เล่มที่ 32
สิทธิมนุษยชน
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
การบังคับใช้กติการะหว่างประเทศ และอนุสัญญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน

            หลังจากที่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ในระดับนานาชาติอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้มีการแปลเจตนา และขยายข้อความ ของหลักการของปฏิญญาสากลฯ ให้ละเอียดยิ่งขึ้น ด้วยการร่างเป็นกติการะหว่างประเทศ ที่มีผลบังคับทางกฎหมายขึ้น ๒ ฉบับ คือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights) โดยสหประชาชาติได้มีมติรับรอง กติการะหว่างประเทศ ทั้ง ๒ ฉบับ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๖๖ และเมื่อกติการะหว่างประเทศทั้ง ๒ ฉบับ มีผลบังคับใช้ ใน ค.ศ. ๑๙๗๖ ประเทศต่างๆ ได้เข้าเป็นภาคีจนถึงปัจจุบันนับได้ ๑๓๔ ประเทศ สำหรับในกรณีของประเทศไทย ได้เข้าเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศทั้ง ๒ ฉบับ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามลำดับ


ประเทศไทยไม่กีดกันการเผยแผ่คำสอนของศาสนาอื่นๆ ทั้งยังให้คนไทยมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา

            นอกจากกติการะหว่างประเทศ ๒ ฉบับ ที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ยังมีอนุสัญญา (Convention) ที่เกี่ยวกับรายละเอียดของสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีผลบังคับ ให้ประเทศภาคีของอนุสัญญาต้องปฏิบัติ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) อนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women) และอนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination)

            อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) หลังจากที่สมัชชาสหประชาชาติได้มีมติรับรอง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๘๙ (พ.ศ. ๒๕๓๒) ประเทศไทยก็ได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญานี้ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ จุดประสงค์ของอนุสัญญาฉบับนี้ คือ เด็กเป็นผู้ที่จะต้องได้รับการดูแลและปกป้อง ทั้งยังเน้นถึงความสำคัญของชีวิต และครอบครัวของเด็กด้วย

            ส่วนอนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) และมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๓ กันยายน ค.ศ. ๑๙๘๑ (พ.ศ. ๒๕๒๔) ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญานี้เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ จุดประสงค์ของอนุสัญญาฉบับนี้คือ ความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง และเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกปฏิบัติในรูปแบบของการบังคับให้แต่งงาน ความรุนแรงในครอบครัว โอกาสในการศึกษา การดูแลด้านสาธารณสุข ตลอดจนการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน