ประเภทของงานภูมิสถาปัตยกรรม
ผืนแผ่นดินกลางแจ้งมีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลและมีความหลากหลายทั้งในด้านธรรมชาติ และด้านเศรษฐกิจสังคม ดังนั้น ประเภทของงานภูมิสถาปัตยกรรมจึงหลากหลายตามไปด้วย โดยทั่วไป งานภูมิสถาปัตยกรรมมักจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ นิเวศวิทยา คุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่มองเห็นได้ด้วยตา และเกี่ยวข้องกับทั้งคน สัตว์และพืชพรรณที่ใช้สอยหรือขึ้นอยู่ในพื้นที่นั้นๆ
งานภูมิสถาปัตยกรรมเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งคน สัตว์ และพืชพรรณประจำถิ่น
ในการแก้ปัญหาของงานภูมิสถาปัตยกรรม ภูมิสถาปนิกจะใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะเป็นเครื่องมือ เพื่อบ่งชี้ปัญหา เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินและกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา งานที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ความรู้และเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ มากกว่าศิลปะ เช่น การวิเคราะห์พื้นที่ขนาดใหญ่มาก เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับตั้งถิ่นที่อยู่และที่ทำกินของมนุษย์ จะต้องมีการกำหนดเขตน้ำท่วม เขตเกษตรกรรม พื้นที่ที่เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นเมือง และเขตอุตสาหกรรมหรือเพื่อการอนุรักษ์ ในขณะที่งานพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น การออกแบบลาน หรืออุทยานขนาดย่อมที่สวยงามจะใช้ศิลปะมากกว่า
ลักษณะของงานภูมิสถาปัตยกรรมประเภทต่างๆ เรียงลำดับจากงานขนาดใหญ่ไปหางานขนาดเล็ก โดยสังเขป ดังนี้
๑. งานวิเคราะห์ภูมิทัศน์และทรัพยากรภาค (Regional Landscape and Resource Analysis)
งานวิเคราะห์ภูมิทัศน์และทรัพยากรภาค คือ การวิเคราะห์พื้นที่ขนาดใหญ่ที่ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา หรือลุ่มน้ำ ที่มีขนาดเล็กลง ไม่ใช้เขตการปกครอง ทั้งนี้ เพื่อยึดหลักธรรมชาติมากำหนดเขตน้ำท่วม แหล่งน้ำ ความลาดชัน พื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ ความเหมาะสมของดินของพื้นที่เพาะปลูกสำหรับพืชแต่ละชนิด รวมทั้งพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ศึกษาพืชพรรณ และสัตว์ประจำถิ่น ปัจจัยทางอุทกวิทยา ภูมิอากาศ ธรณีวิทยา แหล่งทรัพยากร แหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ โดยมีการศึกษาการใช้ที่ดินเดิม โครงข่ายคมนาคมและปัจจัยประวัติศาสตร์ รวมทั้งสถานที่สำคัญ แหล่งวัฒนธรรม และลักษณะ ของประชากรเดิมที่ทับซ้อน บนพื้นที่ธรรมชาติ จากงานวิเคราะห์นี้ทำให้ทราบว่า พื้นที่ใดไม่ควรก่อสร้าง เพราะน้ำท่วมหรือเสี่ยงภัยธรรมชาติ หรือทำลายแหล่งประวัติศาสตร์ หรือทำลายวิถีชีวิตชุมชน งานภูมิสถาปัตยกรรมในระดับนี้เรียกว่า การวางแผนภูมิทัศน์ (Landscape planning) หรือการวางแผนเชิงพื้นที่โดยใช้ธรรมชาติหรือนิเวศวิทยาเป็นตัวนำ (Ecological approach)
การวิเคราะห์ภูมิทัศน์ภาค เพื่อบ่งชี้ความเหมาะสมเชิงธรรมชาติของพื้นที่ด้านต่างๆ
สำหรับกำหนดประเภทการใช้ที่ดินที่เหมาะสม
งานภูมิสถาปัตยกรรมแนวนี้มีกำเนิดประมาณ ๕๐ ปีก่อน ในสหรัฐอเมริกา โดยศาสตราจารย์เอียน แมกฮาร์ก (Ian Mcharg) เครื่องมือสำคัญที่ใช้ คือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographical Information System: GIS) ผลผลิตของงานนี้ จะนำไปใช้ ในการกำหนดนโยบายการตั้งถิ่นฐานและการพัฒนาเมืองแห่งชาติของประเทศต่างๆ ตามที่สหประชาชาติ ได้จัดให้มีการประชุมนานาชาติที่เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา และประกาศเป็นปฏิญญาร่วมกันเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งประเทศไทยยังไม่เคยมีนโยบายระดับชาติเช่นนี้ และยังไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ทำให้การวางแผนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นที่ เช่น การกำหนดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่น้ำหลาก สร้างความเสียหายมหาศาล และยังเป็นการสูญเสีย พื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ที่ควรให้เกษตรกร เป็นผู้ครอบครองไปอย่างถาวรอีกด้วย