เล่มที่ 20
จิตรกรรมไทยแบบประเพณี
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
อุดมคติ กึ่งสมจริงที่ปรับเปลี่ยนมาตามยุคสมัย

            การแสดงออกของช่างเขียนโบราณประกอบจากปัจจัยสำคัญหลายอย่าง ที่ทำให้จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีคุณค่า แตกต่างไปจากจิตรกรรมแนวตะวันตกเรื่องราวเนื่องในพุทธศาสนา เช่น พุทธประวัติ หรือชาดก ได้รับการถ่ายทอดออกเป็นภาพ สืบทอดความนิยมกันมาช้านานและแม้จะเป็นเรื่องราวที่ซ้ำซาก แต่ก็มีความแตกต่างกันของแต่ละยุคสมัย ตามทัศนคติของสังคม ที่แปรเปลี่ยนอันเป็นผลต่อการแสดงออกของช่างเขียนด้วย

            คัมภีร์เล่มเดียวกันหรือเนื้อเรื่องเดียวกัน เมื่อช่างนำมาเขียนเป็นภาพเล่าเรื่อง ก็มีความแตกต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับช่างหรือสังคมนั้น ให้ความสำคัญต่อประเด็นความเชื่อในเนื้อหาตอนใด เช่น ภาพเรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ที่เขียนขึ้นสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา บางแห่งให้ความสำคัญแก่จำนวนอันมากมาย จนนับไม่ได้ของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ อดีตพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เสด็จมาตรัสรู้บนโลกนี้ ก่อนพระพุทธเจ้าของเรา (พระศรีศากยมุนี) ดังกล่าวนี้มีระบุไว้ในคัมภีร์ของพุทธศาสนา โดยมิได้ระบุรายพระนามของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติเหล่านั้น ช่างเขียนนำมาแสดงเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้าเรียงรายเป็นแถว แต่ละแถวเรียงซ้อนกันจนเต็มผนัง ส่วนจิตรกรรมบางแห่งก็เขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้าเรียงกันเพียงจำนวน ๒๔ หรือ ๒๘ พระองค์ อันเป็นจำนวนอดีตพระพุทธเจ้า ที่เสด็จมาตรัสรู้ในโลกนี้ ซึ่งคัมภีร์เล่มเดียวกัน ได้ระบุพระนามของแต่ละพระองค์ไว้

            การเลือกให้ความสำคัญตอนใดตอนหนึ่งในคัมภีร์ คงสะท้อนศรัทธาความเชื่อที่ผิดแผกกันไปบ้าง เรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตชาติได้รับความนิยมน้อยลง ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ภาพที่มีอยู่กลับเป็นภาพเล่าเรื่องมีหลายตอนต่อเนื่องกัน แตกต่างจากเรื่องเดียวกัน ที่เขียนขึ้น เมื่อกว่า ๔๐๐ ปี ที่ผ่านมา
พระพุทธเจ้าในอดีต จิตรกรรมฝาผนังกรุปรางค์ วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา สมัยอยุธยาตอนต้น
พระพุทธเจ้าในอดีต จิตรกรรมฝาผนังกรุปรางค์ วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา สมัยอยุธยาตอนต้น
แนวความนิยมในการแสดงเรื่อง และลักษณะของภาพที่แตกต่างกันแต่ละสมัย ช่วยให้ทราบกำหนดอายุก่อนหรือหลังของภาพจิตรกรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดี และทำให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านแนวความคิด ที่คลี่คลายปรับเปลี่ยนไปด้วย

ภาพเล่าเรื่องนิทานชาดกที่เขียนกันในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เขียนเป็นภาพเล่าเรื่องด้วยฉากเหตุการณ์เดียว มีภาพบอกเรื่องราวอยู่อย่างจำกัด เพียงเพื่อให้ทราบเรื่องราวเฉพาะตอนสำคัญเพียงตอนเดียว ตัวอย่างเช่น นิทานชาดกเรื่องมหาชนก ที่ช่างเลือกเขียนเพียงฉากเรือของพระมหาชนกที่อับปางอยู่กลางทะเล มีภาพนางมณีเมขลาอุ้มพระมหาชนกให้รอดพ้นจากการจมน้ำ แต่เรื่องเดียวกันนี้ ที่เขียนขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นิทานชาดกเรื่องดังกล่าวมีฉากเหตุการณ์อื่นเพิ่มขึ้น

