆ หลายครั้งในผู้ป่วยที่เป็น โรคเรื้อรัง ก็อาจทำให้ติดยาได้ สำหรับเยาวชนที่หันไปใช้ยาเสพติดนั้น มีสภาพ จิตแตกต่างกันได้หลายแบบ ผู้ที่ติดยาบางคนเป็นโรคจิตหรือโรคประสาท และใช้ยาเสพติดเพื่อระงับ อาการของโรค บางคนเป็นเด็กเกเรอยู่เดิม ชอบเล่นการ พนัน ชอบรังแก หรือแกล้งผู้อื่น และชอบหนีโรงเรียน การติดยาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเด็กเกเรเท่านั้น ผู้ติดยา บางคนมีสภาพจิตปกติ แต่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ไม่เป็น ตัวของตัวเอง ชอบอิงหรือพึ่งผู้อื่น เมื่อคบเพื่อนที่ชักจูง ไปใช้ยาก็ไม่มีกำลังใจพอที่จะหักห้ามได้ ยิ่งบางคนที่ ขาดความรู้ และมีทัศนคติและค่านิยมที่ผิดไปจากปกติ แล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดปัญหาติดยาเสพติดได้มาก คนบางคนชอบโลดโผน หรือชอบเสี่ยงอันตราย ยิ่งทราบว่า ยาเสพติดเป็นสิ่งต้องห้ามและอาจมีอันตรายยิ่งอยากลอง บางคนมีความพอใจในการที่สามารถกระทำในสิ่งที่ผิด แล้วไม่ถูกจับ หรือเสี่ยงแล้วรอดพ้นได้ บางคนที่มีปมด้อยหรือมีความพอใจ ที่จะโอ้อวด ก็อาจใช้ยาเสพติดเป็น ทางแสดงออกถึงความกล้า การที่เด็กถูกห้ามกระทำใน บางสิ่งบางอย่างที่ผู้ใหญ่ทำได้ เช่น การสูบบุหรี่และดื่ม เหล้า เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้เด็กบางคนที่ต้องการแสดงตัว และแสดงความเป็นผู้ใหญ่ หันไปกระทำในสิ่งเหล่านั้น บางคนก็ใช้ยาเสพติดเพื่อประชดผู้ใหญ่ การขาดแนว ความคิด ความไม่แน่ใจตนเอง การขาดระเบียบวินัย การขาดความหวังสำหรับอนาคต ตลอดจนการขาดความ ระลึกชั่วดี ทำให้เยาวชนบางคนหลงทาง และไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ และหันไปหายาเสพติด บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะใช้ หรือติดยาเสพติด หรือไม่ ย่อมขึ้นกับความสามารถทางจิตใจของบุคคลผู้นั้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นภูมิคุ้มกัน สภาวะที่เป็นภูมิคุ้มกันต่อยาเสพติดเท่าที่พอ ประมวลได้ ได้แก่ ๑. บุคลิกภาพ เด็กบางคนมีบุคลิกและจิต ผิดปกติ เช่น ปัญญาอ่อน หรือ บุคลิกภาพต่อต้าน สังคม เป็นต้น เด็กพวกนี้จะเป็นเด็กที่มีปัญหามาก่อน การเกิดปัญหาการติดยา ในการศึกษาปัญหายาเสพติดใน โรงเรียน คณะวิจัยจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า เด็กที่ใช้กัญชาและฝิ่นมีอัตราการเคยมีปัญหาเล่น การพนันด้วยเงินจำนวนมาก และอัตราการจำนำของ สูงกว่าในเด็กนักเรียน ที่ไม่ใช้ยามาก อุปนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นมาก่อนการใช้และติดยาเสพติด แสดงว่า เด็กที่มีบุคลิกภาพ หรือสภาพจิตผิดปกติ มีแนวโน้มที่จะ หันไปใช้ยาเสพติด ซึ่งอาจเนื่องจากการขาดการยับยั้ง ชั่งใจ หรือจากการที่ยาเสพติดช่วยลดความตึงเครียดของจิต เด็กที่เป็นโรคประสาทก็อาจหาทางออกด้วยการใช้ ยาเสพติด บุคลิกภาพที่เกิดจากการที่พ่อแม่ปกป้องมาก เกินไป จนเด็กไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถตัดสินใจ ด้วยตนเอง และพึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อพบเพื่อนที่มีบุคลิกภาพเข้มแข็งกว่า ชักจูงไปใช้ยา เด็กเหล่านี้ ก็ไม่สามารถจะหักห้ามใจได้ จึงใช้และติดยา ไปก็ไม่น้อย ๒. ความรู้ ความรู้ที่ถูกต้องย่อมมีส่วนเป็น เครื่องคุ้มกันไม่ให้เด็กไปใช้ยาเสพติด และไม่ให้ถูก หลอกให้กระทำผิดได้ การกล่าวถึงโทษของยาเสพติด เกินความจริงและสร้างความกลัวเกินกว่าเหตุ อาจให้ ผลในทางตรงข้าม เพราะเด็กอาจได้รับความรู้อีกด้านหนึ่งจากเพื่อน ที่อาจเป็นผู้มีประสบการณ์การใช้ยา และ มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า ความรู้ที่ได้รับไว้เดิมนั้น ไม่ถูกต้อง และไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เด็กขาดหลักที่ยึดเหนี่ยว อีกประการหนึ่ง เด็กบางคนใช้ยาเสพติด เพราะต้องการกระทำในสิ่งที่เป็นการผจญภัยและโลดโผน การกล่าวถึงโทษของยาเสพติดยิ่งมาก เด็กก็อาจรู้สึกยิ่ง โลดโผนและน่าลองมากขึ้น ความรู้ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวัยจึงเป็นสิ่ง จำเป็น ๓. ทัศนคติและค่านิยม ทัศนคติที่ดีต่อชีวิต การรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี การมีระเบียบวินัย การยับยั้ง ชั่งใจ ความยั้งคิด ย่อมเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะป้องกัน ไม่ให้เด็กทำตัวเข้าสู่ปัญหายาเสพติด ภูมิคุ้มกันที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นจากการอบรม สั่งสอน และประสบการณ์ในชีวิตของเยาวชนตั้งแต่เล็ก จนโตขึ้น จึงเห็นได้ว่า ปัญหายาเสพติดส่วนหนึ่ง เกิดจากความบกพร่องในการเลี้ยงดู อบรมบ่มนิสัยเด็กในระยะแรกๆ สภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อม มีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่า ตัวยา และจิตใจของบุคคล ในการที่ทำให้เกิดปัญหายาเสพติดขึ้น พอจะกล่าวถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นสาเหตุ ของปัญหายาเสพติดได้ดังนี้ ๑. เพื่อน ผู้ที่ใช้และติดยาเสพติด ส่วนใหญ่รู้จักยาจากเพื่อน ได้รับยาครั้งแรกจากเพื่อน ใช้ยาครั้งแรกที่บ้านเพื่อน และเป็นผู้ที่มักจะหันไปปรึกษาเพื่อน เมื่อมีปัญหา เพื่อนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการชักนำผู้หนึ่งผู้ใดไปใช้ยาเสพติด การเลือกคบ หรือเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดย่อมเป็นทางนำให้บุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ หรือขาดภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว หันไปใช้และติดยาได้ ๒. สภาพสังคมที่เป็นสื่อชักนำให้ใช้ยาเสพติด การที่เยาวชนมีเวลาว่าง