ประเภทความพิการ ในการที่จะฟื้นฟูสมรรถภาพเยาวชนผู้พิการทางการศึกษานั้น จำเป็นจะต้องกำหนดประเภทของเด็กเหล่านี้ พร้อมทั้งให้คำนิยามเด็กแต่ละประเภท เพื่อประโยชน์ในแง่การจัดการเรียนการสอน ที่สนองตอบความต้องการจำเป็นเฉพาะ ของเด็กพิการแต่ละคน ซึ่งอาจแบ่งประเภทเด็กพิการในทางการศึกษาได้ดังนี้ ๑. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ ๑.๑ เด็กเรียนช้า หมายถึง เด็กที่มีปัญหา ในการเรียนอันเนื่องมาจากระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติ เช่น มีการรับรู้ และเข้าใจได้ช้า หรืออาจเป็นเด็กด้อยโอกาสทางสังคม ทางวัฒนธรรม และทางเศรษฐกิจมาก จนมีผลกระทบต่อเชาวน์ปัญญา แต่ไม่จัดว่า เป็นเด็กปัญญาอ่อน หากทดสอบจะพบว่า มีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ระหว่างประมาณ ๗๐-๙๐ ๑.๒ เด็กปัญญาอ่อน หมายถึง เด็กที่มีความสามารถทางสมองหรือสติปัญญา และความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งความบกพร่องนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของพัฒนาการเด็ก | |
เด็กปัญญาอ่อนกำลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์ | |
ความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หมายถึง ความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับระดับอายุ เช่น ที่บ้าน ในชุมชน การมีความสัมพันธ์กับเพื่อน บทบาทหน้าที่ใน สังคม การมีบทบาทในฐานะผู้ประกอบอาชีพ หรือผู้บริโภค และการดูแลตนเอง การที่เราให้ความสำคัญกับความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และได้กำหนดในคำจำกัดความของเด็กปัญญาอ่อนไว้ด้วย นอกเหนือจากการกำหนดด้านสติปัญญาแต่เพียงอย่างเดียวนั้น เพราะได้เคยมีการศึกษารายงานว่า เด็กบางคนเป็นเด็ก "ปัญญาอ่อน ๖ ชั่วโมง" กล่าวคือ เด็กบางคน เมื่อเรียนอยู่ในโรงเรียนประมาณวันละ ๖ ชั่วโมง จะมีความสามารถเรียนรู้ในระดับเด็กปัญญาอ่อน แต่เมื่อกลับไปบ้าน และอยู่ในชุมชน เด็กมีพฤติกรรมปกติ สามารถปรับตัว และมีความสามารถเช่นเดียวกับเด็กปกติอีก ๑๘ ชั่วโมง จึงทำให้ต้องมีการตรวจสอบความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจากความสามารถทางสติปัญญาด้วย | |
การฝึกเด็กปัญญาอ่อนให้มีทักษะ ในการรับประทานอาหารได้ด้วยตัวเอง | เด็กปัญญาอ่อนในแง่การศึกษาอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท ๑. ประเภทเรียนได้ เป็นปัญญาอ่อนขนาดน้อย มีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในระหว่างประมาณ ๕๐-๗๐ ๒. ประเภทฝึกได้ เป็นปัญญาอ่อนระดับ ปานกลาง มีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในระหว่าง ประมาณ ๒๕-๕๐ ๓. ปัญญาอ่อนมากและรุนแรง มีระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่า ๒๕ |
๒. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างในกระบวนการพื้นฐานทางจิตวิทยา ที่เกี่ยวกับความเข้าใจ หรือการใช้ภาษา อาจเป็นภาษาพูด และ/หรือภาษาเขียน ซึ่งจะมีผลทำให้มีปัญหาในการฟัง การพูด การคิด การอ่าน การเขียน การสะกด หรือการคิดคำนวณ นอกจากนี้ยังรวมถึงเด็กที่มีสภาพความบกพร่องในการรับรู้ สมองได้รับบาดเจ็บ การปฏิบัติงานของสมองสูญเสียไป ซึ่งทำให้มีปัญหาในการอ่าน และปัญหาในการเข้าใจภาษา หรือการใช้ภาษา อันเนื่องจากสมองถูกทำลาย เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ไม่รวมเด็ก ที่มีปัญหาทางการเรียน เนื่องจากความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน หรือการเคลื่อนไหว เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ หรือเด็กที่ด้อยโอกาส เนื่องจากสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม หรือเศรษฐกิจ ๓. เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือเด็กที่ มีปัญหาทางพฤติกรรม หมายถึง เด็กที่มี พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้น เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคม หรือวัฒนธรรม เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์รุนแรง หมายถึง เด็กที่ ๑. ไม่สามารถเรียนรู้ แต่ไม่ใช่เนื่องจากองค์ประกอบทางสติปัญญา ประสาทสัมผัส หรือสุขภาพ ๒. ไม่สามารถสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครูได้ ๓. มีพฤติกรรม หรือความรู้สึกที่ไม่เหมาะสม แม้อยู่ในเหตุการณ์ปกติ ๔. โดยทั่วไปมีอารมณ์ขุ่นมัว ไม่มีความสุข หรือมีอาการซึมเศร้า ๕. มีแนวโน้มที่จะพัฒนาอาการทางกาย หรือความกลัว ที่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาทางโรงเรียน นอกจากนี้ยังรวมถึงเด็กที่เป็น "โรคจิตวัยเด็ก" และ "เด็กออทิสติก" (ปัจจุบันแยกเด็กออทิสติกออกจากกลุ่มเด็กโรคจิตวัยเด็ก เพราะออทิสซึม เป็นความบกพร่องในวัยเด็ก ที่เกิดขึ้นในช่วงอายุก่อน ๓๐ เดือน และมีลักษณะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวอย่างมาก ทำการกระตุ้นตนเอง มีความบกพร่องในทางความรู้ ความจำ ความเข้าใจ และภาษา ส่วนโรคจิตวัยเด็กนั้น โดยทั่วไปจะไม่เกิดขึ้นก่อนเด็กมีอายุ ๕ ปี หรือมากกว่านั้น) ๔. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และ ภาษา อาจแยกอธิบายเป็น ๒ กลุ่ม ดังนี้ ๔.๑ เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องในเรื่องของการ ออกเสียงพูด ได้แก่ เสียงผิดปกติ เช่น คุณภาพเสียง ระดับเสียง ความดังของเสียง เสียงขึ้นจมูก และความคล่องของการออกเสียงพูด ได้แก่ อัตราความเร็ว และจังหวะการพูดผิดปกติ ๔.๒ เด็กที่มีความบกพร่องทางภาษา หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือพัฒนาการเบี่ยงเบนในเรื่องความเข้าใจ และ/หรือการใช้ภาษาพูด การเขียน และ/หรือระบบสัญลักษณ์อื่น ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ความบกพร่องอาจจะเกี่ยวกับ (๑) รูปแบบของภาษา ได้แก่ ระบบเสียงของภาษา และกฎของสัทศาสตร์ที่ควบคุม การรวมเสียง ระบบทางสัทศาสตร์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างของคำ และการสร้างคำจากความหมายพื้นฐาน ระบบประโยค คือ ลำดับที่ และการรวมคำเป็นประโยค ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆ ภายในประโยค (๒) เนื้อหาของภาษา ได้แก่ ระบบที่เกี่ยวกับรูปแบบของเนื้อหา หรือความหมายของการพูดออกมา ความตั้งใจ และความหมายของคำและประโยค (๓) หน้าที่ของภาษา ได้แก่ ระบบสังคมวิทยา ภาษา ที่จัดรูปแบบการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจแสดงออกทางการเคลื่อนไหว ทางเสียง หรือทางการพูด ๕. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับ รุนแรงจนถึงระดับน้อย อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ ๕.๑ เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก จนไม่สามารถรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟังก็ตาม โดยทั่วไปหากตรวจการได้ยิน จะมีการสูญเสียการได้ยินประมาณ ๙๐ เดซิเบลขึ้นไป (เดซิเบล เป็นหน่วยวัดความดังของเสียง) หมายถึง เมื่อเปรียบเทียบระดับเริ่มได้ยินเสียงของเด็กปกติ เมื่อเสียงดังไม่เกิน ๒๕ เดซิเบล เด็กหูหนวกจะเริ่มได้ยินเสียงที่ดังมากกว่า ๙๐ เดซิเบล | |
การเรียนการสอน โดยใช้วิธีการสอนที่เรียกว่า ระบบรวม (Total communication) | |
๕.๒ เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่มีการได้ยินเหลืออยู่พอเพียง ที่จะรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง และหากตรวจการได้ยิน จะพบว่า มีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า ๙๐ เดซิเบล ลงมาจนถึง ๒๖ เดซิเบล คือ เมื่อเปรียบเทียบระดับเริ่มได้ยินเสียงของเด็กปกติ เมื่อเสียงดังไม่เกิน ๒๕ เดซิเบล เด็กหูตึง จะเริ่มได้ยินเสียงที่ดังมากกว่า ๒๖ เดซิเบลขึ้นไปจนถึง ๙๐ เดซิเบล อาจแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ดังนี้ ๑. ตึงเล็กน้อย (๒๖-๔๐ เดซิเบล) ๒. ตึงปานกลาง (๔๑-๕๕ เดซิเบล) ๓. ตึงมาก (๕๖- ๗๐ เดซิเบล) และ ๔. ตึงรุนแรง (๗๑-๙๐ เดซิเบล) | |
เครื่องตรวจการได้ยินสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน | |
๖. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึง เด็กที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อย จนถึงตาบอดสนิท อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทคือ |
๖.๑ เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่สูญเสียการเห็นมากจนต้องสอนให้อ่านอักษรเบรลล์ หรือใช้วิธีการฟังเทป หรือแผ่นเสียง หากตรวจวัดความชัด ของสายตาข้างดี เมื่อแก้ไขแล้ว (เช่น ใช้แว่นสายตา) อยู่ในระดับ ๖/๖๐ หรือ ๒๐/๒๐๐ ลงมา จนถึงบอดสนิท (หมายถึง คนตาบอด สามารถมองเห็นวัตถุได้ในระยะห่าง น้อยกว่า ๖ เมตร หรือ ๒๐ ฟุต ในขณะที่คนปกติ สามารถมองเห็นวัตถุเดียวกันได้ ในระยะ ๖๐ เมตร หรือ ๒๐๐ ฟุต) หรือหากตรวจวัดลานสายตา จะมีลานสายตาแคบกว่า ๒๐ องศา หมายถึง สามารถมองเห็นได้กว้างน้อยกว่า ๒๐ องศา | เด็กตาบอด กำลังอ่านอักษรเบรลล์ |
๖.๒ เด็กเห็นเลือนลาง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ที่ขยายใหญ่ได้ หรือต้องใช้แว่นขยายอ่าน หากตรวจวัดความชัด ของสายตาข้างดี เมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับระหว่าง ๖/๑๘ | |
เครื่องขยายตัวอักษรสำหรับผู้ที่เห็นเลือนราง | |
๗. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและ สุขภาพ หรือเรียกกว้างๆ ว่า เด็กพิการทางร่างกาย หมายถึง เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือหลายส่วนขาดหาย ไป กระดูก และกล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง มีความพิการของระบบประสาท มีความลำบากในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นอุปสรรค ต่อการศึกษาในสภาพปกติ ทั้งนี้ไม่รวมพวกพิการทางประสาทสัมผัส ได้แก่ ตาบอด หูหนวก อาจแบ่ง ออกได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ ๗.๑ โรคของระบบประสาท เช่น ซีรีบรัล พัลซี (Cerebral palsy) หรือโรคอัมพาต เนื่องจากสมองพิการ โรคลมชัก มัลติเพิล สเคลอโรซีส (multiple sclerosis) |
เด็กที่เป็นโรคกระดูกสันหลังคด | ๗.๒ โรคทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น ข้ออักเสบ เท้าปุก โรคกระดูกอ่อน โรคอัมพาตกล้ามเนื้อลีบ หรือมัสคิวลาร์ ดิสโทรฟี (muscular dystrophy) กระดูกสันหลังคด |
๗.๓ การไม่สมประกอบมาแต่กำเนิด เช่น โรคศีรษะโต สไปนา เปฟฟิดา (spina bifida) แขนขาด้วนแต่กำเนิด เตี้ยแคระ ๗.๔ สภาพความพิการและความบกพร่อง ทางสุขภาพอื่นๆ ได้แก่ ๗.๔.๑ สภาพความพิการ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ และโรคติดต่อ เช่น ไฟไหม้ แขนขาขาด โรคโปลิโอ โรคเยื่อบุสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส และอันตรายจากการคลอด ๗.๔.๒ ความบกพร่องทางสุขภาพ เช่น หอบ หืด โรคหัวใจ วัณโรคปอด ปอดอักเสบ | |
ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เล็บมือจะมีลักษณะเขียวคล้ำ และปลายนิ้วปุ้มคล้ายกระบอง | |
๘. เด็กพิการซ้อน หมายถึง เด็กที่มีความพิการมากกว่าหนึ่งอย่างขึ้นไป เช่น เด็กตาบอด และหูหนวก เด็กปัญญาอ่อน และร่างกายพิการ เด็กตาบอด หูหนวก และปัญญาอ่อน เป็นต้น |