รายละเอียดที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังมากขึ้น เปิดโอกาสทำให้เราสามารถศึกษาแง่มุมต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ สังคม ขนบประเพณี ที่แฝงอยู่ในภาพมากขึ้นด้วย จึงเท่ากับว่า จิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นภาพบันทึกประวัติศาสตร์ได้อย่างหนึ่ง
นางมณีเมขลาช่วยพระมหาชนกพ้นจากเรืออับปางกลางทะเล จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดใหญ่อินทาราม ชลบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
นางมณีเมขลาช่วยพระมหาชนกพ้นจากเรือ อับปางกลางทะเล จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดใหญ่อินทาราม ชลบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
จิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติก็เช่นกัน ตอนต่างๆ ในพุทธประวัติ ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพอย่างจำกัด ที่เรียกว่า เหตุการณ์ตอนเดียว ระยะหลังจึงมีรายละเอียดประกอบฉากมากขึ้นทุกที โดยแบ่งเป็นฉากย่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นพัฒนาการเช่นเดียวกับภาพเล่าเรื่องพระพุทธเจ้า ในอดีตชาติ และเรื่องชาดกที่กล่าวมาแล้ว

การคลี่คลายของลักษณะของจิตรกรรม นอกจากช่วยให้เราสามารถสังเกตความแตกต่างของภาพ และแนวความคิดในการแสดงออกที่แตกต่างกันไป ตามยุคสมัยแล้ว ยังสะท้อนแนวความคิดวิธีการของช่างเขียน ที่แตกต่างไปตามยุคสมัยด้วย กล่าวคือ

การแสดงเรื่องเล่าด้วยภาพเหตุการณ์ตอนเดียวของช่างสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะในเชิงสัญลักษณ์ เพราะด้วยฉากเหตุการณ์ตอนเดียว ก็สื่อให้ผู้ดูนึกถึงเรื่องราวได้ตลอดทั้งเรื่อง ช่างเขียนเลือกเหตุการณ์ในท้องเรื่องมาเขียนเป็นภาพ ย่อมเลือกเหตุการณ์ ที่เด่นเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของเรื่องราวทั้งหมด

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งทรงผนวช วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สมัยรัชกาลที่ ๕

เมื่อ การเขียนภาพเชิงสัญลักษณ์คลี่คลายไปในระยะหลัง โดยสร้างฉากเหตุการณ์เพิ่มขึ้น การแสดงออกของช่างจึงสื่อความทางด้านรายละเอียดมากกว่าก่อน เป็นช่องทางที่ช่างได้แสดงศิลปะของตน โดยสร้างฉากเหตุการณ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

รายละเอียดต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ต้องการความสามารถในการออกแบบควบคุมทุกสิ่ง ที่ปรากฏเป็นภาพ ให้มีความสอดคล้องแนบเนียน ทำให้ผู้ดูภาพเกิดความเพลิดเพลินกับฉากเหตุการณ์ ที่ต่อเนื่องกัน จิตรกรรมที่คลี่คลายมาเป็นลักษณะเช่นนี้ เป็นภาพเล่าเรื่องอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่าจิตรกรรมที่แสดงฉากสัญลักษณ์ ซึ่งแสดงถึงภาพเหตุการณ์ตอนเดียว

ความแตกต่างดังกล่าว ต่างก็มีคุณค่า และมีความหมายโดยเฉพาะ กล่าวคือ ช่างเขียนสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แสดงความสามารถในการสื่อเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ แสดงถึงภูมิปัญญา ในการคัดเลือกความเด่นชัดของเรื่องออกเป็นภาพ เพียงเหตุการณ์ตอนเดียว ก็สามารถสื่อความได้ทั้งเรื่อง ส่วนช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หรือสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ใช้ภูมิปัญญาเชิงช่างของตน เพื่อควบคุมเรื่องราวที่เขียนเป็นฉากเหตุการณ์หลายฉาก มีความหลากหลายของส่วนประกอบฉาก ให้รวมกันอย่างเป็นเอกภาพ

จิตรกรรมของไทยที่ได้รับอิทธิพลตะวันตก นับตั้งแต่เรื่องราวที่นำมาเขียนภาพที่เป็นเรื่องจริง เช่น พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอลดจนลักษณะของจิตรกรรม ก็เปลี่ยนมาแสดงความเหมือนจริง ตามแนวการเขียนภาพแบบตะวันตกด้วย