ลักษณะผ้าไทยแต่ละประเภท
ผ้ากาสา
เป็นผ้าดิบเนื้อหยาบ ไม่ได้ย้อมฝาด มีสีหม่นไม่ขาวทีเดียว คำว่า กาสา (Kassar) เป็นคำ มลายู แปลว่า หยาบ
ผ้ากรองทอง
ผ้ากรองทอง
เป็นผ้าที่ถักด้วยแล่งเงิน หรือแล่งทอง ถักให้เป็นลวดลายต่อกันเป็นผืน ส่วนมากนำมาทำเป็นผ้าสไบ ใช้ห่มทับลงบนผ้าแถบ และผ้าสไบอีกทีหนึ่ง มักใช้แต่เฉพาะเจ้านายผู้หญิงชั้นสูง มีขนาดกว้างยาวเท่ากับผ้าสใบ ชายผ้าด้านกว้างปล่อยเป็นชายครุย
เมื่อต้องการให้ผ้ากรองทองมีความงดงามเพิ่มมากขึ้น นิยมนำปีกแมลงทับมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนรูปใบไม้ และปักลงไปบนผ้ากรองทอง ในตำแหน่งที่คิดว่า จะสมมุติเป็นลายใบไม้
ผ้าเกี้ยว
ผ้าคาดเอว มีทั้งผ้าลายพิมพ์ ผ้าไหม ฯลฯ
ผ้า ขาวม้า
เดิมเรียก ผ้ากำม้า เป็นผ้าประจำตัวของผู้ชาย ใช้เป็นทั้งผ้านุ่ง ผ้าเช็ดตัว ผ้าเคียนพุง และผ้าพาดไหล่ เป็นผ้าฝ้ายผืนยาวทอเป็นลายตาตาราง
ผ้าเขียนทอง
ผ้าพิมพ์ลายอย่างดี เน้นลวดลาย เพิ่มความสวยงาม ด้วยการเขียนเส้นทองตามขอบลาย ผ้านี้เกิดขึ้นครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ ๑ และใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์ลงมาถึงชั้นพระองค์เจ้าโดยกำเนิดเท่า นั้น
ผ้า ตาโถง
ผ้าลายตาสี่เหลี่ยม หรือลายตาทแยงใช้เป็นผ้านุ่งของผู้ชายคล้ายผ้าโสร่ง
ผ้าตาโถง
ผ้า ตามะกล่ำ ผ้าตาเล็ดงา ผ้าตาสมุก
ผ้าฝ้าย สีคล้ำมีลายเล็กๆ ใช้เป็นผ้านุ่ง
ผ้าบัวปอก
ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ชาวบ้านใช้ โดยเฉพาะผู้หญิงใช้เป็นผ้านุ่ง
ผ้าปักไหม
เป็นผ้าที่ใช้กันในบรรดาเจ้านายชั้นสูง มีทั้งผ้านุ่ง ผ้าห่ม ซึ่งใช้ห่มทับสไบ ผ้าปูลาด และผ้าห่อเครื่องทรง ส่วนมากใช้ผ้าไหมพื้นเนื้อดี ปักลวดลายด้วยไหมสีต่างๆ ทั้งผืน การปักไหมนี้ ถ้าใช้ไหมสีทองมากก็เรียกว่า ผ้าปักไหมทอง
ผ้าปูม (มัดหมี่)
ผ้าปูม หรือปัจจุบันทราบกันในชื่อมัดหมี่ ในประเทศไทยมีผลิตมาก ทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนล่างแทบทุกจังหวัด
ผ้าปูมนี้เดิมเป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเมืองเขมร ที่ใช้พระราชทานเป็นเครื่องยศขุนนางเดิมไทยเรามีโรงไหมของหลวงทอผ้า สมปักปูม และสมปักเชิงกรวยพระราชทาน ทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นลายสีต่างๆ ใช้ตามยศตามเหล่ามีสมปักปูมเป็นชนิดสูงสุด สมปักริ้วเป็นชนิดต่ำสุด ดังนั้นผ้าปูมคงหมายถึง เฉพาะผ้าสมปักปูมนั่นเอง อันเป็นของหายากมาก
ลักษณะการทอ และรูปแบบของผ้ามัดหมี่นี้พบว่า เป็นเทคนิคที่มีอยู่ทั่วโลกในประเทศที่มีอารยธรรมโบราณ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในทวีปเอเชีย ทั้งจีน อินเดีย อินโดนิเซีย หรือในทวีปยุโรป และแอฟริกาด้วยซึ่งจัดเป็นเทคนิคที่มีต้นกำเนิดที่น่าสนใจยิ่ง
ผ้าปูม เดิมเป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเขมรที่ใช้พระราชทาน เป็นเครื่องยศขุนนาง
ผ้าปูม เดิมเป็นผ้าส่วยของหลวงมาจากเขมรที่ใช้พระราชทาน เป็นเครื่องยศขุนนาง
ผ้า เปลือกไม้
เป็นผ้าที่ทอจากใย ที่ทำจากเปลือกไม้ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และเข้าใจว่า คงจะทอใช้เรื่อยมาจนครั้งรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนมากพวกนักพรตใช้นุ่งห่มคล้ายกับผ้าคากรอง
ผ้าที่ทอจากใยที่ทำจากเปลือกไม้
ผ้าพิมพ์
ในสมัยอยุธยา เรามีช่างผลิตหรือเขียนลายบนผ้าอยู่แถววัดขุนพรหม และน่าจะมีการสั่งทำจากอินเดียด้วย ในสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานว่า สั่งทำผ้าพิมพ์ หรือผ้าลายจากอินเดีย ตามแบบลายไทยที่สั่งไป เช่น ลายพุ่มข้าวบิณฑ์พรหมก้านแย่ง เทพนมก้านแย่ง และกินรีรำเป็นต้น เรียกว่า ลายอย่าง ต่อมาทางอินเดียคิดทำผ้าพิมพ์เอง โดยเขียนขึ้นตามลายไทย เพื่อส่งมาขายในอยุธยา แต่ลายที่อินเดียเขียนขึ้นนั้น เป็นลายแปลงของอินเดียผสมลายไทย เรียกลายนอกอย่าง
ผ้าพิพม์ลายกรวยเชิง
ผ้า ยก
ไทยเราผลิตผ้ายกได้ดี ทั้งยกไหม และยกดิ้น ปรากฎทั้งในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน และในภาคใต้ เช่น ที่นครศรีธรรมราช และที่พุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี คำว่า ยก มาจากการเรียกกระบวนทอ เวลาทอเส้นด้ายหรือไหม ที่เชิดขึ้น เรียกว่า เส้นยก เส้นด้ายหรือไหม ที่จมลงเรียกว่า เส้นข่ม แล้วพุ่งกระสวยไปในระหว่างกลาง ถ้าจะให้เป็นลาย เลือกยกเส้นข่มขึ้นบางเส้น ก็เกิดลายยกขึ้น จึงเรียกว่า ผ้ายก
ผ้ายกดิ้นทอง
ผ้า ลาย
ถ้าหมายถึง ผ้าที่มีลวดลายแล้ว กล่าวว่า เดิมมีกระบวนการทำอยู่ ๔ วิธี คือ ลายปัก ลายปูม ลายยก และลายพิมพ์
ผ้าสมปัก
