ในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้พัฒนาก้าวหน้า และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจในด้านพันธุกรรมได้ก้าวล้ำหน้าไปอย่างมาก จนนำไปสู่ “การปฏิวัติทางพันธุกรรม (genetic revolution)” ดังจะเห็นได้จากข่าวความสำเร็จในวงการวิจัยทางชีววิทยา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสายพันธุ์ข้าวทอง ที่เสริมคุณค่าทางโภชนาการให้แก่ชาวโลก ที่ยากจน หรือการสร้างลิงกะพรุน ที่เกิดจากการนำยีนของแมงกะพรุนซึ่งเป็นสัตว์ทะเล มาตัดต่อกับยีนของลิงซึ่งเป็นสัตว์ที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด
ความสำเร็จต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลมาจากการวิจัย และพัฒนาความรู้พื้นฐานทางด้านพันธุศาสตร์ เริ่มจากการค้นพบหน่วยพันธุกรรมหรือยีน (gene) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมลักษณะกรรมพันธุ์ต่างๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต และมีสมบัติถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หน่วยพันธุกรรมดังกล่าวจะอยู่เป็นคู่ๆ มากมายหลายคู่ด้วยกัน แต่ละคู่ควบคุมลักษณะกรรมพันธุ์ในแต่ละอย่างที่มีความแตกต่างตรงข้ามกัน เช่น ลักษณะความสูงหรือเตี้ยในพืช ตาสีฟ้า หรือตาสีน้ำตาลในคน เป็นต้น หน่วยพันธุกรรมจำนวนมากมาย และหลากหลายรูปแบบ จะอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า โครโมโซม (chromosome) และเรียกยีนทั้งหมดที่อยู่ในโครโมโซมต่างๆ รวมกันว่า จีโนม (genome)
การศึกษาวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์มาถึงจุดสำคัญ เมื่อมีการค้นพบโครงสร้างโมเลกุลของดีเอ็นเอ (DNA = deoxyribonucleic acid) ซึ่งก็คือ ยีนนั่นเอง การค้นพบดังกล่าว นอกจากทำให้มนุษย์สามารถทราบขั้นตอน และกระบวนการทำงานของสิ่งมีชีวิตในการควบคุม และถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแล้ว ยังเปิดทางให้มีการศึกษาวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ในระดับโมเลกุล เรียกว่า การศึกษาด้านอณูพันธุศาสตร์ หรือพันธุศาสตร์เชิงโมเลกุล (molecular genetics) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาวิจัยพันธุศาสตร์แขนงใหม่ๆ จำนวนมาก
ความสำเร็จทางด้านอณูพันธุศาสตร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถโยกย้ายถ่ายโอนหน่วยพันธุกรรม เพื่อตัดแต่งดัดแปลงองค์ประกอบทางพันธุกรรม หรือจีโนมของสิ่งมีชีวิต ทั้งภายในสายพันธุ์เดียวกัน และข้ามสายพันธุ์ได้ หรือแม้กระทั่งระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน ซึ่งส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จ ในการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms) ที่เรียกโดยย่อว่า GMOs ที่คาดว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ทางด้านการแพทย์ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติได้ เช่น การสร้างสายพันธุ์ ข้าวทอง โดยการถ่ายโอน ยีนควบคุมการสร้างสารบีตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตัวสำคัญ ในการสังเคราะห์วิตามินเอ ให้เข้าไปอยู่ในข้าว เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวิตามินเอในอาหารจากธัญพืช หรือความสำเร็จในการถ่ายโอนยีนจากแมงกะพรุน มาใส่ไว้ในเซลล์ของลิงรีซัส (Rhesus monkey) เพื่อปูทางไปสู่การตัดแต่งดัดแปลงพันธุกรรมในมนุษย์ สำหรับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บยุคใหม่ที่เรียกว่า พันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
ดีเอ็นเอ
การสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อใช้ประโยชน์ในทางเกษตรกรรมได้ดำเนินการกันอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างที่รู้จักกันดี ได้แก่ การถ่ายโอนยีนที่ควบคุมการสร้างสารพิษต่อแมลงศัตรูพืช ซึ่งได้มาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ให้เข้าไปอยู่ในจีโนมของพืชบางชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด มะเขือเทศ ถั่วเหลือง ฝ้าย เป็นต้น เมื่อแมลงศัตรูพืชกัดกินพืชดัดแปลงพันธุกรรมเหล่านี้ ก็จะรับเอาสารพิษดังกล่าวเข้าไป และถูกทำลายในที่สุด
นักพัฒนา และนักเทคโนโลยีชีวภาพคาดหวังไว้ว่า การพัฒนาสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของชาวโลกให้ดีขึ้น และอาจนำพามนุษยชาติไปสู่โลกใหม่ ที่สามารถใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เอาชนะกฎเกณฑ์ธรรมชาติได้ แต่แล้วความคาดหวังดังกล่าว ก็ต้องสะดุดหยุดลง เมื่อมีรายงานผลการวิจัยออกมาว่า ผลิตภัณฑ์อาหารจากมันฝรั่งดัดแปลงพันธุกรรม มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพของหนูทดลอง
ทำให้นักวิชาการหลายกลุ่มเกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการบริโภค และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยพืชดัดแปลงพันธุกรรม จนกลายเป็นข้อถกเถียงกันโดยทั่วๆ ไป ระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย