เด็กหญิงมี "รังไข่" และ "มดลูก" ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด อวัยวะทั้งสองเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน เพราะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ และอยู่ภายในร่างกาย ทั้งรังไข่ และมดลูกจะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อ เด็กหญิงมีอายุย่างเข้าสู่วัยสาว คือ ประมาณ ๑๑-๑๔ ปี
รังไข่มีขนาดเล็ก มีอยู่สองอันอยู่แยกกัน แต่ละอันอยู่ใกล้ "ปากท่อนำไข่""เอสโตรเจน" รังไข่ทำหน้าที่ผลิตไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งเรียกว่า (estrogen) ฮอร์โมนนี้ควบคุมการเกิดลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง เมื่อมีอายุเข้าสู่วัยสาว เช่น มีเสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย หน้าอก และอวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น มีขนขึ้นตามรักแร้ และอวัยวะเพศ มดลูกมีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น และมีประจำเดือน เป็นต้น
มดลูกมีอยู่อันเดียว ภายในเป็นโพรง ตอนบนกว้าง และติดต่อกับท่อนำไข่ ตอนกลางแคบ ตอนล่างติดต่อกับ "ช่องคลอด" ส่วนของมดลูก ซึ่งติดต่อกับช่องคลอด เรียกว่า "ปากมดลูก" มดลูกเป็นที่อาศัยของทารก ขณะอยู่ในท้องแม่
ภายในรังไข่แต่ละข้างมีไข่อ่อน ซึ่งยังไม่เจริญเต็มที่อยู่มากมาย ไข่อ่อน แต่ละใบมี "ถุงไข่" (ฟอลลิเคิล) หุ้มไว้ โดยปกติ รังไข่ผลิตไข่สลับข้างกัน และผลิตเดือนละครั้ง ครั้งละหนึ่งใบ ในการผลิตไข่แต่ละครั้ง จะมีถุงไข่เจริญเติบโตขึ้นมาหลายถุง แต่จะมีเพียงถุงเดียวเท่านั้นที่ไข่อ่อนเจริญเต็มที่ ส่วนใหญ่จะฝ่อไป เมื่อไข่อ่อนเจริญเต็มที่จะหลุดจากรังไข่ลงสู่ช่องท้อง เรียกว่า "ตกไข่" ขณะที่ถุงไข่กำลังเจริญเติบโตจะมีการสร้างเอสโตเจนไปกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นด้วย เมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้ว ซากถุงไข่ ซึ่งยังคงเหลืออยู่ในรังไข่จะสร้างฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า "โปรเจสเตอโรน" (progesterone) ฮอร์โมนนี้จะทำให้เยื่อบุภายในโพรงมดลูก ซึ่งหนาตัวขึ้นนั้น เตรียมพร้อมที่จะรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมพันธุ์แล้ว
หลังจากหลุดจากรังไข่ตกลงสู่ช่องท้องแล้ว ไข่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ท่อนำไข่ ลงสู่โพรงมดลูกตามลำดับ ขณะที่อยู่ในท่อนำไข่ ถ้ามีการผสมพันธุ์ หรือ "การปฏิสนธิ" เกิดขึ้นระหว่างไข่กับ "อสุจิ" หรือ "สเปิร์ม" (sperm) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของเพศชาย ไข่ที่ผสมพันธุ์แล้ว จะเคลื่อนที่ลงไปฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อน และทารกต่อไปตามลำดับ ถ้าไม่มีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น ไข่จะฝ่อและสลายตัว แล้วเยื่อบุโพรงมดลูกจะเสื่อม และลอกหลุดจากผนังโพรงมดลูก พร้อมทั้งมีเลือดไหลปนออกมาทางช่องคลอด เรียกว่า "ประจำเดือน" หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรกแล้ว ก็จะมีครั้งต่อไปอีกทุกเดือน เดือนละครั้งจนอายุประมาณ ๔๕-๕๐ ปี จึงจะหยุดมีประจำเดือน โดยทั่วไป ระยะเวลาของการมีประจำเดือนแต่ละครั้ง ประมาณ ๓-๕ วัน และปริมาณของเลือดที่ไหลออกมาประมาณ ๕๐-๗๐ มิลลิเมตร ต่อครั้ง เราเรียก "วัยมีประจำเดือน" ได้อีกชื่อหนึ่งว่า "วัยเจริญพันธุ์" เพราะเป็นวัยที่หญิงสามารถมีลูกได้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการตกไข่เกิดขึ้นเฉพาะในวัยนี้เท่านั้น แต่ในวัยหมดประจำเดือนจะไม่มีการตกไข่ หญิงในวัยหมดประจำเดือน จึงหมดความสามารถที่จะมีลูกได้อีกต่อไป
การมีประจำเดือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบว่า เด็กหญิงนั้นได้เจริญเต็มที่พร้อมที่จะมีลูกได้ โดยปกติการตกไข่ และการมีประจำเดือนนั้น เกิดขึ้นทุกเดือน ระยะเวลาระหว่างวันแรกของประจำเดือนครั้งหนึ่ง กับวันแรกของประจำเดือนครั้งต่อไป เรียกว่า "รอบเดือน" หรือ "รอบประจำเดือน" โดยทั่วไป "รอบเดือน" กินเวลาประมาณ ๒๘ วัน ก่อนมีประจำเดือน หรือระหว่างมีประจำเดือน อาจมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ เมื่อยล้า หงุดหงิด ปวดท้อง ฯลฯ อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้น โดยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ประจำเดือนมาเร็วหรือช้าเกินไป มีนานกว่าปกติ หรือมากกว่าปกติ ขาดประจำเดือน หรือไม่มีประจำเดือนเลย ฯลฯ เหล่านี้ควรไปให้แพทย์ตรวจดูว่า ความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร จะได้ให้การรักษาได้อย่างถูกต้อง
