เล่มที่ 32
หนังสือโบราณของไทย
สามารถแชร์ได้ผ่าน :

การทำหนังสือสมุดไทย

            ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า คนไทยในสมัยโบราณรู้จักนำกระดาษมาใช้ประโยชน์ เพื่อการเขียน หรือบันทึกเรื่องราวต่างๆ เมื่อใด ปัจจุบัน ได้พบหลักฐานการใช้สมุดไทยที่เก่าแก่ที่สุด ไม่เกินสมัยอยุธยาตอนกลาง อีกทั้งปัจจุบันก็หมดความนิยมไปแล้ว ไม่มีการทำขึ้นใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเขียนอีกต่อไป ในที่นี้ จะได้นำวิธีการทำสมุดไทย มาอธิบายพอเป็นสังเขป เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา วิวัฒนาการของวัฒนธรรมไทยทางด้านการเขียน และด้านอักษรศาสตร์ ให้ปรากฏอยู่สืบไป

หนังสือสมุดไทยดำ


ก. การตัดข่อย

            การทำกระดาษจากเปลือกไม้ ส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนและวิธีการที่เหมือนกัน ในที่นี้จะกล่าวถึง เฉพาะการทำกระดาษจากเปลือกข่อย ซึ่งเป็นที่นิยมของคนไทย มาแต่สมัยโบราณ ข่อยเป็นไม้ยืนต้นอยู่ในวงศ์เดียวกับมะเดื่อ มักขึ้นตามป่า และริมแม่น้ำลำคลอง เปลือกใช้ทำปอ และกระดาษ ใบมีลักษณะสากคาย ใช้แทนกระดาษทรายได้ ส่วนกิ่งและราก คนไทยสมัยโบราณนิยมนำมาใช้ขัดฟัน เพื่อให้ฟันขาวสะอาดและคงทน ข่อยที่ใช้ทำกระดาษ ส่วนใหญ่ได้มาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคกลางของประเทศไทย เช่น สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ชาวบ้านนิยมตัดข่อย ภายหลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อตัดทอนจากลำต้นแล้วต้องลอกเอาเปลือกออก การลอกเปลือกข่อยนั้น ถ้าลอกขณะกิ่งข่อยยังสดจะลอกออกได้ง่าย แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ จนกิ่งแห้ง ต้องนำไปลนไฟจึงจะลอกได้ นำเปลือกข่อยที่ลอกออกจากกิ่งแล้ว ตากแดดให้แห้ง มัดรวมกันไว้เป็นมัดเล็กๆ มัดหนึ่งประมาณ ๕๐ ชิ้น แล้วมัดรวมกัน ๑๐ มัดเล็กเป็น ๑ มัดใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้อเปลือกข่อย จะล่องลงมาขาย ในกรุงเทพฯ ตามแหล่งหมู่บ้านที่ทำกระดาษ พระยากสิการบัญชาเล่าไว้ในหนังสือ ปาฐกถาเรื่องการทำกระดาษข่อยว่า ในสมัยอยุธยาก็มีการทำกระดาษข่อยกันแล้ว และในสมัยรัตนโกสินทร์ มีหมู่บ้านทำกระดาษอยู่บริเวณคลองบางซ่อน คลองบ้านกระดาษ และคลองบางโพขวาง ในกรุงเทพฯ

            ส่วนในภาคเหนือ นิยมใช้เปลือกของต้นสาทำสมุด จึงมีชื่อเรียกว่า สมุดกระดาษสา ต้นสาเมื่อนำเปลือกมาใช้ทำกระดาษ นิยมเลือกต้นที่มีขนาดใหญ่ และใช้เปลือกของลำต้นซึ่งมีสีเขียว ดังนั้น เมื่อจะนำเปลือกสามาทำกระดาษ ต้องโค่นไม้สาทั้งต้น ลอกเปลือกออกทำนองเดียวกับการลอกเปลือกข่อย แต่ต้องปอกสีเขียวที่พื้นผิวชั้นนอกออกก่อนด้วย จึงจะได้เปลือกสาที่ใช้ทำกระดาษ

            ในภาคใต้ ใช้ไม้เถาชนิดหนึ่งเรียกกันว่า ย่านกฤษณา หรือปฤษณา บางทีใช้หัวของต้นเอาะนก หรือต้นกระดาษ ซึ่งเป็นพืช ที่มีลักษณะคล้ายบอน โดยนำมาผสมกับเยื่อไม้อื่นๆ ทำเป็นกระดาษได้เช่นกัน


หนังสือสมุดไทยขาว


ตุ่มที่ใช้หมักเปลือกข่อยกับน้ำปูนขาว

ข. การหมักเปลือกไม้

            เมื่อได้เปลือกข่อยตามลักษณะที่ใช้ทำกระดาษ และมีจำนวนมาก ตามปริมาณที่ต้องการแล้ว นำเปลือกข่อยทั้งมัด ลงแช่ในคลอง หรือท้องร่อง ที่มีทางน้ำไหลขึ้นลงได้ โดยแช่ไว้นาน ๓ - ๔ วัน เพื่อให้เปลือกเปื่อย แล้วล้างเมือกที่ติดอยู่กับเปลือกออกให้หมด นำขึ้นมาจากน้ำ บีบให้แห้งพอหมาด แล้วเสียด (ฉีก) ให้เป็นฝอย ในขณะเสียดนั้นจะแยกเปลือกที่ดี สีขาวสะอาดไว้พวกหนึ่ง เพื่อใช้ทำสมุดขาว ส่วนเปลือกที่ไม่สะอาดแยกไว้อีกพวกหนึ่ง เพื่อใช้ทำสมุดดำ

            เนื่องจากการทำกระดาษข่อยนี้ต้องใช้น้ำมาก ทั้งน้ำไหลขึ้นลง และน้ำนิ่ง ฉะนั้น ผู้มีอาชีพทำกระดาษข่อยหรือสมุดข่อย จึงนิยมปลูกเรือนริมน้ำ เพื่ออาศัยน้ำ จากท้องร่อง หรือคลองนั้น



ใช้ค้อนทุบเปลือกข่อยให้ละเอียด
จนเป็นเยื่อกระดาษ

ค. วิธีนึ่งเปลือกข่อย

            นำเปลือกข่อยที่พร้อมจะนึ่งใส่ลงในรอม ซึ่งเป็นภาชนะ ที่ทำด้วยไม้ไผ่ สานตาถี่ๆ เป็นรูปทรงกระบอกสูงประมาณ ๑.๓๐ เมตร ให้เปิดปากรอมไว้ทั้งสองข้าง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗๕ เซนติเมตร จากนั้นวางรอมลงในกระทะใบบัวขนาดใหญ่ ซึ่งปากกระทะกว้างกว่าปากรอมเล็กน้อย วางกระทะบนเตา ซึ่งก่อขึ้น ให้มีช่องไฟ ๒ ข้าง ใส่เปลือกข่อยลงในรอมจนเต็มค่อนข้างแน่น ใช้ผ้า หรือใบตอง คลุมปิดปากรอมข้างบนให้สนิท ใส่น้ำลงในกระทะให้เต็มพอดีกับปากกระทะ แล้วใส่ไฟในเตา ให้มีความร้อนสม่ำเสมอตลอดเวลา ประมาณ ๒๔ ชั่วโมง จากนั้น กลับเปลือกข่อยในรอม เพื่อช่วยให้สุกทั่วกัน ใส่ไฟต่อไปอีก ๒๔ ชั่วโมง

            เปลือกข่อยที่นึ่งจนสุกแล้วนี้ ยังเปื่อยไม่มากพอที่จะใช้การได้ จึงนำไปแช่น้ำด่างปูนขาวในโอ่ง หรือตุ่มสามโคก ใช้เวลาแช่หรือหมัก ประมาณ ๒๔ ชั่วโมง หรือนานกว่านั้น น้ำด่างจะกัดเปลือกข่อยให้เปื่อยยุ่ย จนสามารถบี้ให้ละเอียดได้โดยง่าย


