ประติมากรรมเป็นผลงานทางศิลปะที่มีรูปทรง ๓ มิติ คือ มีความสูง ความกว้าง และความนูนหรือลึก เกิดขึ้นจากการปั้น หล่อ แกะสลัก ฉลุ หรือดุน ตั้งแต่โบราณมา บรรพบุรุษของไทยได้สร้างผลงานทางประติมากรรมขึ้น เพื่อแสดงออกถึงจินตนาการ ความรู้สึก ความเชื่อ และความต้องการ ที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งเป็นการแสดงออกของความสามารถทางด้านศิลปะ อันเป็นสุนทรียภาพของตนด้วย
ครุฑยุดนาครับไขรา ประติมากรรมลอยตัว ประดับยอดปราสาทพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ประติมากรรมสมัยรัตนโกสินทร์
การสร้างประติมากรรมนี้ ผู้สร้างจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบทางศิลปะหลายประการ เพื่อช่วยให้ผลงานมีความงดงาม และสามารถสร้างความรู้สึกต่างๆ ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ชม เช่น การใช้เส้นที่คดโค้งหรืออ่อนช้อย ความกลมกลึง ความมันวาว ความนูนและความเรียบเกลี้ยงของพื้นผิว สามารถกระตุ้นความรู้สึกละเอียดอ่อนของผู้ชม สื่อให้รู้ถึงความอิ่มเอิบ และความสมบูรณ์พูนสุข แสงและเงาที่สะท้อนได้ฉาก และมุมที่พอเหมาะ ช่วยสร้างบรรยากาศให้ได้ความรู้สึกที่ต้องการ การสร้างและจัดงานประติมากรรมให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เช่น เหมาะกับขนาดของสถานที่ ฐานที่ตั้ง และวัสดุอื่นๆ สามารถช่วยให้ประติมากรรมนั้นดูเด่น เป็นสง่า น่าเคารพ และน่านับถือ นอกจากนั้นการเลือกใช้วัสดุ และเทคนิคการประดับตกแต่งที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้เกิดความวิจิตรงดงาม เพิ่มคุณค่างานประติมากรรมไทยขึ้นด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การสร้างงานประติมากรรมแต่ละชิ้น ต้องใช้ความสามารถของช่างทางด้านศิลปะอย่างมาก
บานประตูสลักไม้รูปเซี่ยวกางเหยียบสิงห์ ประติมากรรมนูนต่ำ วัดนางชีโชติการาม กรุงเทพมหานคร สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓
ประติมากรรมรูปเคารพ ที่คนไทยสร้างขึ้น เพื่อเคารพบูชา มักทำเป็นรูปคน เช่น เทวรูป พระพุทธรูป หรือรูปสัญลักษณ์ เช่น ใบเสมา ธรรมจักร และกวางหมอบ และรอยพระพุทธบาท ประติมากรรมรูปคนถือเป็นประติมากรรมที่สำคัญที่สุด เพราะสะท้อนความเชื่อ และความผูกพันระหว่างสังคมไทยกับพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง มีมานานก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จนถึงปัจจุบัน
ประติมากรรมนูนสูงประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพมหานครหล่อด้วยปูนซีเมนต์ขาว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑
ประติมากรรมตกแต่ง เป็นประติมากรรมที่ใช้ตกแต่งศิลปสถาน และศิลปวัตถุต่างๆ ให้เกิดคุณค่าทางความงาม และวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น ที่เราพบมาก ได้แก่ การแกะสลักลวดลายต่างๆ ลงบนสิ่งของเครื่องใช้ เช่น ตู้ โต๊ะ ตั่ง เตียง ถ้วย ชาม ฯลฯ และการประดับสถานที่ต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ปราสาทราชวัง ด้วยลายปูนปั้น และรูปปั้นต่างๆ ประติมากรรมของไทย นอกจากจะสะท้อนแบบแผนทางวัฒนธรรมแล้ว ยังสะท้อนความเชื่อต่างๆ อีกด้วย เช่น รูปหล่อโลหะสัตว์หิมพานต์ต่างๆ ในวัด นับว่าสะท้อนความเชื่อทางพุทธศาสนาในเรื่องไตรภูมิ นอกจากนั้นประติมากรรมบางอย่าง มีวัตถุประสงค์ที่จะเล่าเรื่อง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้ชมได้ทราบด้วย เช่น ประติมากรรมแกะสลักแผ่นหินอ่อน เรื่องรามเกียรติ์ ประดับพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประติมากรรมปูนปั้น เรื่องทศชาติ ประดับหน้าพระอุโบสถวัดไลย์ จังหวัดลพบุรี เป็นต้น
พระพุทธอนันตคุณ อดุลยญาณบพิตร พระประธานพระอุโบสถ วัดราชโอรสารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ปางสมาธิ หล่อด้วยโลหะลงรักปิดทอง สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓
ประติมากรรมอีกประเภทหนึ่ง เป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้น เพื่อประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น การสลักดุนภาชนะเครื่องใช้ขนาดเล็ก ด้วยลวดลายต่างๆ การแกะสลักเครื่องดนตรี การนำกระดาษสามาสร้างเป็นหัวโขน การนำดินมาปั้นเป็นเครื่องเล่นต่างๆ เช่น ตุ๊กตา ตัวหมากรุก หรือนำวัสดุต่างๆ มาประดิษฐ์เป็นเครื่องตกแต่งชั่วคราว เช่น การสลักผักผลไม้ การสลักหยวกกล้วย และการสลักเทียนพรรษา เป็นต้น
พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขนาด ๒.๕ เท่า ของพระองค์จริง หล่อด้วยโลหะรมดำ ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี เป็นผู้ออกแบบ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าสวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔
จะเห็นได้ว่า ประติมากรรมเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่า และประโยชน์หลายด้าน บรรพบุรุษของไทยได้ริเริ่ม และวางแผนงานประติมากรรมของไทยมานานแล้ว เนื่องจากประติมากรรมของไทยได้ผ่านการหล่อหลอม และผสมผสานทางวัฒนธรรมมาอย่างชาญฉลาด ไทยจึงยังคงสามารถรักษารูปแบบ ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยได้อย่างเด่นชัด ในระยะหลังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา ความเจริญของประเทศทางตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ งานศิลปะมิได้สร้างขึ้นเพียงเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อทางศาสนาเท่านั้น แต่สามารถสร้างขึ้น เพื่อสาธารณประโยชน์ด้วย ดังนั้น การสร้างอนุสาวรีย์ การทำรูปปั้น และเหรียญตราต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการศิลปกรรมไทยสมัยใหม่ทุกสาขาคือ ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ศิลปินผู้ปั้นรูปอนุสาวรีย์สำคัญๆ ของชาติจำนวนมาก เช่น พระบรมรูปรัชกาลที่ ๑ พระบรมรูปรัชกาลที่ ๖ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ งานศิลปกรรม ซึ่งแต่เดิมอยู่ในความดูแลของราชสำนัก ก็ได้เปลี่ยนไปอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งต่อมาได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ จัดให้มีการเรียนการสอนทางด้านศิลปกรรมสาขาต่างๆ ปัจจุบันงานประติมากรรมของไทยได้เข้าสู่ยุคของศิลปะร่วมสมัย ซึ่งศิลปินมีอิสรภาพทั้งทางด้านความคิด เนื้อหาสาระ เทคนิค และรูปแบบการแสดงออก สุดแท้แต่จินตนาการ และความสามารถของศิลปินผู้สร้าง