เล่มที่ 2
เวลา
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
ปฏิทิน
  
            เป็นเครื่องช่วยนับวัน และจัดระเบียบหน่วยเวลาหน่วยเหล่านี้ โดยทั่วไปมาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่เสมอในธรรมชาติ


            ภาพลายเส้นแผ่นหินสลักแสดงปฏิทินของชนเผ่าแอซเท็ก (Aztec) ในทวีปอเมริกาเหนือ ที่ขอบวงเป็นตัวเลขในระบบนับเต็มยี่สิบแทนระบบ นับเต็มสิบ แผ่นหินนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี เมืองเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก

            วัน มาจากการหมุนของโลกรอบแกน ใน ๒๔ชั่วโมง เดือน มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลก สัปดาห์ อาจมาจากดวงจันทร์ แต่ ปี มาจากการเคลื่อนที่ของโลกไปรอบดวงอาทิตย์ การวัดเวลานานของรอบต่างๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่การจัดระเบียบให้มีระบบวัดเวลา เป็นเรื่องต้องใช้ความคิดกันมาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในเวลานี้ เราก็ยังไม่มีปฏิทินที่แม่นยำแท้ทีเดียว ปฏิทินที่เรามีใช้อยู่เวลานี้ เป็นแต่เพียงดีพอสำหรับความต้องการของเรา

            ได้มีการแก้ไขปฏิทินกันหลายครั้ง เป็นเพราะรอบดาราศาสตร์ ซึ่งใช้กำหนดวัน เดือน ปี ไม่ได้ จังหวะลงตัว ปี นับจากการที่โลกเคลื่อนที่ไปรอบดวง อาทิตย์หนึ่งรอบนานประมาณ ๓๖๕ ๑/๔ วัน เดือน นับจากเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปรอบโลกหนึ่งรอบ นานประมาณ ๒๙ ๑/๒ วันเศษ ดังนั้นปีหนึ่งจึงไม่เท่ากับ ๑๒ เดือน ซึ่งแบ่งไว้ให้เท่าๆ กัน แต่ไปเท่ากับประมาณ ๑๒ ๑/๓ เดือนต่อมาไม่นาน เดือนที่นับจากดวงจันทร์ และปีที่นับจากดวงอาทิตย์ ก็มีการเหลื่อมล้ำกัน ปฏิทินซึ่งให้เดือนหนึ่งเท่ากับ ๓๐ วัน จึงต้องมีการ แก้เป็นครั้งคราว เปรียบได้กับมีรถ ๒ คัน คันหนึ่ง เป็นรถวิ่งช้า อีกคันหนึ่งเป็นรถวิ่งเร็ว วิ่งไปตาม ทางกลมทั้ง ๒ คัน รถช้าจะทำเวลาได้หนึ่งรอบ (หนึ่ง ปี) รถเร็วจะไปได้ ๑๒.๓๗ รอบ (เดือนของดวงจันทร์) รถเร็วจะผ่านรถช้าที่จุดต่างๆ ที่รอบทางนั้น เมื่อ รถช้าแล่นไปได้ ๑๙ รอบ รถเร็วจะผ่านรถช้าเกือบ จะเป็นจุดเดียวกัน เมื่อเวลาเริ่มออกรถพร้อมๆ กัน แล้วรอบของการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ ก็จะตั้งต้นใหม่

            ในสมัยบาบิโลเนีย (Babylonia) ประมาณ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวบาบิลอน (Babylonian) ได้ประดิษฐ์ปฏิทิน อาศัยหลักคาบ เวลาระหว่างดวงจันทร์ วันเพ็ญ เฉลี่ยนาน ๒๙ ๑/๒ วัน และแบ่งปีออกเป็น ๑๒ เดือน ทางจันทรคตินานรวม ๓๕๔ วัน ซึ่งสั้นกว่าสุริยคติประมาณ ๑๑ วัน ต่อมาอีกไม่นาน พิธี ซึ่งเขากำหนดไว้ เช่น พิธีที่เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวข้าว ก็ตกในฤดูที่ไม่ตรง พระจึงได้แก้ไขปฏิทินโดยเพิ่ม จำนวนวันหรือเดือนขึ้นให้ตรงกับวงรอบทางดารา ศาสตร์ เพื่อให้ตรงกับธรรมชาติ ขั้นแรกเพิ่มจำนวน เดือนขึ้น ตามแต่พระจะเห็นชอบแล้วภายหลังเพิ่ม ๗ เดือน แบ่งกระจายในคาบ ๑๙ ปี เพื่อให้เดือน และปีได้ครบรอบธรรมชาติ