ผ้านุ่งพระราชทานให้ขุนนางตามตำแหน่ง ใช้เป็นเครื่องแบบมาก่อน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จะใช้เฉพาะในเวลาเข้าเฝ้า หรือในพระราชพิธี เป็นผ้าทอด้วยไหมเพลาะ กลางผืนผ้าเป็นสีและลายต่างๆ สมปักมีหลายชนิด ได้แก่ "สมปัก ปูม" ถือว่า เป็นชนิดดีที่สุด "สมปัก ล่องจวน" เป็นสมปักที่ทอเป็นรอยยาว เป็นสมปักชนิดท้องพื้นมีเชิงลาย นอกจากนี้มี "สมปัก ลาย" และ "สมปัก ริ้ว" ซึ่งเป็นผ้าสามัญ ที่พวกเจ้ากรมปลัดกรมนุ่งเท่านั้น มิใช่เป็นของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ผ้าสมรดหรือสำรด
เป็นผ้าคาดทับเสื้อครุยในงานพระราชพิธีของขุนนางชั้นสูง หรือเรียกว่า ผ้าแฝง ทำด้วยไหมทองถักโปร่งๆ บางๆ คล้ายผ้ากรองทอง แต่โปร่งและบางกว่ามาก บางทีหมายถึง ผ้าคาดเอว ที่ทำด้วยผ้าตาดทองปักดิ้นปักปีกแมลงทับ เป็นลวดลายดอกไม้เครือเถา เดิมก่อนรัชกาลที่ ๕ ไม่มีการแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยสีดำ ในงานพระเมรุใหญ่ๆ เจ้านาย และขุนนาง จึงนุ่งสมปักลายสีต่างๆ คาดทับเสื้อครุย พวกที่ไม่มีหน้าที่แห่เสด็จจะทำผ้าคาดย่อ คือ คาดแต่สมรดเป็นทีว่า ได้คาดเสื้อครุย เรียกว่า ผ้าแฝง แต่ผู้มีหน้าที่แห่เสด็จต้องคาดเสื้อครุยจริง เวลาเข้าริ้วขบวน ก็เอามาสวม แต่ถ้าอยู่นอกขบวน จะถอดเสื้อครุยออก แล้วคาดสมรด เสื้อครุยมีวิธีการใช้อยู่ ๓ วิธี คือ เวลาอยู่ในหน้าที่ จะสวมเสื้อครุยทั้งสองแขน ถ้าอยู่นอกหน้าที่ เอาออกมาม้วนคาดพุง แต่ถ้าสวมแขนเดียวอีกแขนหนึ่งพาดเฉียงบ่าแสดงว่า อยู่ในหน้าที่เข้ากรม
ผ้าสมรด หรือสำรด
ผ้าสมรดหรือสำรด
เป็นผ้าคาดทับเสื้อครุยในงานพระราชพิธีของขุนนางชั้นสูง หรือเรียกว่า ผ้าแฝง ทำด้วยไหมทองถักโปร่งๆ บางๆ คล้ายผ้ากรองทอง แต่โปร่งและบางกว่ามาก บางทีหมายถึง ผ้าคาดเอว ที่ทำด้วยผ้าตาดทองปักดิ้นปักปีกแมลงทับ เป็นลวดลายดอกไม้เครือเถา เดิมก่อนรัชกาลที่ ๕ ไม่มีการแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยสีดำ ในงานพระเมรุใหญ่ๆ เจ้านาย และขุนนาง จึงนุ่งสมปักลายสีต่างๆ คาดทับเสื้อครุย พวกที่ไม่มีหน้าที่แห่เสด็จจะทำผ้าคาดย่อ คือ คาดแต่สมรดเป็นทีว่า ได้คาดเสื้อครุย เรียกว่า ผ้าแฝง แต่ผู้มีหน้าที่แห่เสด็จต้องคาดเสื้อครุยจริง เวลาเข้าริ้วขบวน ก็เอามาสวม แต่ถ้าอยู่นอกขบวน จะถอดเสื้อครุยออก แล้วคาดสมรด เสื้อครุยมีวิธีการใช้อยู่ ๓ วิธี คือ เวลาอยู่ในหน้าที่ จะสวมเสื้อครุยทั้งสองแขน ถ้าอยู่นอกหน้าที่ เอาออกมาม้วนคาดพุง แต่ถ้าสวมแขนเดียวอีกแขนหนึ่งพาดเฉียงบ่าแสดงว่า อยู่ในหน้าที่เข้ากรม
ผ้าสุกุลพัสตร์
เป็นผ้าขาวเนื้อละเอียดชนิดดี มีในสมัยสุโขทัย
ผ้าไหมชนิดต่างๆ : ผ้าแพรวา
ผ้า ไหม
ผ้าอย่างดีทอด้วยไหม มีทั้งแบบเรียบ ยกดอก และเป็นลวดลาย