การป้องกันโรค
เนื่องจากสัตว์ที่เป็นพาหะโรคฉี่หนูมีมากมายจนไม่สามารถกำจัดให้หมดสิ้นไปได้ และเชื้อเลปโทสไปเรก็ยังคงปนเปื้อน อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา การป้องกันโรคนี้ จึงกระทำได้ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ ในแหล่งที่สงสัยว่า มีเชื้อปนเปื้อน หรือปกป้องตนเองในกรณีที่ต้องสัมผัสสิ่งที่ปนเปื้อนเชื้อ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการติดเชื้อมีดังนี้
๑. หลีกเลี่ยงสภาวะต่างๆ
- การสัมผัสโดยตรงกับพาหะนำโรค เช่น หนู สุนัข แมว
- การว่ายน้ำหรือลงเล่นในแหล่งน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อ เช่น ทะเลสาบ คลอง ลำธาร
- การเดินด้วยเท้าเปล่าบนดิน หรือดินโคลน
๒. ใช้อุปกรณ์ป้องกันเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ
- สวมรองเท้าบูตเมื่อต้องแช่ในแหล่งน้ำต่างๆ ที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน เช่น เมื่อลงดำนา
- สวมถุงมือยางเมื่อสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะ เช่น ในขณะรีดนมวัว การสัมผัสลูกหรือรกของสัตว์ที่แท้งออกมา
- สวมแว่นตาเพื่อป้องกันการกระเด็นของสารคัดหลั่ง หรือน้ำที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของสัตว์พาหะ
๓. กำจัดเชื้อหรือสัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และแพร่เชื้อ
- กำจัดหนู
- แยกสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อไปรักษาและป้องกันการแพร่หรือปนเปื้อนเชื้อในบริเวณที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน หรือแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน
- ทำความสะอาดบริเวณที่มีสัตว์เลี้ยง มีที่ระบายสิ่งปฏิกูล และการทำลายเชื้อในเขตเลี้ยงปศุสัตว์
๔. การสำรวจโรคในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า
รวมทั้งการตรวจแหล่งน้ำ ดินทราย เพื่อค้นหาแหล่งปนเปื้อนหรือแหล่งแพร่เชื้อและดำเนินการแก้ไข
๕. แนะนำผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ ให้รีบพบแพทย์เมื่อมีกลุ่มอาการที่น่าสงสัย
เช่น มีไข้เฉียบพลัน ตาแดงปวดกล้ามเนื้อมาก ภายหลังจากสัมผัสน้ำหรือสัตว์ที่สงสัยภายใน ๖ - ๓๐ วัน เพื่อรีบขอรับการตรวจ และรักษาโดยเร็ว และบอกประวัติการเดินทางในระยะเวลา ๑ เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้แพทย์นึกถึงโรคฉี่หนูด้วย
๖. การฉีดวัคซีนป้องกันโรค
การฉีดวัคซีนในสัตว์ให้ได้ผลจะต้องใช้วัคซีนที่มีเชื้อหลายๆ สายพันธุ์ที่พบในท้องถิ่นนั้นๆ จึงจะป้องกันการเกิดโรคได้ ส่วนการฉีดวัคซีนในคนไม่นิยมใช้ เพราะป้องกันได้เฉพาะสายพันธุ์อิกเทอโรเฮมอร์ราจิกา และต้องฉีดกระตุ้นทุกปี ประสิทธิภาพก็ยังไม่แน่นอน อีกทั้งในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนจำหน่ายในประเทศไทย
๗. การให้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรค
ในกรณีหากมีการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อเป็นครั้งคราว ควรรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการเกิดโรคในแต่ละครั้งคราวไป เช่น ทหารที่เข้าไปฝึกในป่า ผู้ที่เล่นน้ำในแหล่งน้ำที่สงสัยว่าปนเปื้อนเชื้อ อย่างไรก็ดี การรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อน