และไม่มีสิ่งใดที่เพลิดเพลิน และพอใจให้ทำในเวลาว่าง ทำให้เยาวชนไปมั่วสุมกันในที่ต่างๆ เป็นก๊วน หรือแก๊งขึ้น และชักจูงกันไปทำสิ่งต่างๆ ถ้ามีเพื่อนที่ไม่ดีอยู่ร่วมในกลุ่ม ก็อาจชักนำไปในทางอบายมุกต่างๆ เช่น การพนัน การมั่วสุมทางเพศ ตลอดจนการใช้บุหรี่ เหล้า และยาเสพติดต่างๆ ผู้ที่เคยใช้หรือติดยาเสพติด เป็นผู้ที่รู้แหล่งที่ อาจหายาเสพติดได้ ย่อมชักนำเพื่อนไปใช้ยาเสพติดได้ บางคนอาจชักนำไป เพื่อตนเองได้มีส่วนได้รับยาเสพติดด้วย ๓. การมียาหาได้ง่าย ในสังคมที่ยาเสพติดหาได้ง่าย โอกาสที่จะหันไปใช้และติดยาก็มีมากขึ้น ยาบางอย่างเป็นยาที่ใช้ในทางการแพทย์อยู่ และมีการผลิตจากโรงงานเภสัชกรรม หรือนำเข้ามาในประเทศ เพื่อเป็นยารักษาโรค แล้วมีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วไป อาจมีผู้นำไปใช้เป็นยาเสพติดได้ มาตรการในการควบคุมยารักษาโรคที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และยาเสพติด จึงมีความสำคัญในการป้องกันปัญหายาเสพติด ยาบางอย่างที่มีโทษร้ายแรง และมีกฎหมายห้าม การผลิต หรือการค้า หากมีความต้องการอยู่ ราคา ก็ย่อมสูง และผู้ที่ลักลอบผลิต หรือสินค้าก็ได้กำไรสูง ทำให้มีผู้ที่ประกอบอาชญากรรด้านการผลิตหรือค้ายาเสพติด ที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการรักษากฎหมายและผู้รักษากฎหมายด้วย ในสภาพแวดล้อมบางแห่ง มีการลักลอบค้ายาเสพติดกันมาก ยานั้นก็หาได้ง่าย มีผลให้เกิดปัญหายาเสพติดรุนแรงและกว้างขวางขึ้น ๔. สภาพแวดล้อมที่มีความกดดันต่อจิตใจ ความกดดันต่อจิตใจจากสภาพแวดล้อม จะเป็น แรงดันให้เยาวชนหันไปใช้ยาเสพติดเป็นทางออก หรือทางหนี สภาพในครอบครัวย่อมเป็นเหตุของความกดดันของเด็กได้ เช่น เด็กที่ไม่มีความสุขที่บ้าน พ่อแม่ แตกแยกกัน พ่อหรือแม่เป็นผู้มีบุคลิกภาพ หรืออุปนิสัยไม่ดี ติดสุรา หรือยาเสพติด เด็กที่ขาดความรัก เป็นต้น ความกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม ก็เป็นปัญหา สำคัญ ชุมชนที่เศรษฐกิจไม่ดีมีความยากจนมาก มีผู้ที่ ติดยาเสพติดมาก ผู้ที่ติดยาในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่อยู่ในบริเวณชุมชนแออัด หรือบริเวณใกล้เคียง ความลำบากในการดำรงชีพ และการขาดความหวัง สำหรับอนาคต อาจผลักดันให้คนบางคนหันไปใช้ ยาเสพติด ๕. สภาพแวดล้อมขาดการชักจูงไปในทางที่ดี ในสภาพสังคมที่เสื่อม มีประชากรมาก แต่มีเครื่องอุปโภคบริโภค และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ขาดแคลน ต้องแย่งกันใช้ ผู้คนต้องวุ่นวายอยู่ กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดการดำเนินงานในระยะ ยาว ความหวังสำหรับอนาคตรางเลือนไป เยาวชนก็ขาดการแนะนำชักจูงไปในทางที่ดี ในทางที่เสริมสร้าง กิจกรรมด้านเสริมสร้างมีน้อย เยาวชนจึงหันไปใช้เวลาว่างไปในทางเสื่อม ตลอดจนไปใช้ยาเสพติด |