เล่มที่ 24
ไม้ในวรรณคดีไทย (ตอน ๒)
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
พันธุ์ไม้ที่ใช้เป็นยารักษาโรค

            คนไทยรู้จักใช้พืชพันธุ์ไม้เป็นยา มาตั้งแต่สมัยโบราณ และถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ ให้ลูกหลานสืบทอดกันมา วิถีชีวิตของคนไทยในเรื่องดังกล่าว จึงปรากฏในวรรณคดีด้วย เช่น ใน นิราศสุพรรณ

ร้านขายยาแหล่งรวมของพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ

น้ำใจใคร่ (Olax scandens Roxb.)

น้ำใจใคร่

            น้ำใจใคร่เป็นพืชสมุนไพร ซึ่งบางพื้นที่เรียกว่า กระทกรก พบขึ้นทั่วไปทุกภาค ลักษณะเป็นไม้รอเลื้อย ที่แตกกิ่งก้านสาขามาก มีขนละเอียด สีขาวอยู่ทั่วลำต้น และมักมีหนามตามกิ่งแก่ๆ ใบเดี่ยวสีเขียวเป็นมันรูปขอบขนาดแกมใบหอก ขนาดกว้าง ๒ - ๓ ซม. ยาว ๕ - ๗ ซม. ดอก เป็นช่อสั้นๆ ออกดอกสีขาวตามซอกใบพร้อมๆ กัน เกือบทั้งกิ่ง มีกลีบดอก ๕ - ๖ กลีบ กลิ่นหอม ผลรูปไข่ปลายแหลมเล็กน้อย ขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง ๑ - ๑.๕ ซม. ผลสุกสีเหลือง หรือส้ม รับประทานได้ ชาวบ้านรับประทานใบและยอด อ่อนๆ เป็นผัก

น้ำใจใคร่มีสรรพคุณทางสมุนไพร ลำต้นใช้ทำยาต้ม แก้โรคไตพิการ และโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ เปลือกเป็นยาแก้ไข้

ราชดัด (Brucea javanica Merr.)

ต้นราชดัด

            ราชดัดเป็นพืชวงศ์เดียวกับสีฟันคนทา และประทัดใหญ่ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่สำคัญ พบในป่าโปร่งทุกภาค มีชื่ออื่นที่ใช้เรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ทางภาคใต้เรียกว่า กะดัด หรือ ฉะดัด ภาคกลางเรียกว่า ดีคน ตราดเรียกว่า พญาดาบหัก เชียงใหม่เรียกว่า กาจับหลัก หรือ มะดีควาย

            ลักษณะของราชดัดเป็นไม้พุ่มใหญ่ สูง ๒ - ๓ เมตร ทรงพุ่มโปร่ง ใบประกอบแบบขนนก มีก้านใบยาว เรียงสลับอยู่ห่างๆ ใบย่อยแต่ละใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก หรือรูปรี ปลายแหลม ขอบจัก มีขนนุ่มๆ ทั้ง ๒ ด้าน ดอกเล็กๆ สีน้ำตาลแกมแดง ออกดอกเป็นช่อ ยาวๆ ตรงซอกใบ ผลรูปใข่ปลายแหลม ขนาด เล็ก เมื่อแห้งจะมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผิวย่น คล้ายเมล็ดมะละกอแห้ง ปัจจุบันมีปลูกตามสวน สมุนไพรเกือบทุกแห่ง เนื่องจากผลราชดัดเป็น ยารักษาโรคบิด แก้ท้องเสีย และแก้ไข้ได้ดี นอกจากนี้ ใบยังใช้ถอนพิษสัตว์กัดต่อยได้ด้วย

สลัดได (Euphorbia antiquorum Linn.)


ดอกสลัดได

            สลัดไดเป็นพันธุ์ไม้วงศ์เดียวกับมะยม พบในที่แห้งแล้งทั่วไป ลำต้นอวบน้ำเป็นแท่งสีเขียว มีหนาม มักจะไม่ค่อยมีใบ จึงทำให้มีลักษณะคล้ายกระบองเพชร และมักจะเข้าใจกันว่า เป็นกระบองเพชรชนิดหนึ่งเสมอ มีข้อแตกต่างที่ใช้สังเกตได้ คือ สลัดไดมียางสีขาวขุ่น เมื่อทำให้เกิดบาดแผล แม้เพียงเล็กน้อย น้ำยาสียาวจะไหลออกมาทันที แต่กระบองเพชรไม่มียาง นอกจากนั้น ดอกของสลัดไดจะมีขนาดเล็ก สีเหลืองหรือ เหลืองอมเขียว ขนาดเล้นผ่านศูนย์กลางดอก ไม่ถึง ๑ ซม. คล้ายดอกไม้ชั้นเดียว แต่ส่วนที่ เห็นเป็นกลีบๆ นั้นคือใบประดับ ขณะที่ดอก กระบองเพชรมีขนาดใหญ่กว่ามาก และมีกลีบ ดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกัน

            ลำต้นสลัดไดเป็นแท่งสามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยม มีสันเป็นแนวตรง มีใบเล็กๆ ซึ่งมักจะหลุดร่วงง่าย นำมาปลูกเป็นรั้ว หรือปลูกด้านนอก ของกำแพงรั้วบ้าน เพื่อกันคนและสัตว์ เนื่องจาก ต้นแข็งและมีหนามแหลมคม

            ยางสลัดไดมีพิษ หากสัมผัสกับผิวหนัง อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นผื่นคัน หรือกัดผิว ตำรายาไทยใช้ยางกัดหูดตามผิวหนัง ซึ่งจากผลการวิจัยในปัจจุบันพบว่า มีสารร่วมก่อ มะเร็งในน้ำยาง จึงไม่ควรนำมาใช้ ต้นที่แก่จัด ลำต้นจะมีแก่นแข็งข้างใน เมื่ออายุประมาณ ๑๐ ปีขึ้นไป ต้นจะตายลง แต่แก่นแข็งๆ ยังอยู่ มี ลักษณะเหมือนไม้แห้งๆ สีน้ำตาล มีกลิ่นหอม และรสขม เรียกว่า กะลำพัก ใช้ทำยาแก้ไข้ได้ดี

ไข่เน่า (Vitex glabrata R. Br.)
ดอกไข่เน่า


            ไข่เน่าเป็นไม้ต้นในวงศ์เดียวกับสักและผกากรอง มีชื่ออื่นที่เรียกกันคือ คมขวาน และผรั่งโคก พบในป่าเบญจพรรณทั่วไป ขนาดต้น สูง ๑๕ - ๒๐ เมตร มีใบประกอบแบบฝ่ามือ ขนิด ๕ ใบย่อย สีเขียวเข้ม ดอกสีม่วงอ่อน เป็นช่อตรงซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลรูปไข่ ยาว ๒ - ๓ ซม. เมื่อสุกมีสีม่วงดำ เนื้อนุ่ม สันนิษฐาน ว่า ชื่อไข่เน่าคงจะมาจากลักษณะและสีของผล นั่นเอง ผลสุกรับประทานได้ แต่รสหวานเอียน ไม่อร่อย ถ้าไส่เกลือป่นหรือจิ้มเกลือจะมีรสชาติ ดีขึ้น ไข่เน่าขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด

            เนื้อไม้ของไข่เน่าแข็ง ใช้ทำเครื่องเรือน และของใช้ต่างๆ เปลือกต้น ซึ่งมีรสฝาด ใช้แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ไข ขับพยาธิในเด็ก รากใช้แก้ท้องเสีย และเป็นยาเจริญอาหาร

ชิงช้าชาลี (Tinospora cordifolia Miers)