            หน่วยเวลาตามสุริยคติซึ่งนับเป็นวัน แบ่งย่อยออกเป็นชั่วโมง และวินาที วัดความนานของเวลาเป็นวันๆ สำหรับเวลานานกว่าวัน ย่อมต้องมีการเกี่ยวข้องกับฤดูกาล เมื่อฤดูกาลกำหนดโดยตำแหน่งแกนโลกนับเนื่องจากดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ก็กำหนดตำแหน่งที่ของจักรราศีเมษ (vernal equinox) หน่วยเวลานานที่ใช้จึงเป็นปี ซึ่งเป็นอันตรภาคเวลาระหว่าง เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ถึงจุดตั้งต้นจักรราศีเมษได้บรรจบครบรอบ ปีชนิดนี้นาน ๓๖๕.๒๔๑๙ วัน เวลาสุริยคติปานกลาง ยังมีเศษทศนิยมต่อไปอีกมากมายหลายตัว กำหนดค่าเป็นจำนวนเลขลงตัวพอดีไม่ได้ เป็นเหตุให้การวัดหน่วยเวลา ยุ่งยากกว่าการวัดอื่นๆ เช่น ระยะยาว น้ำหนัก หรือค่า ของหน่วยใหญ่ๆ ซึ่งนิยามกำหนดไว้แน่นอนว่ามี จำนวนเล็กกว่าเท่าใด เช่น ๑ ฟุตมี ๑๒ นิ้ว และ ๑ บาท มี ๑๐๐ สตางค์


จูเลียส ซีซาร์

            เวลาสุริยคติปานกลาง เป็นเวลากำหนดจากดวงอาทิตย์สมมุติขึ้น ให้เคลื่อนที่ไปตามเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าด้วยความเร็วเชิงมุม ซึ่งกำหนดให้เท่ากับที่ ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนที่ไปตามสุริยวิถี (ecliptic) ถึงรอบที่ราศีเมษพร้อมกัน ปฏิทินที่ใช้กันในประเทศ ที่นับถือคริสต์ศาสนา มีชื่อว่า ปฏิทินเกรกอเรียน ได้ชื่อจาก สันตะปาปาเกรกอรีที่ ๑๓ (Gregory XIII) เป็นปฏิทินทางการของนิกายโรมันคาทอลิก ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๕๘๒ ปฏิทินนี้ใช้แทนปฏิทินจูเลียน (Julian calendar) ซึ่งจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้นำมาใช้ที่กรุงโรมเป็นครั้งแรก

            ในสมัยแรกๆ ของกรุงโรม ชาวโรมันใช้ปฏิทินนับเนื่องจากดวงจันทร์ ปีหนึ่งมี ๑๐ เดือน ใช้เพิ่มวันขึ้นตามความเหมาะสม ให้ตรงกับฤดูกาลเป็นครั้งคราว ถึงแม้ว่าในศตวรรษที่ ๘ ก่อนคริสต์ศักราช ได้เปลี่ยนให้ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ชื่อเดือน ๔ เดือนสุดท้ายยังคงใช้กันต่อมาจนบัดนี้คือ กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ซึ่งมีความหมายในภาษาละตินเป็นเดือนที่ ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ ตามลำดับ


สันตะปาปาเกรกอรีที่ ๑๓ เป็นประธานการประชุมปฏิรูปปฏิทิน ที่กรุงโรม
นักปราชญ์ผู้หนึ่งกำลังอธิบาย ชี้จักรราศีเกี่ยวเนื่องกับเดือน
[จากภาพเขียนเมื่อคริศต์ศตวรรษที่ ๑๖ ของหอสมุดแห่งชาติเซียนา(Siena-Bibliothique Nationale)]