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการขาดประจำเดือนคือ "การตั้งครรภ์" ในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากประจำเดือนขาดหายไป และไม่มีการตกไข่เกิดขึ้นแล้ว ร่างกายของแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมไว้เลี้ยงทารก มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ท้องใหญ่ขึ้น ฯลฯ และอาจมีการแพ้ท้อง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะเกิดขึ้นได้
ในระยะหนึ่งของการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์นั้น จะมีอวัยวะสำคัญเกิดขึ้น ๓ ชนิด คือ ถุงน้ำคร่ำ รก และสายสะดือ "ถุงน้ำคร่ำ" เป็นเยื่อบางๆ หุ้มทารกไว้โดยรอบ ภายในถุงมีของเหลว เรียกว่า "น้ำคร่ำ" บรรจุอยู่ ถุงน้ำคร่ำทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้ทารกในท้องได้รับความกระเทือน "รก" เป็นอวัยวะที่อยู่ระหว่างผนังโพรงมดลูกของแม่ กับสายสะดือของทารก รกทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร อากาศ และของเสียระหว่างแม่กับทารก ส่วนสายสะดือทำหน้าที่สื่อสารดังกล่าว เนื่องจาก เส้นเลือดของแม่และทารก ไม่ได้เชื่อมติดกันโดยตรง ดังนั้น เลือดของแม่และทารกจึงไม่ปนกัน อาหารและออกซิเจน จะแพร่ออกจากเลือดของแม่ ผ่านรกเข้าสู่เลือดของทารก ส่วนของเสียจะแพร่ออกจากเลือดของทารก ผ่านรกเข้าสู่เลือดของแม่ เพื่อให้ร่างกายแม่ขับออกสู่ภายนอก
การทำคลอดแบบใหม่
โดยปกติระยะเวลาของการตั้งครรภ์ประมาณ ๒๘๐ วัน หรือ ๔๐ สัปดาห์ นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป เมื่อท้องครบกำหนดแม่จะเจ็บท้อง กล้ามเนื้อมดลูกจะบีบตัว ทำให้ทารกเคลื่อนที่ต่ำลงไป โดยหันศีรษะลงสู่ช่องคลอด ปากมดลูกจะเริ่มเปิด และเปิดมากขึ้นตามลำดับ เมื่อปากมดลูกเปิดเต็มที่ ถุงน้ำคร่ำจะแตกออก ทารกจะเคลื่อนตัวผ่านออกมาทางช่องคลอด ส่วนรกจะหลุดตามออกมาหลังคลอดแล้ว
การคลอดตามขั้นตอนดังกล่าว เป็นการคลอดตามธรรมชาติ จัดได้ว่า เป็นการคลอดปกติ ส่วนการคลอดที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอด หรือต้องผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้องของแม่นั้น เป็นการคลอดผิดปกติ สาเหตุสำคัญที่ทำให้คลอดผิดปกติมีหลายประการ เช่น ทารกมีขนาดใหญ่เกินไป หรือไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของช่องเชิงกรานของแม่ ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ รกเกาะต่ำ เป็นต้น
การทำคลอดแบบเก่า
สมัยก่อนคนไทยนิยมคลอดตามบ้าน โดยมี "หมอตำแย" เป็นผู้ทำคลอด แต่ปัจจุบันนิยมคลอดที่โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล เพราะปลอดภัยกว่า เนื่องจากโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลมีอุปกรณ์สำหรับคลอดพร้อมและทันสมัย สะอาด ปราศจากเชื้อโรค มีแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์เป็นผู้ทำคลอด สามารถให้การดูแลทั้งแม่และทารกให้ปลอดภัย และปราศจากภาวะแทรกซ้อนได้ เพราะทั้งแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์ต่างก็ได้รับการศึกษา และผ่านการฝึกฝนในเรื่องทำคลอดมาแล้วเป็นอย่างดี
ในบรรดาวิชาต่างๆ ที่มีอยู่ในหลักสูตรแพทย์และพยาบาลนั้น มีวิชาที่ว่าด้วยระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงอยู่ ๒ วิชา คือ "สูติศาสตร์" และ "นรีเวชวิทยา" คำว่า "สูติ" แปลว่าเกิด "ศาสตร์" แปลว่าวิชา ดังนั้น "สูติศาสตร์" จึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยการเกิด ซึ่งหมายรวมทั้งการตั้งครรภ์ปกติ และไม่ปกติ การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ การคลอด และการดูแลหลังคลอด แพทย์ซึ่งมีหน้าที่ทำคลอด เรียกว่า "สูติแพทย์" ส่วนพยาบาลซึ่งได้รับการอบรมจนสามารถทำคลอดได้เรียกว่า "พยาบาลผดุงครรภ์"
ส่วนคำว่า "นรี" แปลว่าหญิง "เวช" แปลว่านายแพทย์ "วิทยา" แปลว่าความรู้ดังนั้น "นรีเวชวิทยา" จึงหมายถึง ความรู้ทางแพทย์ ที่ว่าด้วยเรื่องของหญิง เป็นความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติ และโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ในระบบสืบพันธุ์ของหญิง เช่น เนื้องอก มะเร็ง การอักเสบ และการติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น