เทเยื่อข่อยที่ละลายแล้วในพะแนง

ง. การสบข่อย

            เมื่อนำเปลือกข่อยขึ้นจากน้ำด่างแล้ว ต้องนำไปล้างในน้ำคลอง หรือในร่องน้ำ ที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ล้างเปลือกข่อยให้สะอาดจนหมดด่าง แล้วบีบให้แห้ง โดยนำมาเข้าที่ทับน้ำ ซึ่งทำด้วยไม้กระดาน ๒ แผ่น กว้างประมาณ ๕๐ - ๖๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตร หนาประมาณ ๙ - ๑๐ เซนติเมตร แผ่นหนึ่งวางเป็นพื้นสำหรับวางเปลือกข่อย อีกแผ่นหนึ่งมีช่องสำหรับใส่ไม้ เพื่อวางไว้ข้างบน ลักษณะคล้ายกับที่ทับกล้วยขนาดใหญ่ ผู้ทำจะนั่งทับบนไม้กระดานนั้น ทำให้น้ำไหลออกมา จนเปลือกข่อยแห้งสนิท เพื่อไม่ให้เปลือกเน่า แล้วนำมาเลือกแยกเปลือกอีกครั้งหนึ่ง

            เปลือกข่อยที่เปื่อยยุ่ยแล้ว เมื่อจะทำให้เป็นเยื่อกระดาษ ต้องทุบให้ละเอียด โดยวางเปลือกข่อยที่จะทุบบนเขียง ซึ่งเป็นไม้ประดู่ หรือไม้มะขามขนาดใหญ่ กว้างประมาณ ๖๐ - ๗๐ เซนติเมตร และมีค้อนทุบข่อยที่ทำจากไม้ชิงชัน หรือไม้ประดู่ หัวค้อนเป็นรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เซนติเมตร หน้าค้อนเรียบ ตรงกลางเจาะเป็นที่ใส่ด้ามยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ใช้ค้อนไม้ ๒ อัน ถือทั้ง ๒ มือทุบสลับกัน การทุบต้องทุบตรงๆ เพื่อให้หน้าค้อนเรียบเสมอกัน และทุบค้อนให้ลงบนข่อยเป็นแถว โดยซ้ำค้อนกันเล็กน้อย วนไปมาประมาณ ๓ รอบ ถ้ามีเศษกระดาษเก่าที่ทำไว้ในคราวก่อน ก็นำไปชุบน้ำจนอ่อนยุ่ย แล้วนำมาใส่รวมในข่อยที่ทุบใหม่นั้นอีก นำน้ำมาพรมเยื่อข่อยที่ทุบไว้ในรอบแรกนี้ ให้เปียกพอสมควร แล้วทุบอีกครั้ง วนไปมาประมาณ ๖ - ๗ รอบ การทุบครั้งหลังนี้ เรียกว่า สบข่อย ถ้าทุบพร้อมกันสองคน โดยนั่งหันหน้าเข้ากัน และลงค้อนคนละที เรียกว่า สบรายคน เมื่อทุบจนละเอียดดีทั่วกันแล้ว เปลือกข่อยนั้นจะมีลักษณะเป็นเยื่อ พร้อมที่จะใช้ทำกระดาษได้ต่อไป


ลอกกระดาษออกจากพะแนง

จ. การหล่อกระดาษ

            การหล่อกระดาษแต่ละแผ่นนั้น หากต้องการให้เนื้อกระดาษมีความหนาเท่าๆ กัน ทุกแผ่น ช่างทำกระดาษนิยมปั้นเยื่อข่อยให้เป็นก้อน มีขนาดเสมอกัน ประมาณเท่าผลมะตูม แต่ถ้าเป็นช่างผู้ชำนาญ จะกะขนาดได้เสมอกัน โดยไม่จำเป็นต้องปั้นเป็นก้อนไว้ก่อนก็ได้

            จากนั้นนำเยื่อข่อยที่ปั้นเป็นก้อนแล้วนี้ ละลายน้ำในครุ ซึ่งเป็นภาชนะอย่างหนึ่ง ทำด้วยไม้ไผ่สานตาถี่ ลักษณะคล้ายกระบุง สูงประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ปากครุมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓๕ เซนติเมตร มีงวงที่ปากครุสำหรับถือ ตัวครุชันยาไว้โดยรอบ ใช้มือตีก้อนเยื่อข่อยจนแตกและละลายปนกับน้ำดีแล้ว วางพะแนงลงในน้ำนิ่ง ซึ่งอาจเป็นบ่อ หรือสระที่ชักน้ำจากลำคลอง หรือท้องร่อง เข้ามาเก็บกักไว้

            พะแนง คือ แบบพิมพ์ที่จะใช้ทำแผ่นกระดาษ ลักษณะเป็นตะแกรง มีกรอบไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่กรุด้วยผ้ามุ้งหรือลวดมุ้ง ขึงให้ตึงกับขอบไม้นั้น ไม้ที่ใช้ทำกรอบพะแนงนิยมใช้ไม้สัก ที่มีความหนา ประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร กว้าง ๕ เซนติเมตร และใช้ไม้หวายขมผ่าซีกมาประกอบ ทบชายผ้ามุ้ง ตอกด้วยตะปูตรึงให้ติดกับพะแนง ผ้ามุ้งที่ทำพะแนง ต้องย้อมด้วยยางมะพลับจนแข็ง จึงจะใช้ได้ และไม่เปื่อยง่าย ส่วนขนาดของพะแนงนั้น โดยทั่วไป มีความกว้างยาวเท่ากับความกว้างยาวของหน้ากระดาษที่ต้องการ ซึ่งโดยปกตินิยมใช้ ๓ ขนาด คือ
            
            ๑. ขนาดสมุดธรรมดา  กว้าง ๕๕ เซนติเมตร  ยาว ๒๒๐ เซนติเมตร  
            ๒. ขนาดสมุดพระมาลัย  กว้าง ๙๘ เซนติเมตร  ยาว ๒๒๐ เซนติเมตร  
            ๓. ขนาดกระดาษเพลา  กว้าง ๕๕ เซนติเมตร  ยาว ๑๗๕ เซนติเมตร

            เมื่อวางพะแนงลงในสระหรือบ่อกักน้ำ ซึ่งมีน้ำที่นิ่งและใสแล้ว ส่วนที่เป็นตะแกรงจะจมอยู่ใต้น้ำ ขอบของพะแนงจะลอยบนผิวน้ำ ให้นำเยื่อข่อยที่ละลายแล้วในครุ เทลงในพะแนงให้ทั่ว เกลี่ยเยื่อข่อยในพะแนง ให้แผ่กระจายเสมอกัน แล้วจึงพรมน้ำให้ทั่วอีกครั้งหนึ่งก่อนยกขึ้นจากน้ำ ขณะที่ยกพะแนงขึ้นจากน้ำ ต้องยกให้อยู่ในระดับราบเสมอกันทั้งแผ่น เพื่อให้เยื่อข่อยที่เกาะติดอยู่ที่ผิวหน้าของตะแกรง มีความหนาบางเท่ากันตลอดทั้งแผ่น วางพะแนงพิงตามแนวนอนให้เอียงประมาณ ๘๐ องศา แล้วใช้ไม้ซางยาวๆ คลึงรีดเยื่อข่อยบนพะแนงนั้น ให้น้ำตกจากพะแนงจนแห้ง และหน้ากระดาษเรียบเสมอกัน ยกพะแนงขึ้นตั้งพิงราวพะแนง ซึ่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นราว วางพะแนงตั้งพิงให้เอียงประมาณ ๔๕ องศา ตากแดดไว้ จนแห้งสนิท โดยกลับเอาข้างล่างขึ้นข้างบน เยื่อข่อยที่แห้งติดอยู่กับพะแนงนั้น เมื่อลอกออกจากพะแนงจะเป็นกระดาษแผ่นบางๆ เรียกว่า กระดาษเพลา ส่วนกระดาษที่หล่อให้หนามากๆ นั้นเก็บไว้ทำเป็นเล่มสมุดต่อไป

            กระดาษเพลา (อ่านว่า เพฺลา) แม้จะเป็นกระดาษเนื้อบาง แต่ก็มีคุณสมบัติ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง นอกจากใช้ในการขีดเขียนได้แล้ว ยังนำไปใช้ในกิจการอย่างอื่นได้ด้วย เช่น ใช้ทำหมันยาเรือ ปั่นเป็นเส้นใช้แทนด้าย เย็บซ่อมสมุดไทย และใช้เป็นส่วนประกอบการทำดอกไม้ไฟ เช่น ใช้ทำรองดอกไม้เทียน นอกจากนั้นยังใช้ในงานช่างทองได้อีกด้วย โดยในกลุ่มช่างตีทอง นิยมเรียกกระดาษเพลาว่า กระดาษดาม ในจังหวัดภาคเหนือ เช่น จังหวัดลำปาง เรียกกระดาษเพลาว่า กระดาษน้ำโท้ง