            ต่อมาในสมัยจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งเป็นนักการเมือง นักประวัติศาสตร์ และแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีอำนาจ ปรากฏว่า ปฏิทินโรมันอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง คลาดเคลื่อนกับฤดูกาลกว่าสองเดือน โดยการแนะนำ ของนักดาราศาสตร์กรีก-อียิปต์ ชื่อ โซซิเจเนส (So- sigenes) จูเลียส ซีซาร์จึงได้สั่งเปลี่ยนแปลงปฏิทิน ให้ปีที่ ๔๖ ก่อนคริสต์ศักราชมี ๔๔๕ วัน และเพิ่ม วัน ๒๓ วัน ที่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ และเพิ่มวัน ๖๗ วันระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จึงนับเป็น ปีที่มีความสับสน นอกจากนี้ จูเลียส ซีซาร์ ยังสั่งให้ เพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์ทุกสี่ปีให้เป็นปีที่ ๓๖๖ วัน ซึ่งเราเรียกกันว่า ปีอธิกสุรทิน ทั้งนี้เพื่อให้คงสภาพ ตามฤดูกาลไปได้นาน การเปลี่ยนตามเกณฑ์จะ เหมาะสมดี ถ้าปีตามศัพท์นิยามมี ๓๖๔.๒๕ วัน ซึ่งใน ๔ ปีจะเพิ่มขึ้นเป็น ๑ วันพอดี แต่ตามความ เป็นจริงปีหนึ่งนานน้อยกว่า ๓๖๕.๒๕ เกือบ .๐๐๘ ของวัน ดังนั้นในหนึ่งพันปี ปฏิทินจูเลียนจะคลาดเคลื่อนไปเกือบ ๘ วัน

            ใน ค.ศ. ๑๕๘๒ ความคลาดเคลื่อนได้สะสมมากขึ้นเป็น ๑๓ วัน ภายหลังได้มีการประชุมปรึกษาเป็นเวลานานในหมู่นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์มีชื่อหลายคน สันตะปาปาเกรกอรีได้ สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงการคิดเวลาปฏิทินใหม่ ให้นับ เวลาจุดตั้งต้นจักรราศีเมษเหมือนใน ค.ศ. ๓๒๕ แต่ ไม่ให้เปลี่ยนปฏิทินกลับไปถึงสมัยของจูเลียส ซีซาร์ ๔๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช ดังนั้นจึงต้องตัดวันนับตาม ปฏิทินและกำหนดไม่ให้ปีศตวรรษซึ่งหารด้วย ๔๐๐ ไม่ได้ลงตัวเป็นปีอธิกสุรทิน เช่น ค.ศ.๒๐๐๐ เป็น ปีอธิกสุรทิน แต่ปี ๑๗๐๐, ๑๘๐๐ และ ๑๙๐๐ ไม่เป็น อธิกสุรทินใน ๔๐๐ ปี ปฏิทินจูเลียนมีปีอธิกสุรทิน ๑๐๐ ปี แต่ปฏิทินเกรกอเรียนมีปีอธิกสุรทินเพียง ๙๗ ปี ความคลาดเคลื่อนในปฏิทินเกรกอเรียนจะมีเพียง ภายใน ๑ วันใน ๓,๓๒๓ ปี

            การเปลี่ยนแปลงไปใช้ปฏิทินเกรกอเรียน คงใช้กันในที่ซึ่งสันตะปาปามีอำนาจ ยังไม่ได้ใช้ที่อื่นทั่วไปพร้อมกัน อังกฤษ และอาณานิคม เริ่มใช้ในค.ศ. ๑๗๕๒ รุสเซีย กรีซ และประเทศอื่นๆ ซึ่งถือนิกาย ออร์ทอดอกซ์ (orthodox) ยังคงใช้ปฏิทินจูเลียนจนถึง ค.ศ. ๑๙๒๓ และเขาใช้ระบบคำนวณปีอธิกสุรทิน ซึ่งแม่นยำดีกว่าที่ใช้ในปฏิทินเกรกอเรียน กล่าวคือ จะเป็นปีอธิกสุรทินก็ต่อเมื่อปีศตวรรษหารด้วย ๙ ได้เศษ ๒ หรือ ๖ เท่านั้น เฉลี่ยความนานของปีตามระบบนี้ ได้ค่าเฉลี่ยแล้ว ใกล้เคียงกับความนานของปี ภายใน ๓ วินาที ส่วนปีตามปฏิทินเกรกอเรียน เฉลี่ยแล้วมีความคลาดเคลื่อนประมาณ ๒๔ วินาที ปฏิทินระบบนิกายออร์ทอดอกซ์กับของเกรกอเรียน จะลงรอยกัน จนถึง ค.ศ. ๒๘๐๐ เวลานั้นจะมีความ ต่างกัน ๑ วัน ปีเกรกอเรียนเป็นปีอธิกสุรทิน แต่ปีในระบบของออร์ทอดอกซ์เป็นปีธรรมดา

            ในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ถือคริสต์ศาสนา ต่างก็มีปฏิทินของเขา เช่นปฏิทินของยิว และโมฮัมเมดาน (Mohammedan) ใช้หลักจากเดือนจันทรคติ และนับปีจากวันสำคัญทางประวัติศาสตร์

            สำหรับประเทศไทย นับทางจันทรคติ ตั้งต้นปีใหม่ ที่เดือนห้า ขึ้นหนึ่งค่ำ และเรียงลำดับเดือนต่อไป เป็นเดือนหก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบเอ็ด สิบสอง แล้วติดตามด้วยเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม และ เดือนสี่ และในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้บัญญัติให้ใช้เดือน ทางสุริยคติตามแบบสากล จึงได้ใช้ชื่อทั้งสิบสอง ราศีมาตั้ง เช่น เมษายน หมายความว่า ดวงอาทิตย์ ได้มาอยู่ในราศีเมษ (มีรูปดาวนักษัตรประจำราศี เป็นรูปแกะ) และพฤษภาคม ดวงอาทิตย์ได้มาอยู่ ในราศีพฤษภ (รูปโค) เป็นต้น ลำดับต่อไปตาม นักษัตรประจำราศี ปีใหม่ตั้งต้นเดือนเมษายน

ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ทางราชการได้เปลี่ยนให้ใช้ปีใหม่ตั้งต้นด้วยเดือนมกราคม

เดือนและวันในสัปดาห์

            ปฏิทินจูเลียนและปฏิทินเกรกอเรียน มีความผิดที่สำคัญมากอยู่สองประการคือ ความยาวของเดือน และระเบียบการตั้งชื่อไม่สมเหตุผล ความผิดนี้สืบมา จากจูเลียส ซีซาร์ ที่สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงปฏิทิน โรมัน โดยได้เปลี่ยนแปลงการตั้งต้นปีจากเดือนมีนาคม มาเป็นเดือนมกราคม และสร้างระบบง่ายๆ ให้เดือน เลขคี่มี ๓๑ วัน และเดือนเลขคู่มี ๓๐ วัน เว้นแต่ เดือนที่สอง ซึ่งต้องมี ๓๐ วัน ในปีอธิกสุรทินเท่านั้น ส่วนปีอื่นให้มี ๒๙ วัน นอกจากนี้จูเลียส ซีซาร์ ยังทำให้เกิดความสับสนในเรื่องชื่อเดือน โดยใช้ชื่อ เดือนกรกฎาคม (Quintilis) ตามตัวเขา ชื่อเดือนนี้ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า July และให้คงใช้ชื่อเดือน กันยายน ซึ่งมีความหมายเป็นเดือนที่เจ็ด (Sextilis) เป็นเดือนที่เก้า

            เมื่อออกัสตัส ซีซาร์ (Augustus Caesar) ได้เป็นผู้ครองกรุงโรมสืบต่อจากจูเลียส ซีซาร์ ได้เปลี่ยนใช้ชื่อเดือนที่เจ็ดตามชื่อของตน เรียกว่า เดือนสิงหาคม ให้มีจำนวนวันเท่ากับเดือนกรกฎาคมของจูเลียส ต้องหักอีกวันหนึ่งออกจากเดือนกุมภาพันธ์

            กำเนิดของสัปดาห์ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่ชื่อของวัน ๗ วันใน ๑ สัปดาห์นั้น มีกำเนิดทางดาราศาสตร์แน่นอน

            นักดาราศาสตร์โบราณได้ใช้ชื่อชั่วโมงของวัน ตามดาวพระเคราะห์ ๗ ดวง ซึ่งเขาเห็นเคลื่อนที่ไป ตามจักรราศี ลำดับตามระยะห่างจากโลก ตามที่ เขาคิดในครั้งนั้นคือ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ดาวอังคาร ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์ ดาวพุธ และดวงจันทร์ แล้ว เขาให้ชื่อวันที่ตรงกับชั่วโมงที่หนึ่ง แต่เมื่อมีชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงที่จะใช้ตั้งชื่อ ๗ ชื่อ เขาจึงใช้ชื่อทั้ง ๗ นั้นไปครบ ๓ รอบ คงเหลืออีก ๓ วันนับต่อไปตาม ลำดับครบ ๒๔ ชั่วโมง แล้วถึงชั่วโมงที่ ๒๕ จะเป็น ชื่อวันถัดไป ในที่นี้ตกเป็นวันอาทิตย์ นับลำดับ ต่อไปโดยทำนองเดียวกัน คงได้ชื่อวันลำดับเป็น วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์