๑. ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือได้รับความเสียหายจากการกระทำ หรืองดเว้นการกระทำของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
๒. ผู้ที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
๓. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ในกรณีที่เห็นว่า กฎหรือการกระทำของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
๔. กรณีอื่นที่มีกฎหมายกำหนดให้ ฟ้องต่อศาลปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์ที่พิจารณาวินิจฉัยเฉพาะคดีที่มีปัญหากฎหมาย เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญเท่านั้น
๓) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหาร มิให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ในการดำเนินการบริหารบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้ สถาบันนี้จึงต้องมีอำนาจพอสมควร ในการสอบสวนการกระทำ หรือการละเลยการกระทำของฝ่ายบริหาร ต้องมีความเป็นอิสระ ในการดำเนินงาน และที่สำคัญ จะต้องเป็นสถาบันที่เยียวยาให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน ซึ่งมักเป็นประชาชน ให้ได้รับความยุติธรรม
องค์ประกอบของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา มีจำนวนไม่เกิน ๓ คน โดยการแต่งตั้ง จากผู้ที่ประชาชนให้การยอมรับนับถือ มีความรอบรู้ และมีประสบการณ์ ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐวิสาหกิจ หรือกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน ของสาธารณะ และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณา และสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ในเรื่องดังต่อไปนี้
๑. เรื่องที่ข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่
๒. เรื่องที่ข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ปฏิบัติ หรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ โดยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน หรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการปฏิบัตินั้น จะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก็ตาม ผู้ที่มีสิทธิร้องเรียน หรือส่งเรื่อง ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คือ
- ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยไม่เป็นธรรม หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือผู้ร้องเรียนแทน
- ผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือเรื่องที่จะร้องเรียน
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือกรรมาธิการของวุฒิสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร ส่งเรื่องร้องเรียนด้วยตนเอง หรือรับเรื่องจากผู้เสียหาย เพื่อส่งต่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
๔) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นกลไกหลักในการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และสานต่อเจตนารมณ์ของประชาชน ที่สะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญให้เกิดผลที่เป็นจริง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วย ประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอีก ๑๐ คน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้ง ๑๑ คน ได้รับการเลือกสรรจากคณะกรรมการสรรหา ซึ่งเสนอรายชื่อผู้ที่มีความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน จำนวน ๒๒ คน เพื่อให้วุฒิสภาเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด ๑๑ คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๖ ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ไว้ สรุปได้ดังนี้
๑. ส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติ ตามหลักสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
๒. ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการแก้ไขที่เหมาะสม
๓. เสนอแนะนโยบายและการแก้ไขกฎหมายเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๔. ส่งเสริมการศึกษา วิจัย และเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน
๕. ส่งเสริมความร่วมมือ และการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน และองค์การอื่นๆ ด้านสิทธิมนุษยชน
๖. จัดทำรายงานประจำปี เพื่อประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และผลการปฏิบัติงานประจำปี
๗. เสนอความเห็นในกรณีที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษย ชน
การร้องเรียนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ที่มีสิทธิร้องเรียน คือ
- ผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนร้องเรียนเอง หรือมอบหมายให้ผู้อื่น หรือองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ร้องเรียนแทน
- องค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน
- กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตรวจสอบเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาร้องเรียน